ตอนที่ 77 เดินเล่นด้วยกันเถอะ
ท้องฟ้ายามฤดูหนาว ยังคงมีไอเย็นแผ่กระจายไปทั่วทุกแห่งหน เพียงแต่สำหรับนักรบหมานแล้ว พวกเขาทนได้ อีกทั้งในตอนนี้ฤดูหนาวก็ใกล้จะผ่านไป
คลับคล้ายฤดูหนาวไม่ยอมจากลา ปรารถนาจะเตือนสติทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินกว้างใหญ่ ยังคงมีเกล็ดหิมะลอยล่องบนน่านฟ้า
ทว่าขนาดของมันเริ่มเล็กลง ไม่นานก็ตกลงสู่พื้น ท่ามกลางลมพายุคลั่งที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน เกล็ดหิมะหมุนตัวขึ้นรอบแปดทิศพร้อมกับเสียงลมครืนครืน ราวกับม้วนผืนฟ้าดิน
ยามเที่ยงวันหิมะยังคงตกหนัก แม้จะไม่ได้ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ ทว่าหิมะที่ถูกลมพายุคลั่งม้วนตัวขึ้น กลับทำให้ท้องฟ้าครึ้ม คล้ายจะมีเงามืดในอีกไม่ช้า
ซูหมิงเดินอยู่บนถนนในเมืองหินโคลน เกล็ดหิมะกระทบใส่ใบหน้า ตกลงบนเสื้อของเขา บนศีรษะมีบ้างเล็กน้อยที่ทะลุผ้าคลุมหนังเข้ามา บ้างก็ตกใส่ปลายจมูกของเขา
หิมะตกกะทันหันเช่นนี้ ซูหมิงจึงรีบกลับเรือนพักเผ่าเขาทมิฬอย่างรวดเร็ว เขาจะไม่รอให้หิมะตกหนักจนขวางเส้นหน้าหลังเอาไว้ เร่งฝีเท้าเดินไปท่ามกลางหิมะ ทิ้งรอยเท้าเอาไว้เป็นทาง ทว่าไม่นานก็ถูกเกล็ดหิมะมาเติมเต็ม ไม่พบร่องรอย
บางที นี่อาจจะเป็นหิมะครั้งสุดท้ายในฤดูหนาวนี้
ซูหมิงถอนหายใจออกมาเป็นหมอกขาว ไม่นาน เมื่อเขามั่นใจว่าไม่มีใครตามมาแล้ว จึงเดินวนหลายรอบก่อนกลับไปยังเรือนพัก ยามนี้ลมพัดรุนแรงขึ้นหิมะตกหนักขึ้น ซูหมิงออกแรงกระทืบเท้าตรงหน้าประตูห้องของเขา เพื่อสลัดเกล็ดหิมะบนตัว ก่อนเดินเข้าไปในห้อง
ภายในห้องอบอุ่นกว่าด้านนอกมาก เมื่อปิดประตูแล้ว ซูหมิงจึงถอดหนังสัตว์ที่หุ้มทั้งตัวออกก่อนโยนไว้ด้านข้าง จากนั้นจึงวางถุงหนังบรรจุสมุนไพรจำนวนมากเหล่านั้นลง เมื่อโคจรพลังโลหิตขับไล่ความหนาวเหน็บแล้ว จึงนั่งขัดสมาธิ หยิบถุงเล็กชำรุดที่แลกมาขึ้นมองอย่างละเอียด
“ถุงนี้มันดูแปลกมาก ไม่อยากเชื่อว่าจะบรรจุของได้มากขนาดนั้น…แต่ว่าเป้ยฉงกลับขายมันให้ข้าโดยง่าย ดูท่ามันจะต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง…” แววตาซูหมิงเป็นประกายวาว ก่อนหน้านี้เขาเคยสงสัย พอตอนนี้ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป้ยฉงดูทะแม่งๆ
ขบคิดได้สักพัก เขาก็หยิบสมุนไพรที่ไม่ใช้จำนวนหนึ่งใส่เข้าไปในถุง เมื่อลองหยิบออกมา กลับไม่พบจุดที่ผิดปกติใดๆ
