Skip to content

สู่วิถีอสุรา 758

ตอนที่ 758 ชื่อหั่วโหว

ซูหมิงมีสีหน้าไร้อารมณ์ เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนตัวหงส์งูเพลิง จิตสังหารวนเวียนอยู่รอบตัว ผสานรวมกับแววตาเย็นชา ก่อเป็นความรู้สึกคล้ายกับว่าเขามีหิมะวนเวียนอยู่รอบๆ

ทว่าความร้อนระอุจากตัวหงส์งูเพลิงกลับผสานรวมกับความหนาวเยือกโดยสมบูรณ์ ก่อเป็นภาพมายาประหลาด ยามมองจะเหมือนมีคลื่นบิดเบี้ยวระหว่างความเย็นกับร้อน เวลาคนอื่นมองเขาจะมีความรู้สึกลึกลับเพิ่มเข้ามา

เยวี่ยหงปังห้อเหยียดอยู่ข้างหน้า ความตื่นเต้นในใจยากจะปกปิด จึงเผยออกมาทางสีหน้าเล็กน้อยโดยไม่อาจควบคุม เขารวดเร็วอย่างยิ่ง กลายเป็นสายรุ้งยาวบินไปยังถ้ำของฉีเป่ยซานศัตรูของตน

หงส์งูเพลิงบินอยู่กลางอากาศพลางส่งเสียงคำรามอย่างมีความสุข ภายในเสียงคำรามแฝงไว้ด้วยความกระหายในอิสระ และการระเบิดความอัดอั้นที่อดกลั้นมานานปี

ตั้งแต่มันจำความได้ก็ถูกผนึกอยู่ในปากภูเขาไฟมาโดยตลอด อย่างมากสุดก็บินไปได้ไม่เกินระยะพันจั้ง ผนึกนั้นเหมือนกับเครื่องพันธนาการทุกยุคสมัย หากซูหมิงไม่มา มันก็จะถูกผนึกอยู่ในนั้นไปชั่วชีวิต ทว่าซูหมิงมาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ทั้งยังทำลายสถานภาพดั้งเดิมบนดาวแดงเพลิง กล่าวจริงๆ คือกระเรียนขนร่วงได้สร้างคุณูปการครั้งใหญ่ขึ้นแล้ว

หลังจากหงส์งูเพลิงร้องคำราม คลื่นเสียงก็กึกก้องไปทั้งดาวแดงเพลิง ภายใต้เสียงคำรามสะเทือนฟ้าดินที่กังวานไปรอบๆ ก็ไปกระตุ้นสัตว์ร้ายที่ผู้คนขนานนามว่าเทพจากพื้นที่อื่นๆ ซึ่งถูกผนึกบนดาวแดงเพลิง พวกมันต่างพากันอึ้งงัน ก่อนส่งเสียงคำรามตอบรับ

เวลาผ่านไป เสียงคำรามจากทุกพื้นที่บนดาวแดงเพลิงดังไปทั่วฟ้าดิน กึกก้องอยู่ทุกมุมของดาวแดงเพลิง ปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกฌานบนดาวแดงเพลิงหน้าเปลี่ยนสีและพากันหวาดกลัว คาดเดาไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เสียงคำรามดังมาจากโดยรอบไม่หยุด หากไม่ใช่เพราะบนฟ้าไม่มีแรงกดดันกับจิตสัมผัสแล้ว ผู้คนคงคิดว่าเป็นผู้รักษาการณ์มาเยือน

โดยเฉพาะผู้คนที่กำลังจะเซ่นไหว้เทพตามพื้นที่ต่างๆ ในวินาทีนี้ต่างตื่นตกใจอย่างยิ่ง เพราะเทพของพวกเขาไม่มองของเซ่นไหว้แม้แต่หางตา แต่บินเข้าไปใกล้ขีดจำกัดของผนึกขอบเขต ก่อนคำรามเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นไปบนฟ้าทางเหนือ

ภายในเสียงคำรามมีความอิจฉาและคลุ้มคลั่งอย่างเด่นชัด ความรู้สึกนี้เหมือนกับคนกลุ่มหนึ่งถูกขังอยู่ในกรง ทว่าวันหนึ่งกลับเห็นสหายเดินออกมาจากกรงได้ หากเดินออกมาอย่างเงียบๆ คงไม่เท่าไร แต่คนที่เดินออกมากลับหัวเราะเสียงดังด้วยความบ้าคลั่งอีก

