ตอนที่ 843 ลบหายไป
“ไอ้เดรัจฉาน หากไม่ใช่เพราะที่นี่ห้ามลงมือ ข้าคงสังหารเจ้าไปแล้ว เจ้าทำให้พวกข้าต้องมาอยู่ที่นี่ เจ้าต้องไม่ตายดี!” ในเก้าหมื่นคนรอบๆ คนที่ด่าทอซูหมิงก่อนหน้านี้มองผู้มาใหม่หลายร้อยคนอย่างมีความสุขที่เห็นคนอื่นทุกข์ ปากก็เอ่ยด่าทอไม่หยุดเพื่อระบายความอัดอั้นในใจ
ลงมือที่นี่ไม่ได้ นอกจากท่าดอแล้วก็ไม่มีวิธีอื่นระบายอีก ถึงการด่าทอจะไม่มีพลังสังหาร แต่หากไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว
“ข้าขอให้ครอบครัวเจ้าไม่ตายดี ขอให้ตระกูลเจ้าทั้งหมดตายอย่างอนาถ ขอให้คู่ชีวิตเจ้าไม่ว่าคนใดต้องอับอาย ขอให้สายเลือดเจ้าโรยรา!”
“ใช่ ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้าไอ้เดรัจฉาน หากข้ามีโอกาสทำให้แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้งล่ะก็ ได้ออกไปพันปีเมื่อไรข้าจะตามหาคนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าทุกคน แล้วสังหารพวกมัน แบบนี้ถึงจะระบายความแค้นในใจข้าได้”
เสียงดังติดต่อกันไม่หยุด คนเหล่านี้ราวกับคนบ้า เสียงด่าทอดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาอัดอั้นมาหลายร้อยปีจึงยากจะสงบลงอีก หลังจากเห็นสหายตายไปทีละคนแล้ว พวกเขาก็ลงทุกอย่างกับซูหมิง
ซูหมิงเหมือนไม่ได้ยิน ก็ยิ่งทำให้คนเหล่านี้ด่าทอหนักขึ้น กระทั่งมีคนมากกว่าเดิมเริ่มด่าทอเขา
เขาหวังว่าซูหมิงจะโต้กลับ เพราะหากเป็นเช่นนั้นพวกเขาถึงจะมีความสุข ถึงจะระบายความอัดอั้นและสิ้นหวังได้มากขึ้น
พวกเขาน่าสงสาร เพราะผู้ฝึกฌานคนหนึ่ง หากทำได้เพียงแต่ด่าทอคนอื่น….ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้านัก
ขณะพวกเขากำลังด่าทอ ตอนที่ซูหมิงมองความว่างเปล่าอย่างเงียบๆ หลายร้อยคนที่มาเยือนใหม่นั้นต่างลงมายังพื้นดินทีละคน ทันใดนั้นก็มีหลายร้อยแผ่นศิลาสีม่วงในสายตาซูหมิงขยับแสงวูบวาบ
ภายใต้แสงนี้ บนแผ่นศิลาหลายร้อยอันปรากฏชื่อคนขึ้นทีละคน
กลางแสงสว่างพร่างพราว แผ่นศิลาหลายร้อยอันเริ่มสูงขึ้นทันที นี่คือการเพิ่มขึ้นตามขั้นพลังตอนเริ่มต้น ช่วงที่เกิดเสียงดังกึกก้อง ในแผ่นศิลาหลายร้อยอันมีอยู่อันหนึ่งสูงถึงสามพันกว่าจั้ง!
แต่ที่เหลือส่วนใหญ่สองพันกว่าจั้งเท่านั้น
ตอนเริ่มก็เป็นแผ่นศิลาสามพันกว่าจั้งแล้ว นับว่าพบเห็นไม่บ่อยที่นี่ จึงมีคนมองไปยังชายชราคนหนึ่งในหลายร้อยคนนี้ทันที
ชายชรามีสีหน้ามืดทะมึน มุมปากยังมีโลหิตไหล เขาเช็ดคราบโลหิต แล้วนั่งฌานลงอย่างเงียบๆ ไม่ได้สนใจสายตาของคนรอบๆ แม้แต่น้อย เพียงเงยหน้าขึ้นมองความว่างเปล่า นัยน์ตาลึกๆ มีจิตสังหารและความแค้น
‘เป็นเขา’ ซูหมิงมองชายชราแวบหนึ่งแล้วยิ้ม
“จุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลาง!”
