Skip to content

สู่วิถีอสุรา 819

ตอนที่ 819 ความแค้นเมื่อภรรยาถูกสังหาร

“การสืบทอดมรดกผู้ยิ่งใหญ่…ที่นี่….ที่นี่คือมรดกต้นกำเนิดจิตของผู้ยิ่งใหญ่! นี่ก็คือแดนประหลาด ที่แท้นี่คือแดนประหลาด!” ชายชราพึมพำแล้วพลันหัวเราะเสียงดัง นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้นฮึกเหิม

เขาเข้ามาในแดนประหลาดวงแหวนบูรพาเพื่ออิสรภาพ เพื่อจับซูหมิง แต่ไม่นึกเลยว่าแดนประหลาดจะเป็นเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วโอกาสการรับมรดกคือความปรารถนาที่ตนเฝ้าใฝ่ฝันถึง

ทว่าวินาทีที่เสียงหัวเราะเขาดังก้อง หนึ่งในแผ่นศิลาหนึ่งแสนอันเกิดรอยร้าวขึ้นหลายเส้น ภายในรอยร้าวมีโลหิตไหลออกมา เสียงร้องโหยหวนแว่วมาจากในแผ่นศิลา พร้อมกันนั้นยังแฝงไว้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อชีวิต

ซูหมิงพลันมองแผ่นศิลาที่เปล่งเสียงร้องโหยหวน หลังจากเห็นชื่อบนแผ่นศิลาชัดเจนแล้ว เขาก็อึ้งงันไป แล้วมองชายร่างกำยำตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว

ยามนี้ชายร่างกำยำตัวสั่น สองมือกุมขาสองเข่าเอาไว้แน่น ดวงตาแดงก่ำ น้ำตารินไหล กลายเป็นการร้องไห้โดยไร้เสียง แผ่นศิลาที่ส่งเสียงอาลัยต่อชีวิตก็คือแผ่นศิลาสูงสองหมื่นจั้งข้างๆ ที่เขียนนามว่าซือหม่าเยวี่ย

เขาเห็นรอยร้าวบนแผ่นศิลาเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นโลหิตไหลออกมา น้ำตาของชายร่างกำยำก็มากขึ้นเรื่อยๆ

“รักษาตัวด้วย…” เสียงอ่อนแรงของสตรีแว่วมาเบาๆ จากแผ่นศิลา เสียงเบามาก ชายชราที่อยู่ไกลๆ กำลังหัวเราะเสียงดังจึงไม่ได้ยิน ต่อให้เป็นซูหมิงยังได้ยินเพียงรางๆ คนที่ได้ยินจริงๆ คือชายร่างกำยำ

เสียงนี้เป็นของซือหม่าเยวี่ย นางไม่รู้ว่าข้างนอกมีบุรุษคนนั้นกำลังรอนางอยู่หรือไม่ แต่นางรู้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่ก็เป็นการจากลาครั้งสุดท้ายแล้ว

เสียงค่อยๆ หายไป ขณะเดียวกับที่แผ่นศิลานางเปล่งแสง ชื่อของนางก็ถูกลบไป แผ่นศิลาสองหมื่นจั้งย่อส่วนลงขณะเปล่งแสง สุดท้ายก็กลายเป็นสูงสองพันจั้ง แสงสว่างหายไป

ซูหมิงมองภาพนี้ด้วยจิตใจสั่นไหว วินาทีเมื่อครู่นี้ ขณะเดียวกับที่ชายชราปรากฏตัวและหัวเราะเสียงดังกังวาน เขารู้สึกว่ามีดวงจิตเย็นเยียบจากความว่างเปล่าเข้ามาปกคลุมเขาและแผ่นศิลาของเขาเอาไว้ เมื่อลากผ่านไปแล้วก็ไปรวมอยู่ที่ซือหม่าเยวี่ย

เขาจินตนาการได้ว่า หากดวงจิตเย็นเยียบนั้นมารวมอยู่ที่ตน เช่นนั้นตอนนี้คนที่ตายก็คือตน

“ฮ่าๆ นี่ก็คือแผ่นศิลาของข้ารึ” ชายชราหัวเราะลากยาวพร้อมกระโดดเข้ามาอยู่หน้าแผ่นศิลา แล้วหรี่ตาลงทันที เห็นได้ว่าเขาซึ่งกำลังตื่นเต้นเพิ่งจะสังเกตเห็นคนอื่นที่นี่

