ตอนที่ 871 ศรัทธาข้า
นัยน์ตาซูหมิงขยับประกายวาววับ เดินไปยังตะวันจันทราสว่างพร้อมเพรียงท่ามกลางสายตาของทุกคนบนลานด้านล่าง!
จนกระทั่งร่างเงาเขาหายเข้าไปในรูปปั้นที่กุมดวงตะวัน ผู้คนบนลานแต่ละคนล้วนมีสีหน้าเฝ้ารอคอย
โดยเฉพาะอวี้เฉินไห่ เขาถึงขั้นมีความรู้สึกราวกับความฝัน เขากลัวมากกว่าทุกอย่างจะไม่ใช่ของจริง จึงหยิกแขนตัวเองอย่างแรงโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจกระชั้น ดวงตาเปล่งประกาย
“หลายปีมานี้ คนที่ผ่านด่านสองใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน ไม่รู้ว่าเขา…จะสำเร็จหรือไม่” ชายชราเส้นผมแดงฉานกล่าวเสียงเบา
“พี่รองยังเสียใจกับความล้มเหลวในตอนนั้นอยู่อีกรึ? พี่ใหญ่สำเร็จในด่านสอง แต่ท่านล้มเหลว” ชายวัยกลางคนข้างๆ ยิ้มน้อยๆ
“เรื่องในอดีตก็ช่างมันเถอะ ข้าหวังว่าคนคนนี้จะทำสำเร็จ บรรพบุรุษปิดด่านนั่งฌานมานานมากแล้ว ก่อนปิดด่านเคยบอกว่าหากมีคนผ่านด่านสามเขาจะออกมา
ตอนนี้เวลาผ่านไปนานมากแล้ว การขยับขยายบนดาวทมิฬของตระกูลเราก็ไม่ราบรื่น การผงาดขึ้นของตระกูลเลี่ยซานทำให้พวกเราเป็นฝ่ายรองอย่างมาก”
ชายชราเส้นผมแดงฉานส่ายศีรษะ
“ผู้ฝึกฌานนามซูหมิงคนนี้มีขั้นพลังเลือนรางเล็กน้อย แม้แต่เมื่อครู่นี้ขนาดข้ายังมองไม่เห็นเงื่อนงำ แต่ข้ารู้สึกว่าด่านสองคือขีดจำกัดของเขาแล้ว จากประสบการณ์ด่านสองของข้าในตอนนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ลืม ข้าไม่มีความกล้าจะบุกมันอีกครั้งแล้ว ข้ากลัว…หลงทาง
ส่วนด่านสาม…เป็นไปไม่ได้” ชายวัยกลางคนถอนหายใจ
“หลงทาง…เฮ้อ” ชายชราผมแดงฉานลอบถอนหายใจ
“ส่วนตระกูลเลี่ยซาน หึ หากไม่ใช่เพราะบรรพบุรุษปิดด่านนั่งฌาน เลี่ยซานซิวคนนั้นจะใช้อำนาจรังแกผู้อื่นได้อย่างไร ทว่าเบื้องหลังเลี่ยซานซิวมีข่าวลืออยู่มากมาย ทางตระกูลก็ตรวจสอบมาหลายปี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ประวัติแท้จริงของเขา ด้วยพลังของคนคนเดียว ในเวลาหมื่นกว่าปีก็สร้างเป็นตระกูลที่คุกคามตระกูลอวี้ของเรา จะดูถูกเขาไม่ได้ แต่ข้าได้ยินมาว่าโอกาสที่เขาจะมาจากทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมีค่อนข้างสูง” ชายชราผมแดงฉานดวงตาขยับประกายยามกล่าวเนิบๆ
“แปดส่วนเป็นเช่นนั้น” ชายวัยกลางคนพยักหน้า
ขณะสองคนสนทนากัน ภายในรูปปั้นตะวันและจันทราสว่างพร้อมเพรียงบนฟ้า ซูหมิงลืมตาขึ้น
ก่อนหน้าที่จะเข้าไปในรูปปั้น ดวงตาสองข้างเจอแสงสว่างตลอด เขาจึงหลับตาเดินเข้าไป ยามนี้ลืมตาขึ้น เขาเห็นมหาสมุทรกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
เสียงคลื่นกระทบกับผิวทะเล ส่งเสียงดังไปรอบๆ สายลมทะเลโชยเข้ามา กลิ่นน้ำทะเลอบอวลอยู่รอบทิศ
ตรงจุดที่ซูหมิงอยู่คือหน้าผาเดียวดายริมทะเล เขามองไปเห็นสองรูปปั้นอยู่บนมหาสมุทร ครึ่งตัวอยู่ในทะเล อีกครึ่งตัวโผล่ขึ้นมาคล้ายกับยอดเขา
สองรูปปั้นนี้ก็คือตะวันและจันทราสว่างพร้อมเพรียงก่อนหน้านี้
“เจ้า…ต้องการอะไร…” เกิดเสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่าขึ้น กึกก้องไปรอบๆ เข้าถึงจิตใจซูหมิง เสียงนี้ดังอื้ออึง แว่วมาจากปากรูปปั้นดวงตะวัน