ดังนั้นจึงไปกระตุ้นความคลุ้มคลั่งทั้งดาวแดงเพลิงเข้า

ในทางตรงกันข้าม ผู้ฝึกฌานบนดาวแดงเพลิงกำลังสับสนในความกลัว ผู้ฝึกฌานทางเหนือของดาวนี้ล้วนตื่นตะลึงและพรั่นพรึง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองร่างเงาใหญ่ยักษ์ที่กำลังบินผ่านฟ้าตอนนี้

มันคือหงส์งูเพลิงยาวหลายพันจั้ง ทั้งตัวเป็นสีแดงฉาน มีหัวเป็นหงส์ หลังจากมันคำรามพร้อมกับบินผ่านฟ้าไป ก็สร้างความตื่นตะลึงเหมือนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทำเอาสภาพจิตใจของทุกคนที่เห็นสั่นคลอน

“นี่มัน…เทพหงส์งูเพลิงในปากภูเขาไฟ?”

“หรือว่านี่เป็นภาพมายา เป็นไปไม่ได้ ในประวัติศาสตร์ดาวแดงเพลิงไม่เคยได้ยินว่ามีสัตว์ร้ายเผ่าประหลาดออกมาจากพื้นที่ของมันได้เกินพันจั้ง!”

“นอกถิ่นอาศัยของเทพพวกนี้มีผนึกของสี่มหาโลกแท้จริงอยู่ ไม่มีทางถูกเปิดอย่างแน่นอน มะ….มันออกมาได้อย่างไร!”

“บนหัวมันมีคนอยู่ สวรรค์ เขาเป็นใครกัน ไม่อยากเชื่อว่าจะนั่งอยู่บนหัวหงส์งูเพลิงได้!”

หลังจากผู้ฝึกฌานทางเหนือเห็นหงส์งูเพลิงกับร่างซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างบนอย่างแจ่มชัดแล้ว เสียงอุทานก็ดังถึงขีดสุด ก่อเป็นเสียงดังอื้ออึง ภายในเสียงนั้นมีความน่าเหลือเชื่อ มีลมหายใจกระชั้น และยังมีแววตาเคารพยำเกรง

หงส์งูเพลิงเงยหน้าคำราม เร่งความเร็วขึ้นอีก กระเรียนขนร่วงบนหลังมันมีท่าทีลำพองใจ พยายามวางมาดไม่หยุด มันรู้สึกว่าเสียงอื้ออึงจากคนส่วนใหญ่เป็นเพราะมันนี่เอง

ส่วนซูหมิงมีสีหน้าเฉยชาและหลับตาลง แม้จะปกปิดนัยน์ตาเย็นชาไว้ ทว่าความเย็นเยียบจากตัวเขากลับไม่หายไปแม้แต่น้อย

เยวี่ยหงปังที่นำทางอยู่ข้างหน้าตอนนี้แทบจะร้องตะโกนตาม เขาตื่นเต้นจนหน้าแดง จิตใจสั่นไหว ตื่นเต้นจนอยากรีบไปให้ถึงถ้ำของฉีเป่ยซานใจจะขาด

สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมคือ แผ่นดินด้านล่างกับบนฟ้าด้านหลัง เวลานี้หงส์งูเพลิงบินตามเขามา ผู้ฝึกฌานบนพื้นจำนวนมากบ้างก็บินขึ้นตามมา บ้างก็ห้อเหยียดอยู่บนพื้นตามหงส์งูเพลิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากรู้ว่าสัตว์เทพตัวนี้จะไปที่ใดกันแน่

เดิมทีผู้ฝึกฌานเหล่านั้นควรจะระงับความอยากรู้อยากเห็น แต่ยามนี้กลับไม่มีใครอดกลั้นเอาไว้ แม้ต้องใช้หินผลึกบ้าง กลับยังติดตามมาอย่างไม่ลังเล เพราะในใจของทุกคน เรื่องที่พลิกความรู้ความเข้าใจของตนเช่นนี้ เกรงว่าไม่รู้กี่หมื่นปีจึงจะปรากฏสักครั้ง

