ตอนที่ 845 ออกจากแดนประหลาด
เมื่อซูหมิงกล่าวออกไป บรรพบุรุษตระกูลจ้าวตรงหน้าตัวสั่นสะท้านทันใด เขาเงยหน้าขึ้นเหม่อมองซูหมิง ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะพูดช่วยเขา
ความแกร่งของซูหมิงลึกลับอย่างยิ่งในสายตาบรรพบุรุษตระกูลจ้าว เขาไม่รู้ว่าซูหมิงผ่านอะไรที่นี่มาบ้าง ทว่าเห็นซูหมิงสะบัดมือสังหารคนเกือบร้อย ตอนเดินเข้ามายังทำให้หลายร้อยคนรวมถึงตนคุกเข่าคารวะพร้อมกันอีก
การยอมปฏิบัติตามจากจิตวิญญาณทำให้บรรพบุรุษตระกูลจ้าวหวาดกลัว ขณะเดียวกันก็เกิดความเคารพยำเกรงอย่างที่ไม่อาจบรรยายต่อซูหมิง กระทั่งเห็นจากสายตาของคนรอบๆ แล้ว เกรงว่าตั้งแต่โบราณกาลมา ในแดนประหลาดวงแหวนบูรพา ในความทรงจำของหลายหมื่นคน น่าจะไม่เคยปรากฎคนอย่างซูหมิงมาก่อน
และที่ยิ่งทำให้เขาตกใจคือ ด้วยขั้นพลังเขาจึงรู้สึกรางๆ ว่า ตอนที่ซูหมิงสะบัดมือ กฎของซุ่ยเฉินจื่อที่นี่ฟังคำสั่งซูหมิงอย่างชัดเจน
ทุกอย่างไม่ต้องอธิบาย ซูหมิงต่างกับคนอื่นที่นี่
แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงกล่าวออกไป หลายหมื่นคนรอบๆ พลันเงียบกริบ พวกเขาต่างก้มหน้าลง เหตุการณ์ต่างๆ ที่ซูหมิงทำก่อนหน้านี้สร้างความตื่นตกใจกับพวกเขาแล้ว ตอนนี้เมื่อเสียงเขาดังกึกก้อง พวกเขาจึงต้องเงียบ
ความเงียบของทุกคน ทำให้เกิดบรรยากาศพิลึกๆ ทำให้กงซุนอิ้นกลางอากาศตะลึงงันแล้วก็มองซูหมิง
เขาหรี่ตาลง ไม่ได้กลับมาที่นี่พันปี วันนี้เพิ่งกลับมาก็รู้สึกผิดปกติ อันดับแรกคือภาพหลายร้อยคนคุกเข่าลง ซึ่งคนเหล่านั้นเขาไม่เคยเจอมาก่อน
อันดับต่อมา คนที่หลายร้อยคนคุกเข่าให้เอ่ยเพียงประโยคง่ายๆ แต่ทำให้หลายหมื่นคนเงียบงัน กระทั่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้น และก้มหน้าลงทั้งหมด นี่ยิ่งทำให้กงซุนอิ้นหัวใจเต้นระรัว
เขารู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว
‘ข้าออกไปพันปี ที่นี่เกิดอะไรขึ้น คนนี้…..ข้าไม่เคยเจอมาก่อน จะต้องมาหลังจากที่ข้าออกไปแล้วแน่ๆ’ กงซุนอิ้นนัยน์ตาขยับประกาย เขาฝึกฝนถึงเจ้าปกครองโลกตอนปลายแล้ว ถึงบอกว่าเกี่ยวกับที่นี่ ทว่าสติปัญญาก็จะต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน ตอนนี้ใบหน้าเผยรอยยิ้มอัธยาศัยดีแล้วพยักหน้าให้ซูหมิง
“สหายน้อยท่านนี้มีนามว่าอะไรรึ? ข้ากงซุนอิ้น แผ่นศิลาแสนจั้ง…..”