เขามองชายร่างกำยำก่อน เพียงแต่ว่าตอนที่มองไป น้ำตาชายร่างกำยำหายไปแล้ว ดวงตาแดงปิดลง มองไม่เห็นเงื่อนงำใดๆ

ช่วงที่ชายชรามองไปรอบๆ ด้วยความระแวง นัยน์ตาพลันแวววาว สายตาจ้องซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไกลๆ เขม็ง ประกายในแววตาสว่างไสวมากขึ้น และยังฉายแววละโมบ

“โม่ซู!” ชายชราหัวเราะดังลั่น แผ่กระจายพลังในร่างกายออกโดยพลัน กลิ่นอายพลังเจ้าปกครองโลกเข้มข้นปะทุขึ้น ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมีขั้นพลังถึงจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลาง เทียบเท่ากับบรรพบุรุษตระกูลจ้าว

ทว่าเขากลับไม่ลงมือทันที คนที่มีชีวิตรอดในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตมาถึงตอนนี้ อีกทั้งมีขั้นพลังระดับนี้ ย่อมไม่ใช่คนเขลา กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นคนเหลี่ยมจัด เขาไม่รู้ว่าในแดนประหลาดแปลกตานี้มีกฎห้ามลงมือสังหารกันหรือไม่ ฉะนั้นจึงเพียงระเบิดพลัง แต่กลับไม่เดินหน้าเข้าไป เพียงจับจ้องซูหมิง ถึงอย่างไรซูหมิงก็มาถึงก่อนเขา จะต้องรู้มากกว่าตนแน่นอน จากปฏิกิริยาโต้ตอบของซูหมิง เขาก็มองออกหลายอย่างแล้ว

ซูหมิงดวงตาแวววาว เดาได้ก่อนแล้วว่าหลังจากตนเข้ามาที่นี่จะต้องมีคนตามมาล่าสังหาร เขาพลันยืนขึ้น เดิมทีคิดกดมือบนแผ่นศิลาเพื่อเข้าสู่การทดสอบสืบทอดมรดก เพราะจะทำให้เขาเลี่ยงจากจิตสังหารชายชราได้ ทว่าในใจเขาพลันสั่นไหว ไม่ได้เลือกเช่นนั้น แต่ถอยไปหลายก้าวด้วยสีหน้าจริงจังและตื่นตัว

ที่เขาไม่เลือกหลอมรวมเข้าไปในแผ่นศิลา ทุกอย่างเป็นเพราะชายร่างกำยำ ตอนนี้ชายร่างกำยำเหมือนสงบนิ่ง แต่ซูหมิงไม่ลืมแววตาอ่อนโยนตอนที่คนนี้มองแผ่นศิลาของซือหม่าเยวี่ย ไม่ลืมว่าเขาหลั่งน้ำตาตอนแผ่นศิลามีโลหิตไหลมาจากรอยร้าว และยังไม่ลืมคำว่ารักษาตัวด้วยที่แว่วมาจากในแผ่นศิลาของนาง

‘หากเป็นคนอื่นตอนนี้ต้องลงมือสังหารชายชราแล้วถึงจะถูก ชายร่างกำยำไม่ใช่แค่ไม่ลงมือ แต่กลับซ่อนน้ำตา ปิดตาแดงก่ำ ที่นี่จะต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างแน่

หรือว่า…ที่นี่จะห้ามสู้กัน?’ ซูหมิงหรี่ตาลงด้วยความตื่นตัว เขามั่นใจว่าตอนนี้ชายชรายังไม่ได้สลักชื่อบนแผ่นศิลา ฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าต้องกดมือบนแผ่นศิลาถึงจะหลอมรวมเข้าสู่ข้างในได้

ความคิดทุกอย่างบรรยายอย่างเนิบช้า ทว่าความจริงซูหมิงโคจรความคิดเพียงรอบเดียว ตอนนี้เขามีสีหน้าตื่นกลัว หน้าเปลี่ยนสีพร้อมห้อเหยียดถอยไป

สีหน้าและการถอยของซูหมิง และยังมีความตื่นตระหนกล้วนแจ่มชัดในสายตาชายชรา เห็นซูหมิงถอยไปอย่างเร่งรีบเหมือนจะหนี ความสงสัยในใจชายชราจึงหายไปเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความตื่นตัวอยู่ เขายังไม่รู้ว่าลงมือสังหารคนอื่นที่นี่ได้หรือไม่ จึงไม่ลงมือง่ายๆ

