ตอนที่ 779 จิงหนานจื่อมาถึง
บนฟ้ามีสายฟ้าสีแดงวูบผ่าน จิงหนานจื่อเปิดดวงตาเป็นเส้นตรงเล็กๆ จากในนั้นมีประกายเย็นชาเฉียบคมขยับวูบไหว และยังมีความประหลาดใจเสี้ยวน้อยๆ
“เหยื่อล่อที่ข้าวางเอาไว้ตอนนั้นกำลังเรียกข้า” จิงหนานจื่อยกมือขวาเนิบๆ แล้วทำสัญลักษณ์มือหลายครั้งตรงหน้า คล้ายกับคำนวณอะไรบางอย่าง ขณะเปลี่ยนสัญลักษณ์มืออย่างต่อเนื่อง ฟ้าดินที่มีฝนโลหิตก็เกิดเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว
เสียงโครมครามดังติดกันเป็นปึกแผ่น ทำให้ฟ้าดินสีแดงที่นี่ตัดสลับระหว่างความมืดและสว่างอย่างชัดเจน ราวกับว่าวันสิ้นโลกมาถึง
จิงหนานจื่อเปลี่ยนสัญลักษณ์มือขวาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนั้นห้านิ้วมือขวามีกลิ่นอายพลังสีดำกระจายออกมา กลิ่นอายพลังเหล่านี้เลื่อนลอย ทว่าหากมองดีๆ จะเห็นว่าเป็นในควันสีดำมีร่างเงาของเถียนหลิน หลงลี่ ซุนคุน รวมถึงซูหมิง
หลังจากปรากฏร่างเงาเหล่านี้ ภายในเส้นควันสีดำยังมีแดนผนึกดาวแดงเพลิง จนถึงตอนนี้ช่วงที่เสียงฟ้าผ่าดังถึงขีดสุด จิงหนานจื่อหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง
เขามีสีหน้าเหลือเชื่อก่อน แล้วพรวดลึกขึ้นยืน ทว่าพอเห็นความทรงจำทั้งหมดก่อนร่างแยกเยียเซินถงตายแล้ว จิงหนานจื่อกลับยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าอ่านยาก
เขาเหมือนลังเลอะไรบางอย่าง ผ่านไปพักใหญ่ก็มีสีหน้าเด็ดขาด ทั้งยังมีความเหี้ยมโหดและดีใจขยับวูบวาบอยู่ในแววตา
‘หากสร้างคุณูปการครั้งใหญ่นี้ ข้าก็จะเสร็จสิ้นภารกิจประจำการที่นี่ก่อนเวลา กระทั่งยังมีโอกาสได้รับทรัพยากรร้อยเท่าพันเท่าอาจจะถึงหมื่นเท่า อีกทั้งนี่จะต้องเป็นเพราะเผ่าประหลาดแน่นอน หากข้ากำราบเขาด้วยตัวคนเดียว ข้าก็จะได้รับรางวัลสูงสุดแห่งพันธมิตรสี่มหาโลกแท้จริง ได้คุณสมบัติเข้าไปฝึกฝนยังดาวฟ้าสวรรค์!’ จิงหนานจื่อแววตาแวววาว ตื่นเต้นจนคุมไม่อยู่
‘ดาวฟ้าสวรรค์ ทุกหมื่นปีจะเปิดหนึ่งครั้ง ทุกครั้งจะเข้าไปได้ไม่ถึงสามสิบคน เรียกได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ฝึกฝนที่คัดเลือกคนจากสี่มหาโลกแท้จริง ตอนนี้ห่างจากวันเปิดอีกไม่นานแล้ว หากข้าได้คุณสมบัติเข้าไปครั้งนี้ ข้ามั่นใจอยู่เจ็ดส่วนว่าถ้าออกมาก็จะก้าวสู่ครึ่งก้าวภัยพิบัติตะวัน!’ จิงหนานจื่อไม่ลังเลอีก เขาใช้มือขวาคว้าอากาศไปทางเสื้อเกราะสีแดงอาบชโลมด้วยฝนโลหิต
เสื้อเกราะพลันลอยขึ้น หลังปกคลุมทั่วร่างแล้วก็เชื่อมเข้าด้วยกันเป็นเกราะนักรบสีแดง จิงหนานจื่อในชุดเกราะนี้ดูเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย เส้นผมยาวสีแดงฉานแกว่งไกวกลางฝนโลหิต เขาหยิบหมวกขึ้นมาสวม ก่อนหมุนตัวกระทืบเขาโลหิต
โครม!