“เขาคือตาแก่จุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลาง ดูท่าคงบาดเจ็บมา หรือว่าจะหนีตระกูลศัตรูเข้ามา?”
“บรรพบุรุษตระกูลจ้าว เขาคือบรรพบุรุษตระกูลจ้าว!”
“หลายร้อยปีมานี้ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากเชื่อว่าบรรพบุรุษตระกูลจ้าวก็ถูกบีบเข้ามาที่นี่”
ระหว่างที่ผู้คนรอบๆ ต่างตื่นตกใจ ในหลายร้อยคนนี้นอกจากชายชราแล้ว ส่วนใหญ่มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าซับซ้อน ตอนที่เห็นเก้าหมื่นคนของที่นี่ พวกเขาอึ้งงันก่อน ทว่าเมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วมาหยุดที่ซูหมิง มีอยู่หลายคนมีสีหน้าดีใจระคนตกใจทันที
“โม่ซู! เขาคือโม่ซู ข้าจำหน้าตาเขาได้ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากพันปีก่อนเลย เขาคือคนที่แลกกับอิสระได้!”
กระทั่งมีชายร่างกำยำที่มีนิสัยโอหังอย่างชัดเจนเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง เขาขยับวูบไหวตรงไปหาซูหมิงในพริบตา การพุ่งเข้ามาของเขาอยู่ในสายตาของเก้าหมื่นคนที่นี่ ก่อนกลายเป็นการเย้ยเยาะ นั่นเป็นสีหน้าที่จะได้เห็นอะไรสนุกๆ พวกเขาจินตนาการไว้แล้วว่า ตอนที่คนนี้ลงมือจะต้องตายแน่นอน
“โม่ซู!” ชายร่างกำยำรวดเร็วอย่างยิ่ง เมื่อเข้ามาใกล้ในพริบตาแล้ว ก็ยิ้มเยาะพลางยกมือขวาขึ้น ขณะกำลังจะลงมือนั้น ซูหมิงละสายตาจากความว่างเปล่าแล้วมองชายร่างกำยำแวบหนึ่งเรียบๆ
เพียงแวบเดียว ชายร่างกำยำจิตใจระเบิดราวกับเกิดฟ้าผ่า เขามีความรู้สึกเด่นชัดว่าสายตาซูหมิงเหมือนธรรมดา ทว่ากลับมีความน่าเกรงขามไม่อาจต่อต้าน
ความน่าเกรงขามอยู่เหนือเกินขั้นพลัง อยู่เหนือทุกสิ่งอย่าง กระทั่งชายร่างกำยำยังเกิดภาพหลอนราวกับว่าตัวเองหลายเป็นทาสของอีกฝ่าย ถูกกุมความเป็นตาย เพียงแค่ความคิดไม่ว่าตนจะอยู่ขั้นพลังใดจะถูกลบหายไปในพริบตา
แรงกดดันจากวิญญาณกลายเป็นความหวาดกลัว กลายเป็นความเจ็บปวด ทำให้เขาตัวสั่นอยู่กลางอากาศ ส่งเสียงร้องโหยหวนแล้วร่วงลงพื้น ทั่วร่างแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นก็ส่งเสียงร้องดังกังวานไปทั่ว ทว่ากลับยังไม่ตายในทันที เห็นได้ชัดว่าซูหมิงยังไม่อยากสังหารเขา