ทว่าเขาก็เดินหน้าหนึ่งก้าว นัยน์ตาเผยจิตสังหาร ตอนที่เตรียมจะลงมือ เขาเหลือบตามองชายร่างกำยำคนนั้น บางทีเขาอาจเห็นเงื่อนงำเล็กน้อยจากชายร่างกำยำ

ทว่าวินาทีที่เหลือบตามองชายร่างกำยำ อีกฝ่ายก็ลืมตาขึ้น ดวงตาไม่ใช่สีแดงอีก แต่สงบนิ่งและแฝงไว้ด้วยความอันธพาล

“จะสังหารก็เชิญทางโน้น อย่ารบกวนการฝึกของข้า ไสหัวไป” ชายร่างกำยำแค่นเสียงหึเย็นชา เขาเอ่ยพลางยกมือขวาขึ้นสะบัดไปทางชายชรา

ครู่เดียวพลังแห่งโลกมหาศาลก็ระเบิดมาจากขั้นพลังเจ้าปกครองโลกตอนปลายของชายร่างกำยำ หลังจากเขาสะบัดมือก็มีสายลมตรงไปหาชายชรา

สายลมคลั่งนี้รวดเร็วอย่างยิ่ง หากชายชราไม่หลบ ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส นี่คือความต่างระหว่างจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลางกับเจ้าปกครองโลกตอนปลาย ไม่มีวิธีต่อต้านแม้แต่น้อย

ชายชราหน้าเปลี่ยนสี เขาสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าขั้นพลังชายร่างกำยำหยั่งลึกไม่อาจคาดเดา น่าจะเป็นเจ้าปกครองโลกตอนปลาย ทว่าในใจเขาสงสัยตลอดว่าที่นี่ลงมือได้หรือไม่ ฉะนั้นจึงลองหยั่งเชิงดู แต่ไม่คิดเลยว่าชายร่างกำยำจะลงมือ ดูจากท่าทางแล้วหากตนช้าอีกเล็กน้อยจะต้องบาดเจ็บสาหัสแน่ๆ

นอกจากนี้ชายชรายังมองว่าไม่มีการแสร้งทำใดๆ แต่เขาก็ยังให้ร่างกายที่กำลังจะหลบนี้หยุดอยู่ที่เดิมเสี้ยววินาที

เขาจ้องชายร่างกำยำตาเขม็ง เขาอยากลองหยั่งเชิงอีกครั้งว่าอีกฝ่ายลงมือจริงๆ หรือไม่ เห็นสายลมคลั่งเข้ามาใกล้ พลังทำลายล้างใกล้จะปะทะร่างกาย ทว่าชายร่างกำยำในสายตาเขากลับมีสีหน้าปกติ เผยความอันธพาลในความเย็นชา

‘ที่นี่สังหารคนได้!’ ชายชราหน้าเปลี่ยนสี ในใจไม่มีความสงสัยใดๆ อีก แทบเป็นช่วงที่สายลมทำลายล้างเข้ามาใกล้ เขาพลันถอยไปแล้วหยิบแผ่นหยกขึ้นมาอย่างเร็วรี่ ก่อนบีบแผ่นหยกให้แตกในช่วงวินาทีที่สายลมเข้ามา

หลังจากนั้นชายชราพลันหายวับไป ตอนที่สายลมคลั่งถาโถมเข้ามา เขาไปปรากฏตัวอยู่ห่างไปหลายร้อยจั้ง ซึ่งห่างจากซูหมิงไม่ไกล

‘บุคคลผู้นี้แกร่งอย่างยิ่ง จะล่วงเกินไม่ได้ อีกอย่างเขาไม่มีทางรู้ว่าข้ามีแผ่นหยกเคลื่อนย้ายพริบตาที่ใช้หลบการระบุเป้าหมายของเจ้าปกครองโลกตอนปลายได้อย่างแน่นอน เช่นนั้น…..โม่ซู เจ้าหนีไม่รอดแน่!’