“ศรัทธาเทพแห่งตะวันและจันทรา เจ้าจะได้รับทุกอย่าง” เสียงนุ่มนวลดังมาจากปากรูปปั้นจันทรา ดูนุ่มนวลอย่างยิ่ง ฟังแล้วจะรู้สึกสบายไปทั่วร่าง
“สิ่งมีชีวิตที่มายังด่านที่สองได้ จะต้องมีความแน่วแน่เหนือกว่าคนอื่น จึงไม่ได้หลงทางในด่านแรก และได้รับการคุ้มครองจากเผ่าวิถีเต๋าของข้า”
“บอกความปรารถนาของเจ้ามา ข้าจะให้เจ้า” ช่วงที่เสียงจากรูปปั้นตะวันและจันทราดังก้องอีกครั้ง นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย
“พวกเจ้าเป็นใคร!” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
“พวกเราคือเทพ!” ครั้งนี้รูปปั้นตะวันและจันทรากล่าวพร้อมกัน เสียงบุรุษและสตรีหลอมรวมกันกลายเป็นเสียงพิลึก ขณะดังกึกก้องก็ทำให้ความรู้สึกน่าเกรงขามเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
“เผ่าวิถีเต๋าเซ่นไหว้เทพแห่งกาลเวลาอันไม่มีสิ้นสุด ข้าคือเทพแห่งตะวัน”
“ชาวเผ่าวิถีเต๋าศรัทธา ได้รับตะวันและจันทราแห่งต้นกำเนิดพลังมา ข้าคือเทพแห่งจันทรา”
ซูหมิงเงียบ สายตามองรูปปั้นสองรูปอยู่นานและไม่ได้กล่าวอะไร
“หากเจ้าไม่มีความปรารถนา ข้าจะช่วยเจ้าเลือก…ข้าเทพแห่งตะวัน ขอมอบ…พลังไม่มีที่สิ้นสุดให้เจ้า!” นัยน์ตาเทวรูปตะวันขยับประกาย ดวงตะวันในมือขวาส่องแสงสว่างจ้า
ยามแสงสว่างสาดส่องมา ซูหมิงตัวสั่นสะท้าน ความรู้สึกถึงพลังระเบิดมาจากในร่างกาย ทำให้ขั้นพลังของเขาทะยานขึ้นอย่างไร้การควบคุม
เดิมทีร่างกายเขาเกือบจะบรรลุถึงจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลางแล้ว และด้วยการระเบิดของพลังนี้จึงทะลวงผ่านขั้นไป บรรลุถึงจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลางทันที
“ข้ายังให้เจ้าแกร่งกว่านี้ได้อีก!” ระหว่างที่เทพสุริยันกล่าวเสียงดัง
พลังของร่างแยกกลืนนภาของซูหมิงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ในร่างกาย ขณะเส้นเลือดดำปูดโปนหลายเส้น ซูหมิงแผ่กลิ่นอายพลังแก่กล้าออกมา ทะลวงจากเจ้าปกครองโลกตอนกลางสู่เจ้าปกครองโลกตอนปลายโดยพลัน
ความรู้สึกของพลังเจ้าปกครองโลกตอนปลายสมจริงอย่างยิ่งในร่างกายเขา ความจริงแบบนี้เหมือนว่ามันมีอยู่จริงๆ ทำให้ซูหมิงใจสั่นสะท้าน ระหว่างนั้นเขามองฝ่ามือตัวเอง มีความรู้สึกว่าเพียงหมัดเดียวก็ทำลายสวรรค์ได้
“ยังแกร่งได้มากกว่านี้อีก!” เสียงแห่งเทพสุริยันดังแว่วมา
ซูหมิงตัวสั่นอย่างรุนแรง กลิ่นอายพลังน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งระเบิดมาจากในร่างกาย พร้อมกันนั้นซูหมิงก็อดใจไม่ไหวเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า หินภูเขารอบตัวแหลกละเอียด ร่างกายเขาลอยสูงขึ้น พละกำลังบรรลุถึงจุดสูงสุดของเจ้าปกครองโลกตอนปลาย
“กระทั่งข้ายังทำให้เจ้า…แกร่งได้มากกว่านี้อีก!” เสียงราบเรียบของเทพสุริยันดังกึกก้อง เกิดเสียงโครมจากตัวซูหมิง ขั้นพลังจากจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนปลายบรรลุถึงระดับสมบูรณ์ อีกก้าวเดียวก็จะทะลวงผ่านไปสู่ขั้นพลังใหม่
นั่นคือ…ขั้นภัยพิบัติจันทรา!
