ตอนที่ 842 ความลับของแผ่นศิลา
กล่าวจริงๆ คือ แสงสีม่วงที่สาดจากร่างแยกเอ้อชางไม่ใช่หมื่นสาย
แต่เป็นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าสาย อีกหนึ่งสายที่เหลือคือแผ่นศิลาของซูหมิง
หลังจากแผ่นศิลากลับมาครบหนึ่งแสน ผู้คนเกือบเก้าหมื่นรอบๆ ที่กำลังตื่นกลัวและเงียบงันจนหายใจติดขัด เริ่มมีคนสังเกตเห็นว่าน้ำวนบนแผ่นศิลาของซูหมิงรวมถึงแสงสว่างที่ค่อยๆ เปล่งออกมา แสงนี้ส่องสะท้อนทั้งโลกแผ่นศิลา ทำให้ทุกคนที่นี่ต้องหันมามอง
เวลานี้สายตาหลายหมื่นคนมองแผ่นศิลาที่สลักนามของโม่ซู ทำให้ซูหมิงที่เดินออกมาจากแผ่นศิลาเหมือนกับเดินเข้าไปในดวงตาของทุกคนทันที
เขามีสีหน้าเรียบนิ่ง เดินออกมาจากน้ำวนทีละก้าว จนกระทั่งออกมาครบถ้วนแล้ว น้ำวนแผ่นศิลาก็หายไป เขามองแดนแผ่นศิลาที่คุ้นเคยรอบๆ กาลเวลาหลายร้อยปีปรากฏขึ้นในแววตา กลายเป็นเสียงถอนหายใจ สามร้อยกว่าปีก่อน เขาไปแสวงหาโชควาสนาพร้อมกับความมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลายร้อยปีต่อมา เขากลับมาพร้อมกับโชควาสนาครั้งใหญ่และสิ่งมหัศจรรย์ที่เปลี่ยนชีวิตเขา
สายตาของหลายหมื่นคนรอบๆ มองมา แต่ไม่ได้ทำให้เขาเกิดคลื่นอารมณ์ใดๆ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ สุดท้ายก็หมุนตัวมามองแผ่นศิลาของตัวเอง
แผ่นศิลาแสนจั้งตั้งตระหง่านอยู่กลางแผ่นศิลาจำนวนมาก ดูเหมือนธรรมดา ทว่าในสายตาเขา เขาเห็นกฎเกณฑ์ของซุ่ยเฉินจื่อที่นี่ เห็นร่างเงาจากกฎของซุ่ยเฉินจื่อกลางอากาศด้านบน และตอนนี้ร่างเงานั้นกำลัง…โค้งคำนับเขา
เหมือนกำลังแสดงความยินดี เหมือนรอคำสั่งจากเขา ท่าทางแบบนี้คือการปฏิบัติตาม ปฏิบัติตามปณิธานก่อนตายของซุ่ยเฉินจื่อ ยอมทำตามคำสั่งของคนที่วิชาแห่งหนึ่งความคิดระบุไว้
“กฎที่ซุ่ยเฉินจื่อกำหนดไว้คืออะไร” ซูหมิงส่งกระแสจิตไป
“กฎแรกสูงสุด ตอนที่ไม่เกี่ยวกับกฎแรก กฎเกณฑ์คือการปกป้องและลบ ปกป้องคนที่นี่ไม่ให้ถูกวิญญาณเอ้อชางสังหาร ส่วนลบคือลบทุกคนที่ฝ่าฝืนกฎ” เสียงแก่ชราของซุ่ยเฉินจื่อแว่วมาทางจิตใจ
“กฎแรก?” ซูหมิงเหมือนเข้าใจแล้ว
“กฎแรก เอ้อชางที่นี่สามารถจ่ายต้นกำเนิดจิตเป็นราคาเพื่อให้ข้าช่วยสังหารคนที่นี่ได้ ทว่าหากคนที่อยากจะสังหาร ยึดร่างเอ้อชางล้มเหลวและถูกขอให้สังหาร เช่นนั้นไม่ว่าจะจ่ายราคาใดก็ไม่ได้รับอนุญาต ทำได้เพียงให้คนนั้นทำลายตัวเองเท่านั้น”
ซูหมิงพยักหน้า จุดนี้เขามองออกตั้งแต่เอ้อชางสีม่วงสังหารตนไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้นแล้วดวงจิตเอ้อชางสีม่วงคงจะมาที่นี่เพื่อสังหารตน คงไม่ต้องรอเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ซูหมิงไม่ถามเรื่องกฎของซุ่ยเฉินจื่ออีก แต่มองแผ่นศิลาของตนอย่างเงียบๆ ในสายตาเขาแผ่นศิลานี้สร้างขึ้นจากผลึกสีม่วง ทว่าผิวภายนอกหยาบจึงมองไม่ออกก็เท่านั้น
กระทั่งหากใช้จิตสัมผัสตรวจสอบก็ยังมองเงื่อนงำไม่ออก มีเพียงเขาที่เข้าใจต้นกำเนิดจิต มีร่างแยกเอ้อชางและเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมของที่นี่เท่านั้นถึงจะมองเห็นความลับของแผ่นศิลา
“คนนี้…คือ…คือโม่ซูหรือ?”