ชายชราพลันหมุนตัวกลับ สายตาระบุเป้าหมายซูหมิงที่ยามนี้กำลังหนีอย่างรวดเร็ว เขาหัวเราะเยาะพร้อมกับระเบิดพลังทั่วร่าง พลังแห่งโลกกระจายออก ตัวเขาขยับวูบวาบพลางยกมือขวาขึ้นพร้อมตะโกน ฉับพลันนั้นมีอักขระนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นแล้วรวมกันกลางอากาศเป็นแส้หางจามรีอันหนึ่ง มันไปโผล่อยู่ตรงหน้าซูหมิงในพริบตา แล้วสะบัดไปทางเขาอย่างรุนแรง

ซูหมิงหยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วหมุนตัวกลับ ไม่หลบใดๆ แต่เพียงจ้องชายชรา กระทั่งยังไม่ลงมือ ปล่อยให้แส้หางจามรีเข้ามาใกล้ เขาเชื่อว่าการโจมตีครั้งนี้อย่างมากสุดก็บาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีทางสังหารตนได้อย่างแน่นอน เขาใช้การบาดเจ็บสาหัสเป็นการเดิมพันแดนประหลาดแห่งนี้ เขานึกเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่วิเคราะห์ก่อนหน้านี้ ในใจก็คิดว่าชนะแปดส่วน

โดยเฉพาะการลงมือของชายร่างกำยำเมื่อครู่ ยิ่งเป็นการยืนยันความคิดเขา

‘น้ำตานั่นไม่ใช่ของปลอม ดวงตาแดงก่ำกับความเศร้าก็สมจริงอย่างยิ่ง เขาตัวสั่นตอนนางพูดว่ารักษาตัวด้วย นี่ยิ่งอธิบายทุกอย่างได้ดี

เขาเหมือนจะลงมือ แต่ความจริงแล้วข้ามั่นใจว่าเขากำลังรนหาที่ตาย ถ้าไม่ล้างแค้นสำเร็จก็ตาย เขาจะใช้ความตายของตัวเองเป็นการล้างแค้น และให้ชายชราเชื่อว่าที่นี่…ลงมือได้!’

ซูหมิงหยุดชะงัก แส้หางจามรีพลันเข้ามาในพริบตา ภาพนี้ทำให้ชายร่างกำยำดวงตาขยับประกาย และยังทำให้ชายชราหน้าเปลี่ยนสี ในเสี้ยววินาทีนี้ แส้หางจามรีปะทะร่างซูหมิง เขาเตรียมตัวบาดเจ็บสาหัสแล้ว แต่เมื่อแส้สัมผัสร่างมันกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่าไม่มีอยู่จริง

ภาพนี้ทำให้ชายชราหน้าเปลี่ยนสีเด่นชัดและยังดูหวาดกลัว เขารู้ว่าตนถูกหลอกเข้าแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จิตใจจะสั่นสะท้าน ร่างกายก็ถูกดวงจิตเย็นเยียบลากผ่าน จากนั้นร่างกายก็สลายไปอย่างเงียบเชียบในพริบตาราวกับเถ้าธุลี

ตายอย่างแท้จริง สูญสลายไป!

โดยรอบเงียบสงัด ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก มีสีหน้าปกติ ก่อนเดินไปยังแผ่นศิลาของตนอย่างช้าๆ เมื่อนั่งขัดสมาธิลงอีกครั้งแล้วก็มองชายร่างกำยำคนนั้น อีกฝ่ายก็มองเขาเช่นกัน สองคนสบตากัน

“ขอบคุณ” ผ่านไปครู่หนึ่งชายร่างกำยำเอ่ยเสียงเบา

“ไม่เป็นไร” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ

ชายร่างกำยำเงียบงัน ไม่มองซูหมิงอีก แต่มองแผ่นศิลาที่เคยเป็นของซือหม่าเยวี่ย น้ำตารินไหลอีกครั้ง สีหน้าเศร้าโศกถึงขีดสุด

เขาเหมือนเห็นภาพต่างๆ เมื่อหลายปีก่อนตอนตนกับซือหม่าเยวี่ยมาที่นี่ นางเป็นทุกอย่างของเขา ขณะเดียวกันเขาก็เป็นทุกอย่างของนาง ทว่าตอนนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้ว

“ชีวิตนี้ข้าโจวคังไม่ติดหนี้น้ำใจของใคร เจ้าเป็นคนมาใหม่จะต้องมีเรื่องอยากถามแน่ๆ ถามมาเถอะ…ข้าจะเล่าทุกอย่างที่ข้ารู้กับการทดสอบให้ฟัง ถือเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยล้างแค้นคนที่ฆ่าภรรยาข้า” โจวคังกล่าวเสียงเบา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!