ภูเขาพังพินาศลง มีเส้นสีแดงบินออกมาจากซากในภูเขา มันคือวัตถุคล้ายกับโลงศพยาวสีแดงฉาน ด้านบนมีลำแสงขยับวิบวับ และยังมีอักขระนับไม่ถ้วนเว้านูน ทำให้คนมองไปแวบแรกจะต้องตกตะลึง
จิงหนานจื่อเดินไปบนโลงศพสีแดงฉาน ขณะเดียวกับที่ทั้งตัวสัมผัสกับโลงศพ ร่างกายเขาก็หลอมรวมเข้าสู่ภายในโลง จากนั้นอักขระบนโลงจำนวนมากขยับแสงวิบวับ ก่อนมันกลายเป็นแสงสว่างจ้าพุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วไม่อาจบรรยาย
โลงศพรับฝนโลหิตพลางบินออกจากดาวดวงนี้ในพริบตา จนมาอยู่ในฟ้ากระจ่างดาวอันกว้างใหญ่ ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวมุ่งหน้าไปยังดาวแดงเพลิง
เวลาผ่านไปทีละวัน ตอนนี้ทุกคนในผนึกดาวแดงเพลิงยังคงแน่นิ่ง ต่างตกอยู่ในสภาวะพลังแห่งหินโลก ซูหมิงมีสีหน้าเหม่อลอย ไม่รู้ว่าเห็นอะไรในคลื่นพลังหินโลก
กระเรียนขนร่วงน้ำลายไหล ปากพึมพำบางอย่าง เกรงว่ากระทั่งตัวมันยังได้ยินเสียงตัวเองไม่ชัด
ตอนนี้ดาวแดงเพลิงเข้าสู่ยามค่ำคืน ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ออกมาข้างนอก ถึงอย่างไรสัตว์ร้ายบนดาวแดงเพลิงก็ออกจากผนึกแล้ว ทุกอย่างต่างกับเวลาปกติมาก สำหรับผู้ฝึกฌานของที่นี่ ความรอบคอบตลอดหลายปีเป็นม่านทำให้พวกเขาปลอดภัย
โดยเฉพาะยามค่ำคืนไม่ปลอดภัย แต่จะมีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายแว่วมาเป็นบางครั้ง ลากผ่านฟ้ายามค่ำคืนกระจายไปรอบๆ
หญิงชราในเรือนอาศัยบนยอดเขาทางตะวันออกของดาวแดงเพลิง นางกำลังนั่งฌาน หลายปีมานี้ออกไปข้างนอกน้อยครั้งมาก สภาพอารมณ์ยังว้าวุ่นอยู่ตลอด แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
ขณะนางกำลังนั่งฌานในยามค่ำคืน นางพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัว
ฟ้ายามค่ำคืนทั้งดาวแดงเพลิงในเวลานี้กลายเป็นสีแดง ผู้ฝึกฌานทั้งหมดบนพื้นดินต่างพากันตื่นตกใจ ล้วนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างหวาดกลัว
กระทั่งสัตว์ร้ายที่กำลังร้องคำรามเหล่านั้นยังตื่นกลัว ไม่ส่งเสียงร้องใดๆ อีก
สิ่งที่ทำให้ฟ้าของดาวแดงเพลิงเป็นสีแดงนั้นก็คือแสงสีแดงสว่างจ้า แสงสีแดงปรากฏบนฟ้า เห็นได้ชัดว่ากำลังมาเยือนจากนอกดาวด้วยความเร็วสูงสุด และตอนนี้กำลังข้ามผ่านชั้นบรรยากาศของดาวแดงเพลิง