“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร” ซูหมิงขัดคำพูดกงซุนอิ้นด้วยการเอ่ยราบเรียบ
ซูหมิงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ทำให้แววตากงซุนอิ้นขยับประกายจิตสังหาร หลังจากเขาบรรลุถึงเจ้าปกครองโลกตอนปลายก็ยังไม่เคยมีใครกล่าวกับเขาเช่นนี้มาก่อน เขาแค่นเสียงหึเย็นชา จิตสังหารในแววตาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สายตาจ้องซูหมิงพลางยิ้มทีเล่นทีจริง
“หลังจากแผ่นศิลาข้าสูงถึงแสนจั้งแล้ว เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าพูดกับข้าแบบนี้ ดูท่าจากไปพันปี คงทำให้คนใหม่รุ่นหลังของที่นี่ลืมชื่อเสียงเรียงนามของข้าไปแล้ว ช่างเถอะ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้ามากนัก แต่จะให้เจ้ารู้ว่าผู้ที่แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้งแล้วจะเป็นผู้ถูกเลือกต้นกำเนิดจิต ไม่ใช่คนรุ่นหลังอย่างเจ้าจะมาล่วงเกินกันง่ายๆ!” กงซุนอิ้นยิ้มเยาะ พลันยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังพื้นดิน
“แผ่นศิลาของข้า!” ทันทีที่กล่าว ในแผ่นศิลาแสนอัน มีแผ่นศิลาแสนจั้งอันหนึ่งส่งเสียงโครมครามและลอยขึ้นมาจากพื้นดิน
แผ่นศิลาแสนจั้งนี้สลักชื่อกงซุนอิ้นไว้อย่างชัดเจน ดูยิ่งใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ตอนนี้หลังจากลอยขึ้นมาแล้วก็ทำให้คนรอบๆ ต่างหน้าเปลี่ยนสี
“นี่คือหนึ่งในพลังที่ผู้ถูกเลือกรอบแรกจะได้รับ สามารถกำราบแผ่นศิลาคนอื่น ทำให้มันเล็กลงได้!”
“ไม่ผิด นี่คืออภินิหารสำหรับผู้ถูกเลือกรอบแรกเท่านั้น ตอนนั้นข้าเคยเห็นแผ่นศิลาของผู้คัดเลือดรอบแรกกดแผ่นศิลาเก้าหมื่นกว่าจั้งให้เหลือหลายพันจั้ง ทำให้ความพยายามหลายสิบปีสูญเปล่า หากไม่ใช่เพราะคนนั้นขอร้องเอาไว้ เกรงว่าจากนี้ไปขอแค่ผู้ถูกเลือกรอบแรกที่ถูกเขาล่วงเกินคนนั้นยังอยู่ เขาก็คงไม่มีทางให้แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้งได้”
“กงซุนอิ้นเป็นผู้ถูกเลือกรอบแรก โม่ซูก็มีความหมัศจรรย์ไม่ว่า แผ่นศิลาเขายังสูงแสนจั้งเหมือนกัน ไม่รู้ว่าระหว่างสองคนนี้จะเป็นอย่างไร”
ช่วงที่เกิดเสียงดังอื้ออึง แผ่นศิลากงซุนอิ้นเปล่งแสงหมื่นจั้ง ภายใต้การแผ่ขยาย แผ่นศิลาทั้งหมดล้วนเลือนราง ทว่ามีเพียงแผ่นศิลาของซูหมิงคนเดียวที่ชัดเจนอยู่
นี่คือผลของอภินิหารผู้ถูกเลือกรอบแรก ทำให้ผู้ถูกเลือกรอบแรกไม่ต้องใช้จิตสัมผัสก็หาแผ่นศิลาคนที่ต้องการเจอ ทันทีที่แผ่นศิลาซูหมิงโผล่ขึ้นมา กงซุนอิ้นกลับขมวดคิ้ว
แผ่นศิลาซูหมิงก็สูงแสนจั้งเช่นกัน
ทว่ากงซุนอิ้นยิ้มเยาะในใจ ต่อให้เป็นแสนจั้ง แต่เขามาก่อนพันปี มิหนำซ้ำในพันมานี้อีกฝ่ายเพิ่งทำให้แผ่นศิลาสูงแสนจั้ง ดังนั้นเขาจึงกดได้เช่นกัน ถึงผลจะธรรมดา แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายตื่นตกใจได้
“กด!” กงซุนอิ้นแค่นเสียงหึเย็นชา ทันใดนั้นแผ่นศิลาของเขาก็ตรงไปหาแผ่นศิลาของซูหมิงแล้วกดลงไป!