ภาพนี้ดึงดูดความสนใจของหลายร้อยคนที่มาใหม่ทันที พวกเขาต่างหน้าเปลี่ยนสีและตื่นกลัวกับภาพนี้ แม้แต่บรรพบุรุษตระกูลจ้าวที่มีสีหน้ามืดทะมึนยังมองมาโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็เห็นซูหมิง
วินาทีที่มองมา เขาจำซูหมิงได้ ก่อนส่ายศีรษะด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย แล้วมองความว่างเปล่าด้วยใบหน้าทะมึนอีกครั้ง ราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
ซูหมิงไม่มองชายร่างกำยำที่กำลังร้อง แต่มองโจวคังพลางกล่าวเสียงเบา
“พี่ใหญ่โจว การคาดเดาของภรรยาท่าน….ถูกต้อง” ซูหมิงกล่าวจบ ก็กวาดสายตามองคนที่ด่าทอเมื่อครู่นี้ทีละคน
“พวกเจ้าน่าสงสาร” ซูหมิงกล่าวเรียบนิ่ง
“พวกเจ้าต้องการอิสระ ข้าก็จะให้อิสระพวกเจ้า” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ ขณะเดียวกันก็ยกมือขวาชี้ไปข้างหน้า
เขากดนิ้วไปทางชายชราที่ด่าทอตระกูลของเขาอยู่ไกลๆ
ชายชราคนนั้นยิ้มเยาะ ที่นี่ห้ามลงมือ หากโม่ซูกล้าลงมือกับคน เช่นนั้นก็ต้องตายแน่ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวใดๆ แต่กลับยิ้มเยาะและยังกล่าวอีกว่า
“ข้าไม่ได้แค่ด่าทอตระกูลเจ้าทั้งหมด แต่ยังด่า…” เขายังกล่าวไม่จบ ก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ช่วงที่ซูหมิงกดนิ้วมา ร่างกายเขาก็หายไปเริ่มจากขาสองข้างทันที
“นี่เป็นไปไม่ได้ จะ….เจ้า…..” ชายชรามีสีหน้าหวาดกลัว ความกลัวอบอวลทั้งกายและใจ ทว่าเขาเพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ ร่างกายก็กลายเป็นเถ้าธุลีหายไปประหนึ่งถูกลบ
“แล้วก็เจ้า” ซูหมิงชี้นิ้วไปอีกครั้ง ผู้ฝึกฌานที่ด่าทอเขาเมื่อครู่อีกคนร้องโหยหวน ร่างสลายเป็นเถ้าธุลี
ภาพนี้สร้างความตื่นตกใจกับทุกคน สำหรับพวกเขาแล้วนี่คือความน่ากลัวไม่อาจจินตนาการ โดยเฉพาะ…..ซูหมิงสังหารคน แต่กลับไม่ถูกลงโทษใดๆ นี่จึงทำให้ความหวาดกลัวของทุกคนเพิ่มมากขึ้นทันที
“เจ้าก็ด้วย” ซูหมิงยกมือขึ้นชี้ไปอีกครั้ง พลันมีอีกคนร้องคำรามด้วยความสิ้นหวังพร้อมกับร่างสลายไป
จากนั้นแล้วที่นี่จึงเกิดเสียงดังเกรียวกราว ทุกคนต่างพากันถอยไป คนที่ด่าทอซูหมิงเมื่อครู่คลุ้มคลั่งขึ้นมา บ้างถอยไป ทว่าบางคนนัยน์ตาวาววับพร้อมกับตรงไปหาซูหมิง
เพียงแต่ว่าคนที่พุ่งเข้าไปในใจล้วนเกิดความคิดประหลาดขึ้นอย่างหนึ่ง หรือว่า…..ที่นี่จะลงมือได้?