แสงสีแดงนั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง จึงมองเห็นไม่ชัดว่ามันคืออะไร มันแผดเผาอยู่กลางอากาศในพริบตาแล้วพุ่งลงสู่พื้นดิน หลังจากชนพื้นในชั่ววินาทีเดียวแล้ว ก็สร้างเป็นแรงปะทะคล้ายพายุคลั่งกระจายออกเป็นวงกว้าง
จุดที่แรงปะทะเคลื่อนผ่าน แผ่นดินจะกลายเป็นสายลม ภูเขาไฟหลายลูกกลายเป็นฝุ่นธุลีในพริบตา สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในระยะหลายหมื่นลี้ นอกจากผู้ฝึกฌานจุดสูงสุดระดับฟ้าแล้ว ยังไม่ทั้งร้องโหยหวนก็ตายลงในทันที
ทว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกฌานจุดสูงสุดระดับฟ้าก็ยังกระอักโลหิตกองใหญ่จากแรงปะทะ และบาดเจ็บสาหัส
หลังจากเสียงระเบิดผ่านไป ตรงใจกลางแรงปะทะ ณ จุดที่แสงสีแดงพุ่งลงมา จะเห็นว่ามีโลงศพสีแดงยักษ์อยู่ และยังมีเกือบสามส่วนของโลงเอียงปักเข้าไปในพื้นดิน
ขณะอักขระเว้านูนนับไม่ถ้วนบนโลงขยับแสงวูบวาบ
พลันมีใบหน้านูนขึ้นมาจากผิวโลง หากกล่าวจริงๆ นี่คือใบหน้าสวมหมวกเกราะค่อยๆ ออกมาจากผิวโลง จิงหนานจื่อโผล่ศีรษะและร่างกายออกมาคล้ายกับทะลวงผ่าน จนกระทั่งเดินออกมาจากโลง
จิงหนานจื่อมองไปรอบๆ แล้วก็แค่นเสียงหึเย็นชา กลิ่นอายชั่วร้ายมหาศาล ยกมือขวาตบโลงศพทีหนึ่ง อักขระบนโลงพลันขยับแสงวิบวับเด่นชัดอีกครั้ง แล้วกลายเป็นทวนยาวสีแดงถูกจิงหนานจื่อคว้าอยู่ในมือ
วินาทีที่คว้าทวนยาวสีโลหิต ขั้นพลังจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลางปะทุออกมาจากตัวเขาโดยไม่ปิดบังเลย คลื่นพลังวูบผ่านทั้งดาวแดงเพลิง ซึ่งเป็นวิธีที่เขาใช้บอกกับทุกคนที่นี่ว่าเขามาถึงแล้ว
ขณะเดียวกันจิงหนานจื่อยกมือซ้ายขึ้นเรียกแผ่นหยกชิ้นหนึ่งในมือ พอบีบมันแตกแล้ว ก็มีแสงดำเปล่งวาบออกมาเริ่มปกคลุมจากใต้เท้า ด้วยความเร็วของมัน เกือบสิบลมหายใจต่อมาแสงดำปกคลุมพื้นดินทั้งดาวแดงเพลิง รวมถึงผู้ฝึกฌานและสัตว์ร้ายทั้งหมด อีกทั้งยังซึมเข้าไปในส่วนลึกของพื้นดิน หลังจากปกคลุมเอาไว้ภายในแล้ว บนแผ่นหยกในมือจิงหนานจื่อพลันสะท้อนเป็นเงามายาขนาดหลายจั้งร่างหนึ่ง ภายในเงามายานั้นคือดาวแดงเพลิงทั้งหมด
ภาพนี้ แทบจะเหมือนกับตอนที่กระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์มาลาดตระเวนตรวจสอบเมื่อหลายปีก่อน
ครั้นแสงดำปกคลุมทุกสิ่งมีชีวิตบนดาวแดงเพลิงแล้ว เวลานี้ผู้ฝึกฌานทั้งหมดล้วนรู้อย่างแจ่มชัดว่า นี่คือ…..ผู้รักษาการณ์มาเยือน!