“เขาคือคนที่พวกเราจะมาจับตัว นี่…เขา….” เสียงอื้ออึงค่อยๆ ดังกังวานในกลุ่มคนเก้าหมื่นกว่า
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดพวกเราถึงถูกบีบออกมาจากโลกแผ่นศิลา สมควรตาย ข้าใกล้จะสำเร็จแล้วเชียว อีกก้าวเดียวเท่านั้น”
“สามร้อยปีก่อนเคยเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ออกมา สามร้อยปีต่อมาเกิดเหตุการณ์นี้อีกครั้ง ทว่าเขาก็ปรากฏตัวขึ้น ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขา”
“โม่ซูคนนี้ทำสิ่งใดในโลกแผ่นศิลากันแน่…ถึงทำให้แผ่นศิลาหายไปหมื่นอันและทำให้พวกมันกลับมาอีกครั้งได้” เสียงสนทนาเริ่มดังมากขึ้น ทว่าซูหมิงกลับเหมือนไม่ได้ยิน เขามองแผ่นศิลาของตน มองใบไม้สีม่วงในส่วนลึกของแผ่นศิลา
ช่วงที่มองใบไม้สีม่วง ซูหมิงเข้าใจแล้ว สายตาเบนไปมองแผ่นศิลาเกือบหมื่นที่เพิ่งปรากฏขึ้นรอบๆ เขาเห็นว่าแผ่นศิลาเหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นจากผลึกสีม่วง ทุกแผ่นศิลามีใบไม้สีม่วงอยู่
ขณะเดียวกับที่เห็นใบไม้สีม่วง พลันเกิดความรู้สึกผนึกรวมกันอย่างแนบแน่น ราวกับว่าเพียงความคิดก็จะให้แผ่นศิลาเกือบหมื่นนี้หายไปได้ หนึ่งความคิดก็ทำให้พวกมันกลายเป็นแสนจั้ง
กระทั่งตอนที่หลับตา แผ่นศิลาแสนอันก็กลายเป็นดวงตาของเขา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ซูหมิงกล่าวพึมพำเสียงเบา สายตามองแผ่นศิลาเก้าหมื่นอันอื่นๆ พลางพยักหน้า
บนแผ่นศิลาเก้าหมื่นอันของคนอื่นๆ เขาเห็นสีต่างกันเก้าสี ทุกสีมีจำนวนแผ่นศิลาคือหนึ่งหมื่น แผ่นศิลาเหล่านี้ก็รวมขึ้นจากผลึกแต่ละสีเช่นกัน ในพวกมันก็มีใบไม้คนละสีกัน
ทันทีที่ซูหมิงมองทะลุแผ่นศิลาและกวาดสายตามองใบไม้เหล่านั้น พลันมีดวงจิตต่อต้านแผ่ออกมาขวางสายตาเขา มีทั้งหมดเก้าดวงจิตด้วยกัน แบ่งเป็นแผ่นศิลาและใบไม้เก้าสี
ซูหมิงเผยรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้ตอนที่ยึดร่างเอ้อชางสีม่วง ในใจเขามีข้อสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดเอ้อชางที่ตนยึดร่างถึงเป็นสีม่วง
ตามความเข้าใจเดิมของเขา เอ้อชางสีม่วงคือแผ่นศิลาหนึ่งหมื่นอัน มันจะเติบโตขึ้นเป็นหนึ่งการทดสอบตอนแผ่นศิลาจะสูงถึงแสนจั้ง ด้วยความที่มีความคิดแบบนี้ เขาตรึกตรองอยู่นานมากก็ยังหาคำตอบไม่เจอ
ความคิดนี้มาถึงปลายทางแล้ว เขาพบว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง เอ้อชางสีม่วงก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่แกร่งที่สุดในสิบวิญญาณ เพราะจะควบคุมจุดเริ่มต้นของแผ่นศิลา คนแสนคนมีเก้าหมื่นกว่าคนถูกมันควบคุมอยู่
จนกระทั่งตอนที่ยึดร่างเอ้อชาง เขาเห็นอีกฝ่ายเรียกแสงสีม่วงเกือบหมื่นมา จนหลังจากยึดร่างแล้ว ความทรงจำยุ่งเหยิงก็หลั่งไหลเข้ามา หลังจากที่ได้เห็นกับตาเมื่อครู่นี้เขาก็ได้เข้าใจ
การคาดเดาของตนก่อนหน้านี้ผิดพลาด
เอ้อชางสีม่วงไม่ได้ควบคุมจุดเริ่มต้นของแผ่นศิลาแสนอัน ความจริงมันควบคุมเพียงหนึ่งหมื่น เอ้อชางมีสิบวิญญาณ วิญญาณทุกตนควบคุมแผ่นศิลาหนึ่งหมื่น แบบนี้ก็จะเท่าเทียมกัน
ตอนแรกสุดกฎซุ่ยเฉินจื่อเลือกแผ่นศิลาให้ซูหมิงเป็นสีม่วง ดังนั้น…วันแรกที่มาถึงแดนแผ่นศิลาที่นี่ จึงกลายเป็นหนึ่งในแผ่นศิลาหมื่นอันของเอ้อชางสีม่วง
