ตอนที่ 891 ศักยภาพแท้จริงของตระกูลเลี่ยซาน
พอผู้เฒ่าวายุมีสีหน้าจริงจังและประสานมือคารวะซูหมิง ผู้ฝึกฌานที่ฟื้นคืนสติจากอาการเหม่อลอยรอบๆ ต่างได้ยินประโยคนี้ อึ้งไปทันที
เผ่าหมาน หมานวายุ เทพหมาน สามคำนี้หมายถึงอะไรพวกเขาไม่รู้ แต่จากสีหน้าจริงจังของผู้เฒ่าวายุก็รู้ได้ว่าเป็นความลับที่ผู้ฝึกฌานธรรมดาไม่ควรรู้
ทว่าตอนนี้…พวกเขาได้ยินแล้ว คนฉลาดบางคนคาดเดาได้ในพริบตาเดียวว่า หากได้ยินความลับที่ไม่ควรได้ยินแล้วจะมีจุดจบอย่างไร!
กระทั่งผู้ฝึกฌานบางคนเริ่มค่อยๆ ถอยไป ทว่ามีเขตอาคมคุ้มกันของลานประมูลตระกูลเลี่ยซานอยู่ พวกเขา…ออกไปไม่ได้
การคารวะของผู้เฒ่าวายุยังทำให้คนตระกูลเลี่ยซานโดยรอบต่างหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาคือตระกูลเลี่ยซาน ย่อมมองออกอยู่ว่าวิชาที่ตนฝึกคืออะไร และยังเข้าใจเบื้องหลังของตระกูลด้วย เพียงแต่ว่าในสายเลือดพวกเขามีผนึกอยู่ ต่อให้คนนอกใช้อุบายค้นวิญญาณ ทุกอย่างก็ไม่อาจล่วงรู้ข้อมูลโดยละเอียด
อีกอย่างระดับความลึกลับของเรื่องนี้ยังเป็นรากฐานของกฎตระกูลเลี่ยซาน ไม่รู้กี่ปีมานี้ใช่ว่าจะไม่มีใครเคยทำผิดกฎ แต่สุดท้ายทุกคนที่ทำผิดจะถูกลบหายไปอย่างไร้ร่องรอย สมควรตายก็ตาย สมควรสูญสิ้นก็สูญสิ้น ทำให้ไม่รู้กี่ปีมานี้ตระกูลเลี่ยซานเป็นเพียงตระกูลระดับกลางในสายตาคนนอกมาตลอด
“เลี่ยซานคังจิ่ว คารวะท่านเทพหมาน!”
“คารวะท่านเทพหมาน!”
“พวกเราขอคารวะท่านเทพหมาน!”
คนตระกูลเลี่ยซานรอบๆ ต่างกล่าวขึ้นต่อเนื่องกัน เวลานี้เสียงขึ้นลงกึกก้องอยู่ทั้งลานประมูล
ซูหมิงหุบยิ้มบนใบหน้า เปลี่ยนมาเคร่งขรึม เขายืนอยู่กลางอากาศ
สายตามองผู้เฒ่าวายุด้วยความสงบนิ่ง เขาในตอนนี้ไม่ใช่ฐานะหมานวายุอีก แต่เป็น…เทพหมานรุ่นสี่แห่งเผ่าหมานซึ่งอยู่ในระดับน่าสะพรึงกลัว!
“ผู้เฒ่าวายุเชิญขึ้นลุกมาก่อน แซ่ซูคือเทพหมานรุ่นสี่” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
ผู้เฒ่าวายุได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง นัยน์ตามีความเมตตาและอ่อนโยน มีประกายและความรักใคร่เอ็นดู หลังจากมองออกว่าซูหมิงเป็นผู้สืบทอดของตน เขาก็ยอมรับว่าซูหมิงเป็นศิษย์ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวในชีวิต
โดยเฉพาะเมื่อเขาพบจุดที่ทำให้เกิดความสงสัยจากตัวซูหมิง สิ่งนั้นมาจากการยอมรับโดยแผ่นดินหมาน มาจากการรวมความคิดแห่งท้องฟ้าเผ่าหมาน มาจากความหมายแห่งเทพหมานที่ฝากฝังอยู่ในความคิดและมุมมองของชาวเผ่า ความรักใคร่เอ็นดูของเขาจึงเปลี่ยนเป็นความภาคภูมิใจ
“สืบทอดถึงรุ่นสี่แล้ว…ตอนนั้นข้าติดตามนายท่านออกมา พริบตาเดียวผ่านไปหลายปีแล้ว” ผู้เฒ่าวายุส่ายศีรษะ สีหน้าดูปลงอนิจจังอย่างยิ่ง และแฝงไว้ด้วยการหวนคิดถึง
ตอนที่เขาส่ายศีรษะก็ยกมือขวาสะบัดไปข้างๆ
“คนตระกูลเลี่ยซานฟังคำสั่ง เปิดวงแหวนอาคม สังหารผู้เข้าร่วมงานประมูลให้หมด” ครั้นผู้เฒ่าวายุเอ่ยออกไปก็ดูน่าสะพรึงกลัวขึ้นมาโดยพลัน ผู้ฝึกฌานหลายพันคนรอบๆ ต่างหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง
“พวกเจ้า…..”