“จะต้องระวังตัวหน่อยแล้ว ถึงอย่างไรสมุนไพรพวกนี้ก็เป็นทั้งหมดของข้า หากใส่เข้าไปแล้วเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น จะเสียทั้งหมด…” ซูหมิงเกาศีรษะ พยามไม่นึกถึงเรื่องนี้อีก รอจนกว่าจะผ่านช่วงนี้ไปก่อน ให้ทุกอย่างสงบลงแล้ว จึงค่อยเอาไปให้ท่านปู่ดู
ซูหมิงเก็บถุงเล็กกลับเข้าไป ในขณะที่นั่งขัดสมาธิโคจรโลหิตในกาย ก็ค่อยๆ ตกอยู่ในห้วงการฝึกฝนเคล็ดวิชาธุลีโลหิตดำ เขาต้องเร่งฝึกวิชานี้ให้สำเร็จ เพื่อจะได้ใช้จริงในการต่อสู้
ส่วนความตั้งใจแรกของเขาที่ว่าจะเดินทอดน่องในเมืองหินโคลนเพื่อดูว่ามีของอื่นๆ ที่อยากซื้อหรือไม่ ก็ต้องถูกยกเลิกไป เพราะข้างนอกหิมะตกหนัก
ภายนอกเรือนลมพายุหิมะส่งเสียงหวีดร้อง ภายในเรือนซูหมิงนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบขรึม ปล่อยเวลาค่อยๆ เดินผ่านไป ไม่นานท้องฟ้าด้านนอกก็เข้าสู่ยามโพล้เพล้ หลายวันก่อนหน้านี้ที่หิมะไม่ตกหนัก ยามพลบค่ำยังพอมีแสงสว่าง ทว่าวันนี้กลับมืดครึ้ม มองทอดไกลไม่ชัด เห็นเพียงเกล็ดหิมะโปรยปราย จึงมีแสงสีเงินปรากฏขึ้นในระยะใกล้เคียง
ยามนี้หิมะยังคงตกหนัก ไม่นาน ซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใบหูพลันกระดิก ยืนขึ้นแล้วผลักประตูห้อง พบว่าเป็นพวกเป่ยหลิงที่กำลังเข้ามา ในวันนี้พวกเขาไม่ได้สนทนากันเฉกเช่นเมื่อวาน บางทีอาจเป็นเพราะหิมะตกหนักก็เป็นได้ หลังจากเป่ยหลิงกวาดสายตามองซูหมิงแวบหนึ่งแล้ว ก็เข้าไปในห้องของตนอย่างเร่งรีบ สีหน้าอูลาดูห่อเหี่ยว ไร้ชีวิตชีวา กลับไปยังห้องของตนเช่นเดียวกัน
มีเพียงเหลยเฉินที่ยิ้มซื่อๆ เดินเข้ามาใกล้ซูหมิง ดูจากท่าทางของเขาแล้ว คงอยากจะเล่าเรื่องในวันนี้ให้ฟัง ส่วนผู้นำกองรักษาการณ์กำลังขมวดคิ้ว ไม่ทราบว่ากำลังขบคิดอะไรอยู่ บ้างก็มองท้องฟ้า สีหน้าดูเป็นกังวลเล็กน้อย
ซานเหินยังคงเย็นชา เดินกลับไปในห้องของตนโดยไม่สนใจซูหมิง
“ซูหมิง งานประลองในด่านสองวันนี้ดุเดือดมาก การประชันความเร็วรอบนี้มันเกี่ยวกับขั้นพลังที่สุด!”
“เยี่ยวั่งสมกับเป็นหมายเลขหนึ่งในรุ่นเยาว์แห่งเผ่าร่องลม เขาแข็งแกร่งมาก อยู่เหนือกว่าเฉินชงไปไกล! และยังมีปี้ซู่จากเผ่าภูผาดำ เขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเรา ได้อันดับสาม ขั้นพลังของเขาน่าจะประมาณลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิต แข็งแกร่งมาก!”