ขณะกดลง ซูหมิงมีสีหน้าราบเรียบ ไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ เลย กระทั่งแผ่นศิลาของเขาก็เช่นกัน ทว่า…..แผ่นศิลาของกงซุนอิ้น ยามกดลงไป ส่วนล่างก็เริ่มแตกหัก เกิดเสียงครึกโครม กระทั่งเกิดเค้ารางถล่มลง
ภาพนี้ทำให้รอบๆ เกิดเสียงดังเกรียวกราว และยังทำให้กงซุนอิ้นหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เขารีบควบคุมแผ่นศิลาให้ยกขึ้น แล้วมองซูหมิงด้วยท่าทีราวกับเห็นผี
ในสายตาซูหมิงแผ่นศิลาของกงซุนอิ้นเป็นสีฟ้า เป็นเครื่องบรรณาการของเอ้อชางสีฟ้า แผ่นศิลาหมื่นอันของที่นี่ รวมถึงของโจวคังก็เป็นหนึ่งในหมื่นด้วย
หากอยู่โลกภายนอกแล้วเจอตาแก่เจ้าปกครองโลกตอนปลาย ซูหมิงต้องใช้ขั้นพลังต่อสู้ ทว่าที่นี่ไม่ต้องทำแบบนั้น เขายกมือขวาชี้ไปยังแผ่นศิลาของกงซุนอิ้น
เมื่อชี้ไปก็เกิดเสียงดังสนั่นกังวาน แผ่นศิลากงซุนอิ้นเกิดแนวโน้มจะถล่มทลายลงเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ มีรอยร้าวปรากฎขึ้นราวกับรอยแผลเป็นน่ากลัว กงซุนอิ้นหน้าเปลี่ยนสีไปมาก ดูหวาดกลัวอย่างยิ่ง ร้อนรนขึ้นมาทันที
ความเสียหายของแผ่นศิลาจะส่งผลถึงวิญญาณเขา จะไม่ให้เขาหวาดกลัวได้อย่างไร
“ไม่! บัดซบ เจ้ากล้าทำลายแผ่นศิลาข้า ในเมื่อเจ้าใช้อภินิหารของผู้ถูกเลือกรอบแรกได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน!” เห็นได้ชัดว่ากงซุนอิ้นเข้าใจผิดแล้ว นิ้วนั้นของซูหมิงเหนี่ยวนำกฎของที่นี่ต่างหาก ทว่าเขากลับคิดถึงไปวิชาพิเศษอีกชนิดของผู้ถูกเลือกรอบแรก
“นายท่าน กงซุนอิ้นขอร้องให้ดวงจิตนายท่านลงมาเยือนด้วย ช่วยใช้กฎของที่นี่ปกป้องแผ่นศิลาของข้าและกำราบคนผู้นี้!” กงซุนอิ้นคำรามเสียงต่ำ ปีนั้นที่แผ่นศิลาเขาสูงแสนจั้ง ตอนที่เขากลายเป็นผู้ถูกเลือกรอบแรก เขาก็เห็นแสงสีฟ้าไม่มีสิ้นสุด แสงสีฟ้าแก่กล้านั้นคือดวงจิตที่สามารถทำลายล้างเขาได้
กระทั่งในความรู้สึกเขา สีฟ้าในตอนนั้นทำให้เขาเกิดความรู้สึกเชื่อฟังจากจิตวิญญาณ ราวกับว่าเป็นเจ้านายของเขา เจ้านายมอบวิชาพิเศษนี้ให้ผู้ถูกเลือกรอบแรกอย่างเขา สามารถใช้แผ่นศิลากดแผ่นศิลาของคนอื่น ทั้งยังมอบสิทธิและประโยชน์ในการเรียกสามครั้ง ทุกครั้งที่เรียกจะขอให้เจ้านายช่วยได้หนึ่งเรื่อง
นี่คือการใช้สิทธิ์ครั้งที่สองของเขาแล้ว ครั้งก่อนคือเขาเรียกดวงจิตเจ้านายลงมาเยือนก่อนจากไป แล้วเปิดมิติทำให้ออกไปข้างนอกได้พันปี
ในสายตาคนอื่น อิสระหนึ่งพันปีมีเพียงผู้ถูกเลือกรอบแรกเท่านั้นที่จะรู้ว่าอิสระนี้ต้องมีการแลกเปลี่ยน อีกทั้ง…นานสุดก็เพียงพันปี และห้ามร้องขออีก
ช่วงที่กล่าวไป เขามั่นใจมากว่าดวงจิตของเจ้านายแข็งแกร่งที่สุดในนี้ สามารถส่งผลถึงกฎและเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ นั่นคือความแกร่งที่ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยเจอมาก่อน ตอนที่ดวงจิตเจ้านายลงมาเยือน เขาจะต้องให้ชนรุ่นหลังคนนี้ได้เห็นดี ให้มันรู้ว่าการล่วงเกินผู้ถูกเลือกรอบแรกคือความผิดพลาดที่สุดในชีวิต!