“ข้าขอสาบานว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไปเด็ดขาด พวกเจ้า…”
“ตระกูลเลี่ยซานเล็กจ้อย พวกเรามีกันหลายพันคน พวกเจ้าจะสังหารอย่างไร!”
เสียงเกรียวกราวดังสนั่น แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องโหยหวน วงแหวนอาคมใหญ่ของลานประมูลเปล่งแสงสว่างไม่มีสิ้นสุด ท่ามกลางเสียงกังวาน ร่างเงาคนตระกูลเลี่ยซานต่างเข่นฆ่าไปรอบๆ
แต่ถึงอย่างไรคนตระกูลเลี่ยซานก็มีไม่มาก ตามหลักแล้วไม่อาจสังหารหลายพันคนนี้ได้แน่ แต่ทว่า…เมื่อวงแหวนอาคมหมุนโคจรก็มีกลิ่นอายพลังอีกหลายพันคนลงมาเยือน กลิ่นอายพลังหลายพันนี้กลายเป็นชายร่างกำยำหลายพันคน พวกเขาต่างเผยลายหมานขึ้นบนตัว ดวงตาเหม่อลอย แต่กลับมีพลังโลหิตมหาศาลระเบิดออกมา
เวลาผ่านไป เสียงกรีดร้องดังในลานประมูลไม่มีจบสิ้น ครู่ต่อมาเมื่อเสียงร้องหายไป ผู้ฝึกฌานหลายพันคนที่นี่ตายกันหมด โลหิตย้อมแทบทุกจุด
การเข่นฆ่าเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรวดเร็ว ทำให้ชายชราผู้มาเยือนตระกูลไท่ฉือกับชายหนุ่มตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น
“ส่วนสองคนจากตระกูลไท่ฉือ เทพหมานจะจัดการอย่างไร?” ผู้เฒ่าวายุมองซูหมิง
“ที่นี่คือตระกูลเลี่ยซาน ผู้เฒ่าวายุจัดการเถอะ” ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ ทว่าในใจยังตื่นตะลึงกับการสังหารเมื่อครู่นี้ ท่าทีผ่อนคลายของผู้เฒ่าวายุกับโลหิตที่นองเต็มพื้นอยู่ตอนนี้ช่างขัดกันอย่างชัดเจน
“ผู้ล่วงเกินเทพหมานล้วนต้องตาย!” ผู้เฒ่าวายุหมุนตัวกลับมามองชายชราผู้มาเยือนตระกูลไท่ฉือกับชายหนุ่มเป็นครั้งแรก
ผู้มาเยือนตระกูลไท่ฉือหน้าซีดขาว ตอนนี้คว้าตัวชายหนุ่มเตรียมจะถอยไป
ทว่าเพิ่งจะถอย ผู้เฒ่าวายุก็ยกมือขวาขึ้นสะบัดเบาๆ
“ตระกูลเลี่ยซาน พวกเจ้าช่างกล้า!”
“หากสังหารข้า ตระกูลเลี่ยซานของพวกเจ้าจะต้องลงหลุมไปด้วย ข้ามีหยกชีวิตของตระกูลติดตัวอยู่ หากข้าตายทางตระกูลจะรู้ทันทีว่าลานประมูลเลี่ยซานเกิดเรื่องขึ้น!”