“น่าเสียดายไม่มีโม่ซู มิเช่นนั้นแล้ว น่าจะสนุกกว่านี้”
“เฮ้อ ข้าไม่ติดหนึ่งในห้าสิบ อูลาก็ไม่ติด มีแค่เป่ยหลิงที่ได้อันดับสี่สิบเก้า แม้ว่าด่านสองจะจบเร็ว ทว่ามันก็สนุกมาก! ได้ยินว่าอีกสามวันข้างหน้าถึงจะเริ่มด่านที่สาม การต่อสู้จริงๆ น่าจะดุเดือดกว่านี้”
เหลยเฉินมีสีหน้าตื่นเต้น พูดอยู่ในห้องของซูหมิงอยู่นาน เล่าเรื่องทั้งหมดที่ได้เห็นได้ยินให้ฟัง เดิมทีอยากจะเล่าต่อ ทว่าเห็นซูหมิงดูไม่ค่อยสนใจ ก็กล่าวอีกเล็กน้อย ก่อนหาวแล้วเดินจากไป ในวันนี้เขาเข้าร่วมงานประลองเช่นเดียวกัน จึงอ่อนเพลียเล็กน้อย
กว่าเหลยเฉินจะออกไปก็ล่วงเลยยามโพล้เพล้ หิมะด้านนอกลดน้อยลงแล้ว ซูหมิงจึงยืนขึ้น หัวใจเต้นแรง เดินออกจากห้องด้วยความตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย
ในครั้งนี้ไม่เห็นซานเหิน ซูหมิงเดินออกจากเรือนพักเผ่าเขาทมิฬ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ทว่าบนพื้นก็ยังมีแสงสีเงิน เกล็ดหิมะโปรยปราย ทำให้เขารู้สึกบอกไม่ถูก เดินอยู่ท่ามกลางลมพายุหิมะอยู่นาน รูปร่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นโม่ซู เขาเดินจนถึงเรือนพักเผ่ามังกรทมิฬ รอคอยอยู่ด้านนอก
เวลาค่อยๆ เดินผ่านไป ลมพายุหิมะยังคงโปรยปรายไม่หยุด ทันใดนั้น ประตูใหญ่เรือนพักเผ่ามังกรทมิฬเปิดออกไร้เสียง เผยให้เห็นใบหน้างามของไป๋หลิงจากด้านใน นางสวมชุดสีขาวทั้งตัว มีผ้าพันคอขนสัตว์ ดูงดงามยิ่งนัก
นางโผล่ศีรษะมองไปรอบๆ เมื่อเห็นซูหมิง ใบหน้างามพลันดูกระดากอายทันที ทว่ากลับยากจะปกปิดความปีติยินดีได้ นางรีบเดินมาอยู่หน้าซูหมิง ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วเผยรอยยิ้ม
“เจ้าคงจะรอนานมากแล้ว” ไป๋หลิงกล่าวเสียงเบา
“เปล่า ข้าเพิ่งมาถึง” ซูหมิงเกาศีรษะ มองไป๋หลิงตรงหน้า นี่เขาเติบโตมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นใครงดงามเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะท่ามกลางหิมะ แก้มแดงเล็กน้อยของไป๋หลิง ดวงตาเป็นประกายวาววับ และยังมีความเคอะเขินในแววตา ทำให้ซูหมิงหัวใจเต้นแรงขึ้น
“มองอะไร…..เจ้าทึ่ม ไม่ใช่ว่าเจ้าจะพาข้าไปเดินวนเล่นหรอกหรือ” ไป๋หลิงหน้าแดงยิ่งกว่าเก่า ทว่ากลับไม่ได้หลบสายตาของซูหมิง เพียงกะพริบตาปริบๆ หัวเราะเบาๆ
“อ้อ ใช่แล้ว เฮอะเฮอะ” ซูหมิงถูจมูก ก่อนทั้งสองค่อยๆ เดินหายไปในลมพายุหิมะท่ามกลางเสียงหัวเราะของไป๋หลิง
จนกระทั่งเงาทั้งสองหายลับไปกับหิมะ ภายในเรือนพักเผ่ามังกรทมิฬ ซือคงมีสีหน้าสับสน ในใจคิดอยากจะตามไปดู ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ต้องถอนหายใจยาว
ขณะเดียวกัน ในเรือนพักเผ่ามังกรทมิฬ ยายเฒ่ากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องของตน นางทราบว่าไป๋หลิงออกไปข้างนอก ทว่าก็ไม่ได้ห้าม
ในความคิดของนาง หากไป๋หลิงกับโม่ซูอยู่ด้วยกัน นั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