กระทั่งเขายังจินตนาการได้อีกว่า ครู่ต่อไปชนรุ่นหลังคนนี้จะต้องหน้าเปลี่ยนสีและร้องโหยหวน กระทั่งคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าตน
เขาอยากใช้โอกาสนี้โจมตีจ้าวเทียนกังอย่างหนักหน่วงด้วย ให้อีกฝ่ายสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม ให้ลิ้มลองความเจ็บปวดของตนในตอนนั้น
กงซุนอิ้นยิ้มมุมปากเหี้ยมโหด เขาเห็นซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย รอยยิ้มก็กลายเป็นการเย้ยเยาะ
แทบเป็นขณะเดียวกับที่เขายิ้มเยาะ เขาพลันรู้สึกถึงดวงจิตของเจ้านายที่คุ้นเคยพลันลงมาเยือนอย่างยิ่งใหญ่ พริบตาเดียวก็ปกคลุมแผ่นศิลาของเขา ทว่า….แผ่นศิลา….ก็ยังคงพังทลายต่อไป!
แม้จะช้าลงมาก ทว่าก็ยังคงไม่หยุด ประหนึ่งว่าแม้แต่เจ้านายเขาก็ยังไม่อาจขวางการทำลายศิลาได้อย่างสมบูรณ์
กงซุนอิ้นหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน เรื่องนี้เหนือการคาดเดาของเขา ทำให้ความคิดพลันขาวโพลน แต่เขาก็ยังมีความโชคดีอยู่
“สีม่วง!” เสียงทรงอานุภาพดังกึกก้องในวิญญาณกงซุนอิ้น เขาจำได้ทันทีว่านี่คือเสียงของเจ้านาย ทว่าไม่ได้พูดกับเขา เขาเพียงได้ยินเท่านั้น ระหว่างที่กำลังตะลึงงันเพราะเสียงสองคำเจ้านาย เขาก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งทันใด
“สีฟ้า”
เขาคุ้นหูเสียงนี้ เป็นของชายหนุ่มที่หลายร้อยคนรวมถึงจ้าวเทียนกังคุกเข่าให้ เขากงซุนอิ้นเพิ่งเย้ยเยาะไปและเตรียมจะสั่งสอน
“คนคนนี้คือเครื่องบรรณาการรอบแรกของข้า เจ้าปล่อยเขาไปสักครั้งได้หรือไม่?” กระแสจิตดังกังวาน เสียงนี้มีเพียงกงซุนอิ้นคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน เพราะเขาเป็นคนเรียกดวงจิตเอ้อชางสีฟ้ามา
ทว่าสิ่งที่ทำให้กงซุนอิ้นเหลือเชื่อและหวาดกลัวคือ เจ้านายใช้น้ำเสียงพูดคุยหารือ ทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ลมหายใจแทบจะแข็งค้าง เขาไม่รู้ว่าตนล่วงเกินใครไปกันแน่ แม้แต่เจ้านายยังต้องหารือด้วย
“เครื่องบรรณาการของเจ้าโจวคังให้ออกจากแผ่นศิลาของเจ้า แล้วมาเป็นเครื่องบรรณาการของข้าแทน” ซูหมิงส่งกระแสจิตไป กงซุนอิ้นได้ยินแล้วก็รู้เลยว่านี่คือน้ำเสียงในระดับเดียวกับเจ้านาย พอนึกเชื่อมไปถึงน้ำเสียงหารือของเจ้านายก่อนหน้านี้แล้ว ในความคิดเขาพลันเกิดการคาดเดาที่น่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่งขึ้น การคาดเดานี้ทำให้ใจเขาสั่นไหว ตอนมองซูหมิงมีสีหน้าหวาดกลัวถึงขีดสุด