มิหนำซ้ำยังเห็นได้ว่าครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง หากพลาดต้องเสียใจไปจนวันตาย

เวลานี้ ทางตะวันออกของดาวแดงเพลิง หญิงชราที่กำลังนั่งฌานอยู่ภายในห้องหินบนยอดเขาสูงสุดพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาเป็นประกายเด่นชัด พร้อมกันนั้นยังขยับวูบไหวตัวมาปรากฏอยู่บนฟ้าในพริบตาเดียว ก่อนมุ่งหน้าไปทางเหนือ

ตอนที่มองไปนางหน้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวอึ้งงัน เดี๋ยวตื่นตะลึง เดี๋ยวทะมึนทึบ นอกจากนี้ยังยกมือขวาเปลี่ยนสัญลักษณ์มือด้วยความว่องไว ครู่ต่อมาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายสั่นไหว

“มีคนเปิดผนึกปล่อยหงส์งูเพลิงออกมา! บุคคลผู้นี้เป็นใครกัน เขาเปิดผนึกได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหลังจากดาวแดงเพลิงถูกผนึก มีเพียง…”

หญิงชราหรี่ตาลงคล้ายนึกถึงอะไรบางอย่าง นางพลันขยับกายวูบไหวเปลี่ยนเป็นสายรุ้งยาวบินไปทางเหนือ

ทางตะวันตกของดาวแดงเพลิง ภายในป่าทึบเพียงจุดเดียวของที่นี่ มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง บนลำต้นมีใบหน้าภูตผีชราลอยอยู่ และมีเสียงคำรามแว่วมาจากลำต้น หลังจากต้นไม้สั่นไหว ทั้งผืนป่าก็สั่นไหวตาม

ข้างลำต้นมีชายวัยกลางคนยืนอยู่คนหนึ่ง เขาเหม่อมองฟ้าทางเหนือ ผ่านไปพักใหญ่ก็สูดลมหายใจเข้า

“เล่าลือกันว่าการเปลี่ยนแปลงของดาวทมิฬในครั้งนั้น ตอนเริ่มก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายๆ กันแบบนี้…หรือว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตจะเกิดบนดาวแดงเพลิง!

หรือว่าวันนี้เป็น…..การเปลี่ยนแปลงของดาวแดงเพลิง!” ชายวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสี ครู่ต่อมาเขาก็กระโดดขึ้นบินไปทางเหนือ

“อีกเก้าสิบปีกว่าผู้รักษาการณ์จะมาลาดตระเวนครั้งหน้า…เป็นใครกันที่สร้างการเปลี่ยนแปลงของดาวแดงเพลิง!”

หงส์งูเพลิงบินออกมาจากผนึก หลังจากสัตว์ร้ายที่ถูกผนึกในขอบเขตอื่นๆ ตอบรับเสียงคำรามของมันและคำรามกลับมา ผู้ฝึกฌานทั้งดาวแดงเพลิงก็ตกอยู่ภายใต้ความตื่นตะลึงและหวาดกลัว แม้แต่ซูหมิงยังไม่สังเกตเห็นว่าตอนอยู่นอกปากภูเขาไฟ ช่วงที่กระเรียนขนร่วงใช้วิชาประหลาด ตะโกนคำว่า ‘เปิด’ ทำให้อาคมนอกภูเขาไฟเกิดรอยแยก หงส์งูเพลิงบินออกมานั้น…

มีระลอกคลื่นเบาบางชั้นหนึ่งจากอาคมส่งไปยังพื้นดิน เหมือนกระตุ้นการตอบสนองที่เชื่อมต่อกันเป็นจุดๆ เมื่อระลอกคลื่นส่งเข้าไปยังแผ่นดินแล้ว ณ ส่วนลึกของทั้งแผ่นดินดาวแดงเพลิง ตรงส่วนในของดาราแท้จริงดวงนี้ มีเส้นสีขาวเส้นหนึ่งในบรรดาเส้นนับไม่ถ้วนแตกหัก

แม้การแตกหักของเส้นนี้ไม่ส่งผลถึงผนึกทั้งหมด ทว่าก็ทำให้อาคมสมบูรณ์เกิดช่องโหว่เล็กๆ ขึ้น

ภายในใจกลางส่วนในของดาวแดงเพลิง ข้างใต้เส้นสีขาวนับไม่ถ้วนมีหินหนืดอยู่มหาศาล วินาทีที่เกิดช่องโหว่ สีของหินหนืดไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีม่วงอมดำ!

