ตอนที่ 879 กระบองเขี้ยว
หลังจากซูหมิงมองสิบสามคนที่มีสีหน้าฮึกเหิมบนพื้นก็มองอวี้โหรวแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองช้างมงคลยักษ์ด้านหลัง
ในด่านที่สาม เขากินบรรพบุรุษตระกูลอวี้และได้รับความทรงจำของอีกฝ่ายมาเล็กน้อย ในความทรงจำนั้นรวมพื้นที่ของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตส่วนหนึ่งด้วย และก็รวมถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายหลอมรวมเข้าสู่ของวิเศษในตอนนั้น
‘สถานที่ที่เทพตกต่ำแห่งหนึ่งในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต…’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ในความทรงจำของบรรพบุรุษตระกูลอวี้ เขาเห็นอีกฝ่ายเข้าไปในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต เดิมทีจะไปตามหาโบราณสถานของเผ่าวิถีเต๋า และตามเบาะแสที่ตระกูลอวี้ฝากเอาไว้ในแต่ละยุคสมัย
ใช้เวลาอยู่นานมาก ในที่สุดในยุคสมัยของอวี้หาน เขาเข้าไปยังส่วนลึกของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตและตามหาโบราณสถานของเผ่าวิถีเต๋าพบ ที่นั่นเขาพบสามวิถีสวรรค์ และยังพบแดนเทพตกต่ำแห่งหนึ่ง!
แดนเทพตกต่ำที่ว่านี้เรียกได้ว่าเป็นโบราณสถานเก่าแก่ เป็นสถานที่ที่อยู่มาเมื่อไม่รู้กี่ปีก่อนในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต และยังเป็นโบราณสถานของชนเผ่าในยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดใช้กราบไหว้เทพเจ้าของพวกเขา
เวลาเคลื่อนผ่านไป ถึงตอนนี้ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตจะมีเผ่าประหลาดอยู่จำนวนมาก ทว่าเผ่าประหลาดส่วนใหญ่สืบสายแตกแขนงมาจากกลุ่มชนเผ่าที่อยู่จุดสูงสุดเหล่านั้นในอดีต มีน้อยคนนักที่จะสืบทอดจากเผ่าประหลาดมาอย่างสมบูรณ์จริงๆ
ส่วนกลุ่มชนเผ่าที่อยู่จุดสูงสุดเหล่านั้น เพราะมหันตภัยที่บรรพบุรุษตระกูลอวี้เองก็ยังไม่รู้ละเอียด ส่วนใหญ่จึงตายตกไป แม้แต่เทพเจ้าที่พวกเขากราบไหว้ยังตกต่ำหรือไม่ก็หลับใหล
เทพเจ้าสุริยันและจันทราในเผ่าวิถีเต๋าก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาบาดเจ็บสาหัสหลับใหลไป จุดที่ร่างเทพหลับใหลอยู่คือทะเลดาราต้นกำเนิดจิตในปัจจุบัน และเรียกกันว่า…แดนเทพตกต่ำ
ซูหมิงคิดว่าเชื่อถือความทรงจำเหล่านี้ได้ เพราะตอนที่เขากินวิญญาณเทพสุริยันและจันทรา ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายยังไม่ตายจริงๆ ที่เขากินไปเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งจากคำพูดก่อนที่วิญญาณเทพสุริยันจันทราจะหายไป เขาจึงรู้ว่าร่างจริงอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่นี่อีก
ดังนั้นจึงคาดการณ์ได้ว่า แดนเทพตกต่ำที่บรรพบุรุษตระกูลอวี้พบคือจุดหลับใหลของเทพสุริยันและจันทรา
และเพราะความลึกลับของที่นั่น กระทั่งบรรพบุรุษตระกูลอวี้จึงยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนถึงถูกดูดวิญญาณเข้าไปในสามวิถีสวรรค์ ร่างกายไม่ได้เติมพลังชีวิตจึงอ่อนแรงลงเรื่อยๆ และยังเริ่มเน่าเปื่อยราวกับคนตาย