“เจ้า…เชื่อหรือไม่?” เสียงจากเทพสุริยันทำให้คนใจสั่นไหว ขณะเสียงดังแว่วมา ขั้นพลังซูหมิงเกิดเสียงระเบิดและปะทุขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เส้นผมเขาเคลื่อนไหวเองแม้ไร้ลม ร่างกายสั่นสะท้านรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าเลือดในร่างกายกำลังเดือดพล่าน
คล้อยหลังจากนั้น พลังโลหิตก็ระเหยออกมาจากรูขุมขนทั่วกายแล้วไปรวมอยู่ตรงศีรษะ ก่อรูปเป็นดวงจันทร์สีโลหิตดวงหนึ่ง
พริบตาที่ปรากฏดวงจันทร์ ซูหมิงส่งเสียงดังสะเทือนฟ้าดิน กระทั่งท้องฟ้ายังสั่นไหว ความแกร่งที่ยากจะบรรยายทำให้เขารู้สึกถึงพลังของภัยพิบัติจันทราในชั่วเวลานั้น
กระทั่งเขายังมีความรู้สึกเด่นชัดบางอย่างว่า ขอเพียงเขาเชื่อคำพูดอีกฝ่าย ขั้นพลังเขาจะคงอยู่ตรงนี้ไปชั่วนิรันดร์ จะเป็น…..ผู้แข็งแกร่งระดับภัยพิบัติจันทราทันที
“เจ้ายังแกร่งได้กว่านี้อีก” เสียงของเทพสุริยันยังคงเฉยชา ดังกังวานไปพร้อมความน่าเกรงขาม ขั้นพลังซูหมิงปะทุขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ดวงจันทร์สีโลหิตนอกตัวเขาขยายใหญ่ขึ้น และค่อยๆ เปลี่ยนจากจันทร์เสี้ยวเป็นเต็มดวง ตอนที่บรรลุถึงเต็มดวง มันไม่ใช่ดวงจันทร์อีก แต่เป็นดวงตะวัน
นี่คือระดับภัยพิบัติตะวัน!
‘เป็นไปไม่ได้ หากเขามีพลังแบบนี้จริงๆ เช่นนั้นตระกูลอวี้ไม่มีทางเป็นอย่างตอนนี้แน่ คงจะเป็นมหาอำนาจบนดาวทมิฬไปแล้ว!’ ซูหมิงบอกตัวเองในใจว่านี่คือของปลอม ทว่าขั้นพลังในร่างกายกลับสมจริง เผยให้เห็นว่าทุกอย่างคือความจริงอย่างชัดเจน
ผู้ฝึกฌานทุกคนล้วนมีการเฝ้าแสวงหาในชีวิต การแสวงหานี้อาจมีเป็นพันเป็นหมื่นข้อ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นสองข้อนี้ หนึ่งคือชีวิตนิรันดร์ สองคือขั้นพลัง
ชีวิตนิรันดร์คือความปรารถนาของทุกคน ขั้นพลังแกร่งกล้าคือความฝันของผู้ฝึกฌาน
ตอนที่ข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อนี้มาวางอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกฌาน มีน้อยคนนักที่จะต่อต้านไหว ซูหมิงต่อต้านมาชั่วชีวิต พอเจอกับการเพิ่มขึ้นของขั้นพลัง ถึงในใจจะรู้ว่าเชื่อไม่ได้ ทว่าทุกอย่าง…ไม่ใช่บอกว่าข้าไม่เชื่อแล้วก็จะไม่เชื่อจริงๆ ได้
“โครงสร้างของคนตระกูลอวี้ไม่เหมาะสมจะรับการเพิ่มพลังของข้า สำหรับพวกเขาแล้ว…ข้าจะไม่ทำแบบนี้ แต่เจ้าต่างออกไป…ข้ารู้สึกถึงวิญญาณเจ้า ทุกอย่างของเจ้า…ไม่ใช่ของฟากฟ้าแห่งนี้