ชายหนุ่มกล่าวเสียงเล็กแหลม เพิ่งกล่าวจบ เสียงที่พ่นออกมาก็เปลี่ยนเป็นโลหิตทันที จากการสะบัดมือของผู้เฒ่าวายุ รอบตัวเขาปรากฏสายลมไร้ที่สิ้นสุด หมุนวนอย่างเร็วรี่ เพียงครู่เดียวก็สูญเสียเลือดเนื้อกลายเป็นโครงกระดูก ก่อนจะแหลกเป็นผุยผง
ส่วนชายชราผู้มาเยือนตระกูลไท่ฉือ เขาระเบิดพลังทั้งหมดเมื่อภยันตรายเป็นตายมาถึง ปรากฏไม้ยักษ์สีดำหลายท่อนวนเวียนรอบตัว ต่อต้านสายลมจากรอบๆ เอาไว้
ทว่าต้านได้เพียงไม่กี่ลมหายใจ ผู้เฒ่าวายุก็แค่นเสียงเย็นชา ไม้ดำเก้าท่อนรอบตัวชายชราแหลกสลายไปพร้อมกัน แม้แต่ร่างชายชรายังแหลกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับเสียงคำรามอย่างไม่ยินยอม
ภาพนี้ทำให้ชื่อหั่วโหวหรี่ตา
อวี้โหรวเพ่งมองไป เงียบงันไม่กล่าวสิ่งใด
ส่วนมังกรยมโลกกับกระเรียนขนร่วง หนึ่งดูตึงเครียด อีกหนึ่งมีท่าทีเกียจคร้านไม่แยแส
“สังหารคนตระกูลไท่ฉือไปจะเกิดผลกระทบต่อตระกูลเลี่ยซานหรือไม่?” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วมองผู้เฒ่าวายุ
“เทพหมานรุ่นสี่เพิ่งมาถึงดาวทมิฬ คงยังไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก ช่างเถอะ พวกเรามาดูศักยภาพที่แท้จริงของตระกูลเลี่ยซานด้วยกัน” ผู้เฒ่าวายุยิ้มน้อยๆ แล้วยกมือขวาขึ้นสะบัดไปทีหนึ่ง ระหว่างที่โดยรอบเกิดเสียงครึกโครมก็ปรากฏม่านแสงมายายักษ์ขึ้น
ขณะม่านแสงขยับวูบวาบก็ชัดเจนขึ้นทีละน้อย สิ่งที่ปรากฏด้านบนคือภาพจากมุมบนของทั้งดาวทมิฬ เห็นบึงน้ำใหญ่ เห็นสิ่งก่อสร้างนับไม่ถ้วน และเห็นลานประมูลของตระกูลเลี่ยซานกลางสิ่งก่อสร้างจำนวนมาก
เวลานี้ลานประมูลเงียบสงบนัก ร่างชายร่างกำยำหลายพันคนนั้นเลือนรางและค่อยๆ หายไป ส่วนคนตระกูลเลี่ยซานก็เริ่มทำความสะอาดลานประมูล พวกเขาเงยหน้ามองซูหมิงกับผู้เฒ่าวายุเป็นบางครั้ง ทุกคนต่างเงียบงัน พอเริ่มทำความสะอาด กลิ่นคาวเลือดก็จางหายไปไม่น้อย
ซูหมิงมองภาพอย่างสงบนิ่ง เขาอยากรู้อยากเห็นศักยภาพของตระกูลเลี่ยซานอย่างมาก เทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิวผงาดขึ้นด้วยพลังตนเพียงคนเดียว กระทั่งสร้างราชวงศ์ต้าอวี๋ของเผ่าหมานขึ้น คนแบบนี้อยู่ดาวทมิฬมาหลายหมื่นปี ฉะนั้นหากเขาสร้างได้เพียงตระกูลระดับกลาง ซูหมิงคงผิดหวังอยู่เล็กน้อย
ทว่าจากการกระทำและคำพูดของผู้เฒ่าวายุ เหมือนว่าตระกูลเลี่ยซานจะไม่สนใจตระกูลไท่ฉือแม้แต่น้อย ถึงกระทั่ง…ไม่สนใจทุกตระกูลบนดาวทมิฬ
หลังจากซูหมิงเพ่งมองม่านแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าทั้งเมืองวารีดำเหมือนจะเงียบสงบลง ผู้ฝึกฌานทุกคนบนสะพานหินเงยหน้าขึ้น
ท่ามกลางความเงียบ ระหว่างทุกคนเงยหน้าขึ้น ซูหมิงเห็นจากม่านแสงว่าบนสิ่งก่อสร้างมหึมาตรงใจกลางเมืองวารีดำ มีเสียงระฆังดังก้องไปรอบๆ ต่อจากเสียงระฆัง ท้องฟ้าบิดเบี้ยว มีร่างเงาคนปรากฏตามมา ช่วงที่เมฆลมเปลี่ยนสีม้วนตลบไปรอบๆ ก็มีแรงกดดันยิ่งใหญ่กดทับลงมากลางเมืองวารีดำ
ต่อจากนั้น เมื่อบนฟ้าปรากฏร่างเงาคนมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเมฆลมมีวิหารใหญ่ยักษ์ราวหลายหมื่นจั้งค่อยๆ ลดระดับลงมา บนวิหารเขียนตัวอักษรไว้อย่างชัดเจนว่า…
วิหารไท่ฉือ!