จนกระทั่งขณะเขาลากร่างที่เน่าเปื่อยขึ้นทุกวันนำสามวิถีสวรรค์กลับมายังตระกูลอวี้บนดาวทมิฬ ก็ไม่อาจทนไหวอีก ร่างกายจึงสลายและตายไป
ทว่าหลังจากร่างกายสลายแล้ว เขาก็พบว่าตนยังไม่ตาย แต่อยู่ในตัวช้างมงคล กระทั่งยังพบอีกว่าวิญญาณวัตถุของช้างมงคลก็หลับใหลอยู่ ทำให้เขาเป็นวิญญาณวัตถุได้ชั่วคราว
จากการไตร่ตรองมาหลายหมื่นปี เขาก็เข้าใจการใช้พลังมหัศจรรย์ของสามวิถีสวรรค์ และยังแอบแทรกแซงคนในตระกูลที่บุกสามวิถีสวรรค์เพื่อคิดหาวิธีให้ตนออกไป
ภายใต้การจัดการของเขา คนในตระกูลที่มีความโดดเด่นอย่างยิ่งบุกเข้ามาถึงด่านที่สามของสามวิถีสวรรค์ แต่พวกเขาไม่ได้รับการยอมรับจากเทพสุริยันและจันทราในด่านสอง เพียงแต่ได้การช่วยเหลือของเขาจึงมาถึงวิถีสวรรค์ด่านสามได้
ทว่าบรรพบุรุษตระกูลอวี้ลองมาหลายครั้งต่อหลายครั้ง ก็พบว่าตนยึดร่างคนในตระกูลอวี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงมีการให้ผู้มาเยือนเข้าร่วมบุกสามวิถีสวรรค์ แต่สุดท้ายเขาก็พบอีกว่า ไม่ว่าจะเป็นคนในตระกูลหรือผู้มาเยือนเขาก็ยึดร่างไม่ได้
ในร่างกายอีกฝ่ายเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
จากการศึกษามาหลายปี เขาก็เริ่มหาสาเหตุพบ สิ่งที่ขาดคือพลังแห่งเทพเจ้า เขาต้องยึดร่างคนที่มีพลังนี้เท่านั้นถึงจะออกไปจากที่นี่ได้
ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์ต่อมา ส่วนสามวิถีสวรรค์ด่านสอง บรรพบุรุษตระกูลอวี้เกรงกลัวอย่างมาก เขาไม่กล้าเข้าใกล้มากเกินไป เพียงแต่แอบแทรกแซงลับๆ ที่นั่นคือส่วนสำคัญที่เขาถูกขังอยู่ที่นี่ สภาพจิตใจเขาที่ควบคุมพลังอัศจรรย์และถูกพันธนาการมาหลายหมื่นปีจึงเกิดการบิดเบี้ยว เขาคิดจะกลืนกินทูต เพราะทูตได้รับการยอมรับจากด่านสอง ดังนั้นในตัวจะต้องมีพลังของเทพเจ้าอย่างแน่นอน
ผู้มาเยือนที่มาถึงด่านสามล้วนถูกเขาสังหารที่นี่ กระทั่งคนในตระกูลบางคนที่ไม่ได้ศรัทธาต่อเขาอย่างแรงกล้ายังถูกสังหารไปทีละคนด้วย
มิหนำซ้ำจากการร่วมมือของคนในตระกูลหลายคน เรื่องราวจึงถูกปิดเงียบไป
จนกระทั่งหลายพันปีก่อน อวี้โหรวปรากฏตัวขึ้น หลังจากนางบุกผ่านด่านสองก็ได้รับการยอมรับส่วนหนึ่ง ทำให้บรรพบุรุษตระกูลอวี้ตื่นเต้น จะยึดร่างอวี้โหรวเสีย
ทว่าการยึดร่างครั้งนั้นก็ล้มเหลว พลังแห่งเทพเจ้าในตัวอวี้โหรวน้อยเกินไป ไม่พอจะให้เขาทำสำเร็จ หลังจากล้มเหลวเขาก็ไม่ได้สังการอวี้โหรว แต่เก็บเอาไว้ เฝ้ารอให้นางเติบใหญ่ขึ้นและเป็นความหวังสุดท้ายของเขา
ซูหมิงได้รับสิ่งเหล่านี้มาจากในความทรงจำบรรพบุรุษตระกูลอวี้ ตอนนี้ ช่วงที่เขาหันหน้าไปมองช้างมงคล นัยน์ตาก็เป็นประกาย ในใจเกิดความสนใจต่อแดนเทพตกต่ำของเผ่าวิถีเต๋าอย่างมาก
เขายกมือขวาขึ้นช้าๆ แล้วกดผ่านอากาศไปยังช้างมงคล ช้างใหญ่พลันตัวสั่นสะท้าน ดวงตาเปล่งประกายสว่างจ้า ขณะเดียวกันหินภูเขาของช้างมงคลยังหดตัวลงภายใต้แสงสว่าง จากนั้นตรงหามาเขา
ตอนที่มาอยู่ในมือซูหมิง มันกลายเป็นหินภูเขาสีขาวก้อนหนึ่ง มองไปดุจดั่งหยก ผิวมันวาวเกลี้ยงเกลา ในตัวมันมีวิญญาณช้างเผือกขยับไหว เข็มตาชั่งยังประทับอยู่ด้านบนนั้น ส่องแสงสว่างนุ่มนวล
วัตถุล้ำค่า!