เจ้า…มาจากดินแดนของพวกเรา มาจาก…แผ่นดินที่พวกเราอยู่”
“ศรัทธาข้า ข้าจะทำให้เจ้าแกร่งขึ้น! กระทั่งข้ายังทำให้เจ้าบรรลุถึง…ระดับกุมชะตาเกิดดับได้” เสียงเทพสุริยันดังกังวาน ขั้นพลังซูหมิงปะทุขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ตะวันภัยพิบัติสีแดงฉานเหนือศีรษะเหมือนกับลุกไหม้ แล้วกลายเป็นฝ่ามือสีแดงข้างหนึ่ง จากนั้นฝ่ามือก็ตบลงกลางกระหม่อมซูหมิง
ทันทีที่ตบลงเกิดเสียงดังโครมในความคิดเขา เขา…..รู้สึกถึงกลิ่นอายพลังของระดับกุมชะตาเกิดดับ นั่นคือความแกร่งที่เหนือกว่าจินตนาการ…คือความบ้าคลั่งที่สามารถต่อกรกับสวรรค์ได้
ซูหมิงก้มหน้าลงมองฝ่ามือตัวเอง ฝ่ามือของตนในแววตากลายเป็นสีโลหิตไปแล้ว เขามีความรู้สึกชัดว่าขอเพียงตนยกมือขึ้นก็จะทำลายล้างได้ทุกสิ่งมีชีวิต
“ศรัทธาข้า จากนี้ไปเจ้าจะเป็นผู้กุมชะตาเกิดดับ!” เสียงจากเทพสุริยันน่าหลงใหลยิ่งกว่าเดิม ดังก้องอยู่ในใจซูหมิงไม่หยุด
ซูหมิงเงียบ ผ่านไปนานก็ยิ้มเยาะมุมปากโดยพลัน เงยหน้าขึ้นมองเทวรูปสุริยัน
“เจ้าทำให้ข้าเป็นได้เพียงผู้กุมชะตาเกิดดับเองรึ?”
ทันทีที่สิ้นเสียงซูหมิง เทวรูปสุริยันกลางทะเลประหนึ่งมีชีวิตขึ้นมา นัยน์ตาสองข้างเปล่งแสงสว่างชัด ดวงตะวันบนมือขวายังเปล่งแสงสว่างจ้าที่แทบโลกนี้หายไป
“เจ้าไม่พอใจรึ?”
“ข้าศรัทธาเจ้าได้ ทว่าขั้นพลังอย่างกุมชะตาเกิดดับ…ยังไม่มีค่าพอให้ข้าศรัทธา” ซูหมิงกล่าวเสียงราบเรียบ บางทีสำหรับผู้ฝึกฌานทุกคนแล้ว กุมชะตาเกิดดับอาจเป็นความปรารถนาของทั้งชีวิต แต่สำหรับซูหมิงมันยังไม่พอ
ประสบการณ์และความรอบรู้ของเขาจะไปยอมศรัทธาเพียงเพราะระดับกุมชะตาเกิดดับได้อย่างไร!
เทพสุริยันเงียบไป
“เช่นนั้นเพิ่มสิ่งนี้เข้าไปด้วย” รูปปั้นจันทราที่เงียบอยู่พักหนึ่งกล่าวเสียงนุ่มนวลดังกังวาน
เมื่อสิ้นเสียง บนทะเลตรงหน้าซูหมิงปรากฏเงามายาขมุกขมัวขึ้น ในเงามายานี้คือทุกคนที่ตายไปแล้วในความทรงจำซูหมิง
คนเหล่านี้ต่างหลับตาอยู่ แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว
“ศรัทธาข้า ข้าจะให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ”
ซูหมิงเงียบงัน ผ่านไปพักใหญ่ก็ส่ายศีรษะ
“หากขั้นพลังข้าเพียงพอแล้วก็ทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพได้เหมือนกัน พวกเจ้ายังจ่ายมาไม่พอ อยากจะให้ข้าศรัทธา แค่นี้ยังไม่พอ”