ภาพนี้ในสายตาคนอื่นแปลกประหลาดยิ่งนัก เพราะพวกเขาเห็นเพียงกงซุนอิ้นตะลึงงันอยู่กลางอากาศ แน่นิ่งไม่ขยับไหว ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความตะลึงและหวาดกลัว
“ได้” ดวงจิตเอ้อชางสีฟ้าตกลงอย่างไม่ลังเล
“คนผู้นี้รอดจากความตายได้ แต่ต้องถูกลงโทษ เพื่อความยุติธรรมระหว่างพวกเราสิบวิญญาณ เขาต้องตกอยู่ในบ่วงอีกครั้ง เพื่อเป็นการเตือนไม่ให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง”
“ได้ แต่เจ้าห้ามยั่วยุให้เครื่องบรรณาการของข้าล่วงเกินเจ้าอีก”
“ได้”
ดวงจิตเอ้อชางสีฟ้ากลับไป ดวงจิตซูหมิงก็แผ่ขยาย
เห็นเพียงแผ่นศิลาของกงซุนอิ้นหดเล็กลงจากแสนจั้ง สุดท้ายก็เหลือเพียงสามพันกว่าจั้ง แล้วร่วงลงพื้นใหม่อีกครั้ง ภาพนี้ทำให้ผู้คนโดยรอบส่งเสียงเกรียวกราวดังสนั่น
“แผ่นศิลาของผู้ถูกเลือกรอบแรก….ลดเหลือไม่กี่พันจั้ง!”
“สิทธิ์ผู้ถูกเลือกรอบแรกของกงซุนอิ้นถูกยกเลิกไป หะ….เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ หรือเป็นเพราะล่วงเกินโม่ซู เหตุใดโม่ซูถึงแกร่งขนาดนี้ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเขาเหมือนกับพวกเรา!”
“โม่ซูได้รับโชควาสนาใดกันแน่ หรือว่า….หรือว่า….”
“จะล่วงเกินคนคนนี้ไม่ได้ คนแบบนี้ ที่นี่แทบจะไม่มีใครอยู่เหนือเขาได้!”
“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเขาใช้ห้าระดับแห่งมายาเข้าสู่โลกแผ่นศิลา หรือว่าสุดท้ายผู้ใช้ห้าระดับแห่งมายาเข้าแผ่นศิลาจะแกร่งเช่นนี้ ทว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็มีคนที่ใช้ห้าระดับแห่งมายาไม่น้อยเลย แต่กลับ…ไม่มีใครเป็นเช่นนี้”
ขณะเดียวกัน สีแผ่นศิลาของโจวคังก็เปลี่ยนไปเป็นสีม่วง แต่ในแผ่นศิลาหนึ่งหมื่นอันของซูหมิงก็มีแผ่นศิลาว่างอันหนึ่งกลายเป็นสีฟ้า
เพียงแต่ว่าคนอื่นมองไม่เห็น กระทั่งโจวคังก็ยังไม่สังเกตเห็นเช่นกัน
กงซุนอิ้นหน้าซีดขาว ตัวสั่นทรุดลงกับพื้น เขามองซูหมิง ความกลัวในใจสุดจะบรรยาย ตอนนี้เขาแน่ใจได้แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องอยู่ระดับเดียวกับเจ้านายแน่นอน กระทั่ง…ไม่ใช่ผู้ฝึกฌานแล้ว แต่เป็นส่วนหนึ่งของแดนประหลาด
เขาไม่กล้าล่วงเกินคนแบบนี้ และยิ่งไม่กล้าปากเสียใส่ด้วย
“ขอบคุณที่นายท่านสีม่วงเมตตาไม่สังหาร”
เมื่อกงซุนอิ้นกล่าวไป เสียงเกรียวกราวรอบๆ ก็ดังสนั่นยิ่งกว่าเดิม ซูหมิงไม่สนใจกงซุนอิ้น ไม่มองบรรพบุรุษตระกูลจ้าวที่ตื่นตะลึงอยู่ข้างๆ แต่มองโจวคังที่มีสีหน้าสับสนอยู่
“พี่ใหญ่โจว อยากออกไปจากที่นี่หรือไม่?”