หญิงชราภายในเรือนอาศัยบนยอดเขาทางตะวันออก เวลานี้ตัวสั่นงันงก หน้าซีดขาว สีหน้าตื่นกลัว อีกทั้งระลอกคลื่นพลังจากตัวนางยังสื่อความหมายว่ายอมศิโรราบ
จิงหนานจื่อมองร่างเงามายาแวบหนึ่ง ก่อนขยับวูบไหวหายตัวไป แล้วมาปรากฏตัวอยู่ในรอยแยกหุบเขายักษ์ที่พวกซูหมิงเคยอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็ห้อเหยียดไปตามเส้นทาง และในตอนนี้เอง เพราะคลื่นพลังและแรงกดดันของจิงหนานจื่อจากโลกภายนอก ทำให้ทุกคนภายในผนึกตื่นตระหนกในระดับต่างกันขณะอยู่ภายใต้สภาวะประหลาดหินโลก
ซูหมิงซึ่งนั่งฌานอยู่พลันตัวสั่น นัยน์ตาเหม่อลอยไร้แวววาวมีการต่อสู้ดิ้นรน ภายในมีประกายวาววูบผ่าน เขาเหมือนจะตื่นขึ้นแล้ว สีหน้าดูหวาดกลัวอย่างพบเห็นได้ยาก
‘นี่มันพลังอะไร เทียบเท่ากับโลกอมตะ ทำให้ข้าตกอยู่ในห้วงแทบจะถอนตัวไม่ขึ้น!’
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เวลานี้มีเหงื่อซึมออกมาตรงหน้าผาก หินผารอบตัวยังยืดหยุ่นมากขึ้น วินาทีที่เขายืนขึ้น หินผารอบๆ ส่วนใหญ่กลายเป็นเถ้าธุลี ผนังกั้นหนึ่งจั้งหายไปต่อหน้าต่อตา
แวบแรกที่เห็นคือพื้นที่กว้างโล่งข้างนอกหนึ่งจั้ง เห็นหลงลี่ในม่านแสงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนกำลังตัวสั่น และยังมีธงใหญ่เก้าอันกับสัตว์กิเลนหน้าเขียว แล้วก็…หินส่องแสงพร่างพราวลอยอยู่ในม่านแสงก้อนหนึ่ง
ทันทีที่ซูหมิงมองหินนี้พลันมีเสียงระเบิดดังในความคิด เขากำลังตกอยู่ในสภาวะเหม่อลอยอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะกัดปลายลิ้นอย่างแรงเอาไว้ เกรงว่าคงตกอยู่ในห้วงโดยพลัน เขาสูดลมหายใจเข้า ไม่มองหินอีก แต่ก็รู้ดีว่าสาเหตุที่ให้ตนหมดสติไปก็คือหินนี้
นอกจากนี้ยังเห็นอาคมคุ้มกันที่หลงลี่วางเอาไว้ จึงรู้ว่าเขามีการเตรียมตัวมาก่อนแล้ว คาดการณ์ได้ว่าทุกอย่างมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นความตั้งใจของหลงลี่
‘สิ่งนี้คืออะไรกันแน่ ไม่อยากเชื่อว่าจะมีพลังน่าสะพรึงถึงขนาดนี้’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย เขาไม่มองหินนั้นอีก แต่มองคัมภีร์โบราณที่วางอยู่ตรงหน้าหลงลี่
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงครึกโครมแว่วมาไกลๆ จากนั้นมีกลิ่นอายพลังน่าสะพรึงที่สร้างความตื่นตระหนกกับเขาอย่างยิ่งปกคลุมไปรอบๆ จากที่ห่างไกล
กลิ่นอายพลังนี้บ้าอำนาจยิ่งนัก ถึงซูหมิงจะไม่คุ้นกับกลิ่นอายพลังนี้ แต่ความรู้สึกบ้าอำนาจทำให้เขานึกไปถึงความรู้สึกตอนที่ผู้รักษาการณ์มาลาดตระเวนและใช้จิตสัมผัสตรวจสอบ
เวลานี้ซูหมิงหรี่ม่านตาลง เขาเห็นว่าจากในผนังหินรอบๆ มีแสงสีดำทะลวงผ่านมา แล้วกำลังปกคลุมโดยรอบอย่างเร็วไว
เขาเคยเจอภาพเหตุการณ์นี้มาก่อน มันเคยเกิดขึ้นตอนผู้รักษาการณ์มาเยือน!
‘มีผู้รักษาการณ์มาเยือน!’ ซูหมิงนึกไปถึงคำสนทนาระหว่างเถียนหลินกับเยียเซินถง ตอนนี้จึงไม่ลังเลอีก ขยับวูบไหวตัวเตรียมจะออกไปเพื่อหลบแสงดำ ทว่าพอเห็นม้วนคัมภีร์โบราณตรงหน้าหลงลี่แล้วเขากลับหยุดชะงัก