ช้างมงคล!
ซูหมิงถือช้างมงคลไว้ในมือ พลันรู้สึกว่าพลังต้นกำเนิดจิตในร่างกายกำลังเดือดพล่าน เหมือนจะหลั่งทะลักเข้าไปในช้างมงคลทั้งหมด แต่เขาก็รู้สึกอย่างชัดเจนด้วยว่าหากไม่ใช่ร่างแยกเอ้อชาง ต่อให้ใช้ร่างแยกกลืนนภาขับเคลื่อนช้างมงคลได้ ก็ใช้พลังได้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
มีเพียงร่างแยกเอ้อชางเท่านั้นที่มีต้นกำเนิดจิตมหาศาล สามารถปลุกวิญญาณวัตถุช้างมงคลและให้มันยอมรับเป็นนายได้ แบบนี้เท่านั้นถึงจะใช้อานุภาพส่วนหนึ่งของมันได้ หากอยากใช้พลังทั้งหมดของสมบัติชิ้นนี้ ก็ต้องให้ร่างแยกเอ้อชางกินวิญญาณดวงหนึ่งหรือหลายดวงในเก้าวิญญาณเอ้อชางที่เหลืออีกครั้งถึงจะทำได้
“สมบัติล้ำค่าช้างมงคล…” ซูหมิงพึมพำเสียงเบา ยกมือขวาสะบัด หินภูเขาในมือหายไป เขาสะบัดแขนเสื้อเดินลงมาจากบนฟ้าสู่พื้นดิน ตอนที่ใกล้จะถึงเขาใจสั่นไหวโดยพลัน หันไปมองทางภูเขาวิถีเต๋า
ภูเขาลูกนี้ราวกับเมฆ และเมฆก็คล้ายกับภูเขา นอกหินภูเขาสีขาว ตรงหัวภูตผีร้ายที่รวมขึ้นจากส่วนสีดำ ถึงกระทั่งหากมองนานๆ จะเกิดความรู้สึกว่าเป็นเส้นผมผีร้ายปลิวไสว โดยเฉพาะค้างคาวที่หนีไม่รอดจากฝ่ามือขวา เมื่อซูหมิงมองไปครู่หนึ่งแล้ว เขาก็ใช้มือขวาคว้าไปทางภูเขาวิถีเต๋า
ภูเขาเกิดเสียงดังสนั่น สั่นสะเทือนขึ้นมา
“เข้ามาหาข้า!” ซูหมิงแค่นเสียงหึเย็นชา มือขวามีเส้นเลือดดำปูดโปน ชั่วขณะที่คว้าไปอย่างแรง ภูเขาวิถีเต๋าพลันสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงโครมคราม ทั้งภูเขาใหญ่ลอยขึ้นและตรงมาหาเขา
เสียงมวลอากาศระเบิดดังกังวาน ตอนที่หินภูเขาเข้ามาใกล้ ซูหมิงสะบัดมือขวาไป
“เล็กลง!”
หินภูเขาหดเล็กลงมากกว่าครึ่ง
“เล็กอีก!”
เสียงครึกโครมดังขึ้น ภูเขาวิถีเต๋าหดเล็กลงอีกครั้ง ทว่าตอนที่มันหดเล็กลง นัยน์ตาซูหมิงเพ่งสมาธิทันที เขาเดินหน้าหนึ่งก้าวมาอยู่ข้างภูเขาวิถีเต๋าที่มีขนาดหลายสิบจั้ง สายตามองด้านหลังภูเขา ดวงตาขยับประกาย
เขาเห็นว่าหลังภูเขามีรอยแตกยักษ์อยู่ ตรงปลายรอยแตกมีอุโมงค์อยู่หลายแห่ง ประหนึ่งเป็นร่องรอยจากการโจมตีของวัตถุมีคมบางอย่าง
โดยเฉพาะรอยแตกนั้น ทำให้ซูหมิงนึกถึงอาวุธมีขมเคี้ยวอย่างกระบองทันใด รอยแตกหินภูเขานี้คล้ายว่าจะเกิดจากอาวุธชนิดนี้
‘เห็นได้ชัดว่าภูเขาวิถีเต๋าเป็นสมบัติล้ำค่า การใช้พลังต้นกำเนิดจิตก็ไม่มากเท่าช้างมงคล แม้สำหรับข้าแล้วมันจะยังยิ่งใหญ่อยู่ แต่ก็ขับเคลื่อนง่ายกว่าช้างมงคลอยู่เล็กน้อย…
ทว่า สมบัติแห่งต้นกำเนิดจิตเช่นนี้บาดเจ็บสาหัสอยู่ อีกทั้งดูจากรอยแตกแล้ว…ยังดูคุ้นๆ ตา’ ซูหมิงขมวดคิ้ว หลังตรึกตรองในความคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พลันตัวสั่น ดวงตาเปล่งประกายเด่นชัด
ในความทรงจำ เขาเคยมีอาวุธชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดรอยแตกแบบนี้ได้!