ตรงใจกลางหินหนืดสีม่วงอมดำมีโครงกระดูกแช่อยู่ร่างหนึ่ง บนตัวโครงกระดูกไม่มีเลือดเนื้อแม้แต่น้อย เขาถูกหินหนืดแช่อยู่ครึ่งร่างอย่างเงียบๆ จะเห็นได้ว่าตรงกลางกระหม่อมมีกระบี่สีดำเล่มหนึ่งปักลึกลงไป ส่วนอื่นๆ ของโครงกระดูกก็มีกระบี่อีกสามเล่มแยกกันทะลวงร่างกาย

แต่ช่วงที่กระเรียนขนร่วงตะโกนคำว่า ‘เปิด’ แล้วผนึกส่งระลอกคลื่นมายังใต้ดินจนเส้นสีขาวเส้นหนึ่งแตกหัก นัยน์ตาโครงกระดูกพลันเปล่งแสงหม่น

ไม่รู้กี่ปีมานี้ ตั้งแต่เขาถูกผนึกอยู่ที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่นัยน์ตาเขา…เปล่งแสงหม่น!

ขณะเดียวกันบนฟ้าดาวแดงเพลิง

กระเรียนขนร่วงที่กำลังลำพองใจอยู่ด้านหลังซูหมิงรอยยิ้มพลันแข็งค้าง ก่อนก้มหน้าลงมองพื้นดิน

“ชื่อหั่วโหว…อืม? ชื่อหั่วโหวคือใครกัน?” กระเรียนขนร่วงตะลึงงัน มันเกาตรงหน้าผากที่ไร้ขน รู้สึกแปลกกับคำพูดของตนเมื่อครู่นี้มาก ก่อนหน้านี้มันยังรู้สึกเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก

มันตรึกตรองอย่างหนักก็ยังไม่เข้าใจ จึงไม่ใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อีก แต่ทำท่าทางภาคภูมิใจต่อ

ซูหมิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากหงส์งูเพลิงห้อเหยียดผ่านไป

ตอนนี้ด้านหลังมีสายรุ้งของผู้ฝึกฌานติดตามเกือบร้อยคนแล้ว บนพื้นยังมีอีกหลายร้อยคนวิ่งตามมาอีก

เยวี่ยหงปังข้างหน้าพลันหยุดชะงัก หันไปมองซูหมิงด้วยความเคารพและฮึกเหิม ก่อนชี้ไปยังพื้นดินซึ่งห่างไปไม่ไกลนัก

“ผู้อาวุโส ที่นั่นคือถ้ำของฉีเป่ยซาน!”

บนพื้นดินมีภูเขาเล็กลูกหนึ่ง ใต้ภูเขามีหินสีครามกระจัดกระจายไม่น้อย หินเหล่านั้นไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อผู้ฝึกฌานที่นี่ ทั้งยังไม่มีพลังวิญญาณ ฉะนั้นจึงมีคนสนใจน้อยนัก

ตรงกลางภูเขาลูกเล็กมีฐานนูนออกมา ยามนี้ฉีเป่ยซานกับสตรีข้างๆ ที่เพิ่งกลับมายืนเหม่อมองฟ้าอยู่บนฐาน ด้านหลังเขาเป็นประตูถ้ำเปิดอ้า จะเห็นได้ว่าภายในนั้นมีแสงครามส่องสว่างออกมา

ภูเขาลูกเล็กนี้รวมขึ้นจากหินสีครามทั้งหมด!

ฉีเป่ยซานตัวสั่นงันงก สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก เขากลับมาได้ไม่นานก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติจากโลกภายนอก จึงเดินออกมาดู แต่ไม่นานนักดวงตาก็พลันแข็งเกร็งอย่างรุนแรง แม้แต่ลมหายใจยังแข็งค้าง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!