คลื่นลมกำลังส่งเสียงหวีดร้อง หิมะกำลังปลิวว่อน ซูหมิงและไป๋หลิงเดินอยู่ในเมืองหินโคลน เกล็ดหิมะตกลงบนตัวทั้งสอง ขยับแสงประกายน่าหลงใหล มันตกบนชายคาเรือน ตกบนสิ่งก่อสร้างสองข้างทาง ทำให้ที่นี่ราวกับกลายเป็นแดนหิมะ
คนเดินถนนในค่ำคืนหิมะดูบางตา ซูหมิงตื่นเต้นตลอดทาง ทว่าก็ไม่ได้มากเท่าตอนสนิทสนมกับไป๋หลิงก่อนหน้านี้ จนกระทั่งมือของเขาถูกไป๋หลิงจูงไป เขาสัมผัสถึงเม็ดเหงื่อและความนุ่มนิ่มจากมือของนาง จิตใจพลันฮึกเหิม และกุมมือของไป๋หลิงเอาไว้ นางก้มหน้า ภายใต้แสงสะท้อนจากหิมะ ใบหน้าแดงเรื่อดูงดงามยิ่งนัก
“พวกเรา…ไปเดินเล่นกันเถอะ…” ซูหมิงกล่าวขึ้นเบาๆ ก่อนย่อตัวลง
ไป๋หลิงเผยรอยยิ้มอย่างเขินอาย พาดตัวบนหลังของซูหมิง ความอบอุ่นที่แผ่มาจากตัวเขาทำให้นางสบายใจ
ซูหมิงได้กลิ่นหอมมาจากด้านหลัง สัมผัสได้ถึงร่างกายที่อบอุ่นเช่นเดียวกันจากนาง สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนห้อวิ่งไปเบื้องหน้า กระโดดข้ามกำแพงเมืองหินโคลนออกไปนอกเมือง
ไป๋หลิงหัวใจเต้นแรง นางสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของซูหมิงเช่นเดียวกัน เขากำลังวิ่งทะยานอยู่บนพื้นที่ราบนอกเผ่าร่องลม พายุหิมะกระทบตัว โดยรอบเงียบสงัดไร้ผู้คน ยิ่งวิ่งยิ่งไกลห่าง
แม้หิมะจะตกใส่พวกเขา ทว่าพวกเขากลับไม่รู้สึกหนาวเหน็บ ในทางตรงกันข้าม ความอบอุ่นในใจราวกับแผ่กระจายไปรอบทิศ เมื่ออยู่นอกเมือง ซูหมิงจึงเปลี่ยนจากโม่ซูกลับเป็นร่างเดิม
“ไป๋หลิง เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าตัวหนักขึ้นเล็กน้อย……” ในค่ำคืนหิมะ เสียงหัวเราะของเขาเผยความสุข
“เจ้าพูดซี้ซั้ว!” ไป๋หลิงกำลังตกอยู่ในความอบอุ่นที่แผ่มาจากหลังของซูหมิง พอได้ยินดังนั้น พลันถลึงตามอง หยิกเขาแรงๆ หนึ่งครั้ง
แม้ว่าจะเจ็บ ทว่าเสียงหัวเราะของซูหมิงกลับดูมีความสุขยิ่งกว่าเดิม เขาพลันกระโดดขึ้น ทำให้ไป๋หลิงร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะทะยานต่อไปเบื้องหน้า เสียงหัวเราะของเขากับน้ำเสียงโกรธของไป๋หลิงตัดสลับกัน กลิ่นอายความงดงามแผ่ซ่าน
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ไม่นานก็เข้าสู่กลางดึก
ซูหมิงกับไป๋หลิงเดินจูงมือกันท่ามกลางหิมะ กล่าวเสียงเบา สนทนากันราวกับไม่รู้จบสิ้น เสียงหัวเราะที่ดังอยู่เรื่อยๆ เป็นตัวแทนของความงดงามไม่ต่างกัน
หิมะยังคงโปรยปราย ตกลงบนตัวของพวกเขา เส้นผมของคนทั้งสองราวกับกลายเป็นสีขาวเมื่อมองไกลๆ
ไม่รู้ว่าในค่ำคืนนี้ หากพวกเขาทั้งสองเดินต่อไปเรื่อยๆ จะเดินไปจนถึงวันที่เส้นผมขาวเลยหรือไม่ บางที…การข้ามผ่านทะเลอันกว้างใหญ่ ก็กลายเป็นเพียงหนึ่งเสียงถอนหายใจเท่านั้น
“ยังจำคืนที่พวกเราอยู่บนเขาทมิฬได้หรือไม่ หิมะก็ตกเช่นนี้…”
“จำได้ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นผมของเจ้าถูกหิมะย้อมจนเป็นสีขาวไปทั้งหัว”
“เจ้าก็เหมือนกัน กลายเป็นยายแก่”
“เจ้าว่าหากพวกเราเดินอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะเดินไปจนถึงวันที่เส้นผมขาวเลยหรือไม่…” น้ำเสียงไป๋หลิงดูอ่อนโยน จูงมือซูหมิง พลางกล่าวเสียงเบา