‘กระบองเขี้ยว…’ ซูหมิงหายใจกระชั้น เขานึกออกแล้วว่าเหตุใดถึงคุ้นตา เขาเคยมีกระบองเขี้ยวสมบัติล้ำค่าชนิดเดียวกันนี้ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ตอนที่เหวี่ยงลงพื้นหรือหินภูเขาจะเกิดรอยแตกแบบนี้
‘ตอนนั้นข้าได้กระบองเขี้ยวมาจากส่วนลึกก้นทะเลของวังจักรพรรดิต้าอวี๋กลางแดนน้ำแข็งไร้พรมแดน ในผนึกน้ำแข็งมีชาวเผ่าแปลกประหลาดอยู่นับไม่ถ้วน ตอนนั้นข้ายังสงสัยอยู่ หรือว่า…’ ซูหมิงมองภูเขาวิถีเต๋าแวบหนึ่ง เมื่อเงียบไปชั่วครู่แล้ว เขาพลันเกิดการคาดเดามากกว่าเดิมเกี่ยวกับความลึกลับของแดนมรณะหยิน
‘แดนมรณะหยิน…บ้านเกิดของข้า…ที่ที่ข้าเติบโตมา หลังจากที่ข้าได้สัมผัสกับโลกภายนอกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็พบความลับ…ซึ่งหยั่งลึกจนไม่อาจคาดเดา’ ซูหมิงส่ายศีรษะ เขาต้องกลับไปยังแดนมรณะหยินสักครั้ง ถึงตอนนั้นเขาจะหาความลับที่ลึกลับที่สุดในแดนมรณะหยินให้พบและไขข้อสงสัยทุกอย่าง
เขาชี้มือขวาไปยังภูเขาวิถีเต๋า ภูเขานี้เล็กลงอีกครั้งและมาอยู่กลางฝ่ามือ กลายเป็นวัตถุคล้ายกับหินหยก
ทันทีที่สัมผัสกับหินภูเขา เขารู้สึกใจสั่นไหว ก่อนจะก้มหน้ามองวัตถุในมือแวบหนึ่ง แล้วเก็บมันไปเหมือนมีความคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ลงมายืนบนพื้นดิน
ช่วงที่เขาลงมาบนพื้น ชายชราสิบสามคนตรงหน้าหมอบคารวะซูหมิงอยู่บนพื้นด้วยความฮึกเหิมและตื่นเต้น เหมือนว่าแม้แต่การคุกเข่าก็ยังไม่อาจบรรยายความเคารพในใจพวกเขา จึงมีเพียงแต่หมอบคารวะเท่านั้น
“คารวะท่านบรรพบุรุษ!”
“เตรียมห้องลับให้ข้าห้องหนึ่ง ข้าจะปิดด่านนั่งฌานสักหลายวัน!” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ ชายชราสิบสามคนปฏิบัติตามคำพูดของเขาอย่างกระตือรือร้น ไม่นานก็เตรียมห้องลับหรูหราอย่างยิ่งให้แก่ซูหมิง
“หลายวันต่อจากนี้ให้รอข้าออกมา ข้าจะให้พวกเจ้าหลุดพ้นจากการที่โดนแสงตะวันไม่ได้” ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าวเข้าไปในห้องลับ เมื่อประตูห้องลับปิดลง ชายชราสิบสามคนข้างนอกต่างหมอบกราบด้วยความเคารพ
มีเพียงอวี้โหรวที่ดวงตาเป็นประกาย เดิมทีนางงดงามหยาดเยิ้มอยู่แล้ว ตอนนี้ภายใต้ดวงตางามขยับวูบไหว จึงเกิดเป็นแสงสว่างแวววับจนผู้คนต้องจิตใจสั่นไหว
ภายในห้องลับ ซูหมิงนั่งขัดสมาธิลงทันที เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สองมือวางบนหัวเข่าสองข้าง ฝ่ามือหงายขึ้น สองมือพลันกะพริบแสงสีขาววูบวาบ ก่อนปรากฏช้างมงคลกับภูเขาวิถีเต๋าขึ้นพร้อมกัน อีกทั้งช่วงที่ซูหมิงหลับตาลง เขาตัวสั่นสะท้านโดยพลัน เงารูปปั้นเทพสุริยันกับจันทราปรากฏขึ้นด้านหลังอย่างชัดเจน
‘พลังที่ขอเพียงเชื่อก็จะมีอยู่ ตอนนี้…มันจะเป็นของข้า!’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เสียงโครมครามดังกังวานในห้องลับทันที