นอกจากนี้ซูหมิงยังพบอีกว่า นอกจากตนแล้ว แผ่นศิลาที่เกินความสูงแสนจั้งขึ้นไปไม่มีใครมีสีม่วงเลย บางทีอาจเป็นเพราะแผ่นศิลาสีม่วงเกือบหมื่นอันเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อนพังลงทั้งหมด ทว่าตอนเพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อพันปีก่อน เขาได้จำนามและตำแหน่งของแผ่นศิลาที่สูงเกินแสนจั้งไว้อย่างแม่นยำแล้ว
ตอนนี้มองไป พวกมันไม่เพิ่มและไม่ลด ยังคงอยู่ทั้งหมด
นี่อธิบายได้อย่างหนึ่งว่าตั้งแต่เขามาถึงก็ไม่เคยมีแผ่นศิลาสีม่วงสูงเกินแสนจั้งมาก่อน กระทั่งเขายังหาคำตอบเจอในความทรงจำร่างแยกเอ้อชาง
คนสุดท้ายที่แผ่นศิลาสีม่วงสูงเกินแสนจั้งคือเมื่อสองพันปีก่อน แต่เพราะเจ้าของแผ่นศิลาตายอย่างกะทันหันในโลกภายนอก จึงทำให้แผ่นศิลาของเขาเหลือเพียงหลายพันจั้งอีกครั้ง
‘ถ้าอย่างนั้น ตอนนั้นที่มีแผ่นศิลาร้อยกว่าอันสูงเก้าหมื่นกว่าจั้งและเข้ารับการทดสอบพร้อมกัน…นั่นเป็นเพราะว่าเอ้อชางสีม่วงจงใจ มันในตอนนั้น…ร้อนใจ กังวลใจว่าจะไม่มีแผ่นศิลาสูงแสนจั้งปรากฏ ฉะนั้นมันจึงจงใจมอบความสะดวกสบายให้’ ซูหมิงนึกย้อนไปถึงตอนแผ่นศิลาทั้งหมดกลายเป็นเก้าหมื่นกว่าจั้งหลังจากตนมาถึงที่นี่ ในนั้นมากกว่าครึ่งน่าจะเป็นสีม่วง
แต่เห็นได้ชัดว่าแผ่นศิลาของโจวคังไม่ใช่
‘แผ่นศิลาแสนอัน แบ่งเป็นสิบวิญญาณ แผ่นศิลาทุกสีสูงถึงล้านจั้งได้ หลังจากข้ายึดร่างแล้วก็คิดว่าจากนี้ไปแผ่นศิลาของที่นี่จะไม่มีใครสูงถึงล้านจั้งอีก เพราะข้ามีสิทธิ์ในคำพูดเพียงคนเดียว ตอนนี้ดูแล้วข้าคงเข้าใจผิดเอง’ ซูหมิงส่ายศีรษะ ความทรงจำร่างแยกเอ้อชางยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง ต้องการเวลาถึงจะค่อยๆ หลอมรวมกับเขา ฉะนั้นเขาจึงไม่ได้คำตอบจากในนั้นทันที
‘ทว่าแบบนี้ดีกว่า ร่างแยกเอ้อชางอาศัยการฝึกฝนของหมื่นคนเพื่อแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ข้าอยู่ข้างนอก สังหารคนที่มีแผ่นศิลาสูงเกินกว่าแสนจั้งจากแผ่นศิลาของเอ้อชางตัวอื่นๆ
แบบนี้ก็จะได้ขวางไม่ให้แผ่นศิลาคนอื่นๆ เติบโตขึ้น และมีเพียงแผ่นศิลาสีม่วงของข้าเพียงคนเดียวที่แกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ร่างแยกเอ้อชางของข้ากินวิญญาณเอ้อชางอีกเก้าตัวได้สบายขึ้นมากด้วย’
“มะ…โม่ซู?” ขณะซูหมิงกำลังตรึกตรอง ก็มีเสียงไม่แน่ใจแว่วมาข้างหู
ซูหมิงมองไปตามเสียงนั้น เห็นโจวคังอยู่ไม่ไกล ไม่เจอกันมาสามร้อยปี รูปลักษณ์โจวคังไม่ต่างอะไรกับตอนนั้นมากนัก เพียงแต่ว่า…ดูโชกโชนประสบการณ์มากขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้เขามองซูหมิง สีหน้าแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น เหตุที่ตื่นเต้นไม่ใช่เพราะผูกมิตรกับซูหมิงเอาไว้อย่างดี แต่เพราะเขาอยากได้คำตอบเพื่อยืนยันว่าภรรยาเขาคิดถูก
“พี่ใหญ่โจว” ซูหมิงยิ้มแล้วกล่าวเสียงเบากับโจวคัง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หะ…เหตุใดเจ้าถึงไม่ออกจากโลกแผ่นศิลาตั้งหลายร้อยปี เหตุการณ์สองครั้งก่อนและหลังเป็นเพราะเจ้าหรือ? การคาดเดาของภรรยาข้าถูกต้องหรือไม่?”