“ข้า…ออกไปได้หรือ” โจวคังเงยหน้าขึ้นอย่างสับสน แล้วมองซูหมิง
“หากท่านต้องการ”
“นาง….ฟื้นคืนชีพได้หรือไม่?” แววตาโจวคังสับสน เปี่ยมไปด้วยความหวัง
ซูหมิงส่ายหน้าเงียบๆ
“ข้าจะอยู่ที่นี่” โจวคังฝืนยิ้มปวดร้าว ราวกับสูญเสียวิญญาณไป เขารู้ว่าหากตนออกจากที่นี่ก็จะไม่มีวันเจอหน้าภรรยาไปอีกชั่วนิรันดร์ ทว่าอยู่ที่นี่…อย่างน้อยก็ยังมีโลกแผ่นศิลาแห่งความทรงจำอยู่เป็นเพื่อน ถึงเขาจะรู้ว่ามันเป็นเพียงความทรงจำก็ตามที
ซูหมิงถอนหายใจเบาๆ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นร่างสตรีหลายคน ผ่านไปพักใหญ่เขาก็ส่ายศีรษะ เขานับถือความรักของโจวคัง แต่โลกนี้นอกจากความรักของชายหญิงแล้ว ยังมีความรักอื่นๆ อีกที่ต้องการการปกป้องเช่นกัน
ขณะหมุนตัวไป ซูหมิงก็ใช้มือขวากดตรงระหว่างคิ้วบรรพบุรุษตระกูลจ้าวที่ไม่ต่อต้าน ความทรงจำพันปีลอยขึ้นในความคิดเขา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก หลังจากตรวจสอบไปรอบหนึ่งแล้วก็ดึงนิ้วกลับ สะบัดมือไปยังแผ่นศิลาของตน
ทันใดนั้น นามโม่ซูบนแผ่นศิลาของซูหมิงก็ค่อยๆ หายไป ความสูงแสนจั้งพลันหดเล็กลงในพริบตา สุดท้ายก็เหลือหลายพันจั้ง กลายเป็นแผ่นศิลาว่างเปล่า
ซูหมิงไม่ต้องการแผ่นศิลานี้แล้ว
ทุกคนไม่เข้าใจภาพนี้ จึงมีแต่ความเงียบและตื่นตะลึง มีเพียงคนเดียวที่เข้าใจคือกงซุนอิ้น ทันทีที่เห็นภาพนี้เขาก็เข้าใจทุกอย่างถ่องแท้
‘เขา…เหมือนกับเจ้านายจริงๆ ไม่ใช่ผู้ถูกเลือก แต่เป็นคนเลือกผู้อื่น’
สุดท้ายซูหมิงก็มองโจวคังแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินไปยังความว่างเปล่า ร่างเงาเขาเดินเข้าไปในอากาศท่ามกลางสายตาของหลายหมื่นคน ค่อยๆ หลอมรวมกับความว่างเปล่าแล้วหายไป
ขณะเดียวกัน ในความคิดของคนแผ่นศิลาสีม่วงหลายร้อยคนรวมถึงบรรพบุรุษตระกูลจ้าวก็มีเสียงซูหมิงดังกังวาน
“ข้าคือดวงจิตของที่นี่ พวกเจ้าจงฝึกฝนและตระหนักรู้ ข้ารับปากว่าวันใดที่ข้าบรรลุทางสายหลักวันนั้นพวกเจ้าจะเป็นอิสระทั้งหมด”