ทว่าช่วงที่พวกเขาเพิ่งเริ่มใช้อภินิหาร ก็มีดวงจิตยิ่งใหญ่กวาดเข้ามาทันที หลังจากอภินิหารถูกตัวซูหมิง คนเหล่านี้ก็ถูกดวงจิตลบหายไปทีละคน
ความหวาดกลัว ตื่นกลัวและเหลือเชื่อลอยขึ้นมาในใจคนหลายหมื่นคนที่นี่ พวกเขาต่างมองเหตุการณ์นี้อย่างเหลือเชื่อ
คนที่ด่าทอซูหมิงเมื่อครู่และยังมีคนที่ยังไม่ตาย เวลานี้ต่างพยายามจะเข้าไปหลบในโลกแผ่นศิลา ความหวาดกลัวในใจกลายเป็นความสิ้นหวังแล้ว และยังมีความแค้นกับความหวาดกลัวเหลือล้น พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดซูหมิงถึงสังหารคนได้
อีกทั้ง…..นี่เหมือนว่าเขาไม่ได้ใช้ขั้นพลังโจมตี แต่ใช้….กฎของที่นี่ ประหนึ่งว่ากฎฟังคำสั่งเขา ขอเพียงอยากสังหารใครก็ใช้กฎของที่นี่ลบหายไป
เห็นคนเหล่านี้กระจัดกระจายกัน และยังมีบางคนสัมผัสแผ่นศิลาแล้ว การที่พวกเขากระจายกันอย่างนี้ดูเหมือนยากจะถูกลบหายไปในพริบตา ทว่าตอนนี้เองซูหมิงกล่างเสียงราบเรียบขึ้น
“ทั้งหมดจงหายไป”
มีเพียงซูหมิงที่เห็นว่าร่างเงาจากกฎกลางอากาศของที่นี่โค้งคำนับเขา ก่อนดวงจิตของกฎจะขยายออกโดยพลัน เสียงกรีดร้องดังมาจากทุกคนที่ด่าทอ ร่างกายพวกเขาใกล้จะสลายหายไป สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
ทันใดนั้นผู้ฝึกฌานทั้งหมดของที่นี่ต่างใจสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไป มีดวงจิตมหาศาลไม่มีสิ้นสุดและโบราณเก้าดวงพลันลงมาจากมวลอากาศ
ดวงจิตเก้าดวงนี้ทุกตนล้วนเทียบเท่ากับเอ้อชางสีม่วง นั่นคือความแกร่งที่สามารถสังหารคนได้ในพริบตา พวกมันลงมาพร้อมด้วยความโกรธและพุ่งไปหาซูหมิง
ในวิญญาณซูหมิง ดวงจิตเก้าดวงนี้คือเก้าวิญญาณที่เหลือจากร่างเอ้อชาง พวกมันดูไม่พอใจอย่างยิ่งที่ซูหมิงสังหารเครื่องบรรณาการของพวกมัน
ระหว่างพวกมันมีสัญญากันอยู่ว่าต่างฝ่ายต่างห้ามสังหารเครื่องบรรณาการของอีกฝ่าย มิเช่นนั้นจะไม่มีผู้ฝึกฌานลงมาอีก และพวกมันก็จะไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นหลังจากซูหมิงลงมือแล้ว พวกมันจึงลงมาด้วยความโกรธ และเริ่มสอบถาม
“เหตุใดถึงทำลายสัญญาของพวกเรา!”
“เหตุใดถึงสังหารเครื่องบรรณาการของข้า!”
“สีม่วง เจ้าต้องอธิบาย!”
“สีม่วง พวกมันคือเครื่องบรรณาการของข้า หากไม่มีคำอธิบายที่น่าพอใจ เช่นนั้นในเมื่อเจ้าสังหารคนของข้า ถึงข้าต้องจ่ายไปบ้าง แต่ข้าก็จะเปลี่ยนกฎของที่นี่สังหารเครื่องบรรณาการของเจ้าคืนหลายเท่าบ้าง”
เจอกับความโกรธของดวงจิตเก้าดวงนี้ ซูหมิงไม่ถอยแม้แต่น้อย แต่ส่งดวงจิตของตนเข้าปะทะกับดวงจิตเก้าดวง
“เครื่องบรรณาการของพวกเจ้าหยาบคายต่อข้า!” ดวงจิตซูหมิงไม่ได้ประนีประนอมแม้แต่น้อย แต่กลับย้อนไปอย่างแข็งกร้าว
ดวงจิตเก้าดวงเงียบไป ราวกับกำลังตรึกตรองคำพูดซูหมิง
“หยาบคายต่อเราเอ้อชางสมควรสังหารหรือไม่!” ดวงจิตซูหมิงแข็งกร้าวยิ่งขึ้น หลายลมหายใจต่อมา ดวงจิตเก้าดวงก็ส่งเสียงคำรามมาอีกครั้ง
“สมควรสังหาร หยาบคายต่อเราเอ้อชางสมควรสังหาร!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกมันก็สมควรตาย พวกมันเป็นเพียงเครื่องบรรณาการ แต่กลับกลับหยาบคายต่อเราเอ้อชาง สมควรตาย!”
หลังดวงจิตเก้าดวงส่งเสียงคำราม ผู้คนที่ด่าทอซูหมิงไม่ว่าจะกระจัดกระจายหรือเข้าไปในโลกแผ่นศิลาล้วนกรีดร้องทั้งหมดพร้อมกับสลายหายไป