โจวคังระงับความตื่นเต้นเอาไว้ น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เขาเฝ้าอยากจะรู้คำตอบ ถึงคำตอบจะมอบอิสระให้เขาไม่ได้ ทว่าก็เป็นข้อสงสัยที่เกินหยั่งที่สุดของภรรยาในตอนนั้น แม้ว่าภรรยาจะเสียไปแล้ว แต่เขาก็อยากรู้ทุกอย่าง
ซูหมิงมองโจวคัง หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นอีกฝ่ายเล่าประสบการณ์ของตนให้เขาฟัง และยังบอกเรื่องการคาดเดาของภรรยา เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางเดินไปสู่เส้นทางของห้าระดับแห่งมายาได้
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ บางทีเขาอาจจะยังเลือกยึดร่างอยู่ แต่ความยากคงถึงระดับที่หากเกิดข้อผิดพลาดแม้เล็กน้อยก็มีโอกาสสูงมากที่จะล้มเหลว กระทั่งตอนนี้หากให้เขายึดร่างใหม่อีกครั้ง เขาคงไม่มีความมั่นใจว่าจะทำสำเร็จเหมือนเดิมแล้ว
ครั้นเจอกับคำถามของโจวคัง ขณะที่ซูหมิงกำลังจะกล่าวเขาพลันขมวดคิ้ว แล้วเงยหน้ามองอากาศด้านบน
ยามนี้เอง ในเก้าหมื่นกว่าคนรอบๆ มีไม่น้อยเกิดการคาดเดาและใคร่ครวญ แล้วก็มั่นใจในฐานะของซูหมิง
“เจ้าคือโม่ซูคนที่ถูกสี่มหาโลกแท้จริงประกาศจับในตอนนั้น!”
“สมควรตาย เป็นเจ้านี่เอง หากไม่ใช่เพราะเจ้าล่วงเกินขุมอำนาจสี่มหาโลกแท้จริงจนทำให้พวกเขาประกาศจับ พวกข้าก็คงไม่ต้องมาที่บ้าๆ แบบนี้ แล้วยังต้องเสียอิสระนับจากนี้ไปอีก”
“ไอ้เดรัจฉานลูกผสม ถึงข้าจะสังหารเจ้าที่นี่ไม่ได้ แต่เจ้าก็ต้องเสียอิสระไปเช่นกัน ออกไปข้างนอกไม่ได้เหมือนกับข้า ขณะเดียวกันก็ต้องเจอการคัดเลือกแห่งความตาย ข้าอยากรู้นักว่าพวกเราใครจะตายก่อนกัน”
เสียงด่าทอดังแว่วมา ผู้ฝึกฌานที่กล่าวเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เข้ามาที่นี่สามร้อยกว่าปีแล้ว อีกทั้งยังรู้กฎห้ามลงมือของที่นี่ แต่ความคับอกคับใจตลอดสามร้อยปีมานี้ ทำให้เมื่อพวกเขาจำซูหมิงได้ก็เริ่มด่าทอทันที
แทบเป็นขณะเดียวกับที่พวกเขาด่าทอ บนฟ้าตรงจุดที่ซูหมิงมองอยู่เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว มีร่างเงาหลายร้อยคนปรากฏขึ้นพร้อมกัน ตอนที่ลงมา แต่ละคนต่างมีสีหน้าสับสน ซับซ้อน ดีใจ และหวาดกลัวต่างกัน
คนพวกนี้คือคนมาใหม่ แต่ซูหมิงไม่ได้มองพวกเขา ยังคงมองความว่างเปล่า