“ตระกูลไท่ฉือมีคำสั่ง คนตระกูลเลี่ยซานทั้งหมดในเมืองวารีดำต้องถูกสังหาร จากนี้ไป…ตระกูลเลี่ยซานจะถูกลบชื่อออกจากดาวทมิฬ!” เสียงเคร่งขรึมดังมาจากในวิหารไท่ฉือบนฟ้าราวกับเสียงฟ้าผ่า ขณะเดียวกับที่เสียงนี้ดังสนั่น บนฟ้าปรากฏร่างเงาหลายร้อยคน จากนั้นห้อเหยียดลงมายังลานประมูลตระกูลเลี่ยซานกลางเมืองวารีดำในพริบตา
“เมืองวารีดำถูกควบคุมโดยตระกูลไท่ฉือที่แยกตัวมาจากสายเลือดเชมันต่างแดน เมืองกิเลนหมึกควบคุมโดยตระกูลโม่จากทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ส่วนเมืองโลกดาราสี่มหาโลกแท้จริงช่วยตระกูลหวาสร้างขึ้น
พวกเขาคือสามตระกูลใหญ่ที่อยู่จุดสูงสุดบนดาวทมิฬ แต่ว่า…ดาวทมิฬเป็นของพวกเรา” ผู้เฒ่าวายุกล่าวเสียงเรียบ แต่กลับมีอำนาจที่ไร้รูปกระจายออกมาขณะเอ่ยโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
เมื่อผู้เฒ่าวายุกล่าวขึ้น ซูหมิงก็เห็นว่าทั้งเมืองวารีดำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นสะพานหินล้วนบิดเบี้ยว มีเสียงคำรามดังก้องกังวาน ในเวลาเดียวกันยังทำให้เขาลมหายใจหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะว่าสะพานหินพวกนั้นบิดเบี้ยวและกลายเป็นมังกรหินทีละตัว!
เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกัน ฟ้าดินสั่นสะเทือน จากนั้นมังกรหินก็ร้องคำรามพร้อมบินขึ้นฟ้าไปทั้งหมด
“ตระกูลไท่ฉืออยู่เมืองวารีดำมานานมากแล้ว สามตระกูลใหญ่ระดับสูงสุดควรจะเปลี่ยนได้สักที ตระกูลอวี้ก็ไม่เลว มาเป็นตระกูลสูงสุดแทนตระกูลไท่ฉือได้” ผู้เฒ่าวายุกล่าวราบเรียบ
ขณะเอ่ย ภาพในม่านแสงเปลี่ยนไปอีกครั้ง หลังจากมังกรหินนับไม่ถ้วนร้องคำรามพลางบินขึ้นฟ้าไป สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในเมืองวารีดำเปล่งแสงหม่นตรงปลายยอด ท่ามกลางแสงหม่นนั้น ปลายยอดสิ่งก่อสร้างทั้งหมดเหมือนกับแยกส่วนออกมา แล้วปรากฏเป็นวงแหวนอาคมซับซ้อนจำนวนมาก
ทั้งเมืองวารีดำถูกวงแหวนอาคมแน่นขนัดเหล่านี้ปกคลุมทั้งหมด!
เสียงโครมดังขึ้น ลำแสงระเบิดออกจากวงแหวนอาคมติดต่อกัน ทั้งหมดพุ่งตรงไปยังวิหารไท่ฉือบนฟ้า!
แสงหมื่นสาย มังกรหินหมื่นตัว เมืองวารีดำเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น!