Skip to content

สู่วิถีอสุรา 896

ตอนที่ 896 หมายเลขหนึ่ง

‘เผ่าหมานของพวกเรา…’ ซูหมิงมองผู้เฒ่าวายุแวบหนึ่ง ไม่กล่าวอะไร เขามีความเห็นพ้องกับห้าคำนี้ แต่ที่มากกว่ากลับเป็นความซับซ้อนที่บอกไม่ถูก ความซับซ้อนนี้มาจากชื่อใหม่ของบรรพบุรุษตระกูลไท่ฉือ

เมล็ดพันธุ์หมานหมายเลขสี่

มีสี่หมายเลข เช่นนั้นบางทีอาจไม่มีหมายเลขห้ากับหก แต่จะต้องมีหมายเลขสาม สอง และหนึ่งแน่นอน

พวกเขาเป็นใครกัน…

‘ด้วยสติปัญญาและกลอุบายของเลี่ยซานซิว หากวางแผนต่อข้า บางทีข้า…อาจเป็นหนึ่งในหมายเลขหนึ่ง สอง หรือสาม’ ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่เผยความคิดในใจออกมาแม้แต่น้อย ทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้

เหมือนกับคนที่ไม่มีความคิดทำร้ายคนอื่น แต่ก็ต้องระแวงคนรอบข้าง เพราะว่านี่…คือโลกของการฝึกฝน นี่คือโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก คือยุคสมัยเหี้ยมโหดที่แม้เดินพลาดก้าวเดียวก็ต้องพบกับเคราะห์ภัยไม่จบไม่สิ้น

ผู้เฒ่าวายุเดินอยู่กลางฟ้าดิน ซูหมิงอยู่ข้างๆ สองคนเดินอากาศไปอย่างเนิบช้า อวี้โหรวกับชื่อหั่วโหว และยังมีสุนัขตัวใหญ่สีเหลืองและดำสองตัวทะยานตามอยู่ด้านหลังตลอดทาง

“ฟ้าดินแห่งนี้ ทั้งดาวหมึกดำ ในทุกตระกูลล้วนมีคนในตระกูลมากกว่าครึ่งถูกปลูกเมล็ดพันธุ์หมาน ระหว่างที่ค่อยๆ ซึมซับไปโดยไม่รู้ตัว พวกเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกฌานอีก แต่ได้รับสมญานามของเผ่าหมานไป” ผู้เฒ่าวายุกล่าวเนิบช้า เสียงดังกังวานอยู่กลางสายลม

“พวกเราควบคุมการค้าขายกับนอกโลกบนดาวหมึกดำอยู่แปดส่วนในทุกๆ ปี พวกเราตัดสินได้ว่าสินค้าบางชนิดจะค้าขายเท่าไร ควบคุมตรงนี้ได้ ก็เท่ากับควบคุมเส้นเลือดส่วนหนึ่งของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตกับสี่มหาโลกแท้จริง

การปล้นชิงไม่เคยลดน้อยลงเลย ทุกช่วงเวลาจะมีขุมอำนาจจากนอกโลกเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรบนดาวหมึกดำ อย่างเช่นตระกูลไท่ฉือ ตอนนั้นสาขาย่อยวิถีเชมันจากต่างแดนบุกเข้ามา แต่ก็ถูกพวกเราลอบจัดการอย่างน่าอดสู จนถึงวันนี้…ต่อให้ไม่มีเรื่องคนตระกูลอื่นมาล่วงเกินเจ้า อีกไม่นานพวกเราก็จะลบพวกเขาทิ้งไปอยู่ดี” เสียงผู้เฒ่าวายุดังกังวานในฟ้าดิน เขาพาซูหมิงเดินผ่านภูเขาใหญ่ไปทีละลูก เดินผ่านแม่น้ำยาวหลายสายและที่ราบหลายแห่ง

“เจ้าสงสัยหรือไม่ว่าหลังมาถึงดาวหมึกดำแล้ว เหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเลย?” ตอนที่ผู้เฒ่าวายุเดินหน้าไป ก็หันหน้ามายิ้มมองซูหมิง

“แม่น้ำภูเขาของที่นี่ ที่ราบของที่นี่ ภูมิประเทศของที่นี่…หากเจ้ามองดีๆ จะเห็นว่าทุกอย่าง…มีร่องรอยถูกปรับเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นโลกเผ่าหมานในความทรงจำพวกเรา” ผู้เฒ่าวายุกล่าวจบก็เงียบไป แต่มองซูหมิงเงียบๆ

ซูหมิงเงียบงัน ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นในจุดนี้อยู่บ้าง ยามนี้มองเห็นเงื่อนงำแล้ว ก็เป็นอย่างที่ผู้เฒ่าวายุว่าไว้ ลักษณะภูมิประเทศของที่นี่…มีบางแห่งที่เหมือนเคยเห็นมาก่อน

“ไกลออกไปนั่นคือเมืองกิเลนหมึก ตระกูลโม่ในเมืองนั้นมีกฎเข้มงวดอย่างยิ่ง และก็เป็น…ตระกูลที่พวกเรามีอำนาจควบคุมน้อยที่สุด เป็นกลุ่มแกนกลางเผ่าประหลาดจากทะเลดาราต้นกำเนิดจิต พวกเขามีความเย่อหยิ่งของพวกเขาอยู่” ตลอดทางมานี้ ซูหมิงเห็นตระกูลอยู่จำนวนมาก ตอนนี้เสียงผู้เฒ่าวายุแว่วมา พอมองตามไปก็เห็นว่าไกลออกไปมีเมืองสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาอยู่!

กิเลนดำตัวใหญ่ยืนอยู่บนแผ่นดินใหญ่ เงยหน้าขึ้นฟ้า สีหน้าแฝงความคิดถึง เหมือนกับแววตาที่กำลังมองฟ้า มองดาวแห่งบ้านเกิด

กิเลนดำตัวนี้ใหญ่หนึ่งล้านลี้ มองไปแวบเดียวเหมือนสุดลูกหูลูกตา แรงกดดันมหาศาลกระจายมาจากตรงนั้น ความแกร่งของแรงกดดันเหมือนจะคล้ายกับผู้กุมชะตาเกิดดับ

ผู้เฒ่าวายุไม่ได้พาซูหมิงไปยังเมืองกิเลนหมึก แต่พาอ้อมหลังไป เขาแทบจะพาไปทั่วดาวหมึกดำแล้ว หนึ่งในนั้นมีเมืองโลกดาราด้วย

จนกระทั่งสุดท้าย ตอนที่ฟ้าเริ่มมืดลง ซูหมิงมาถึงเทือกเขาบนดาวหมึกดำแห่งหนึ่ง เทือกเขานี้คล้ายกับกระดูกสันหลังมังกร ประดุจมังกรกำลังหลับใหล ตัวภูเขาก็เป็นสีดำทึบ

หากมองจากฟ้าลงมา จะเห็นรางๆ ว่าบนยอดเขาสูงแห่งหนึ่งบนเทือกเขาเหมือนมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาเป็นชายร่างกำยำอย่างยิ่ง ยืนอยู่ตรงนั้น กระทั่งให้ความรู้สึกว่าสูงตระหง่านกว่ายอดเขาที่เขาเหยียบอยู่เสียอีก

คล้ายกับไม่ว่าจะเป็นที่ใดที่เขาอยู่ ทุกอย่างรอบตัวจะต้องโอบเขาเป็นศูนย์กลาง แม้แต่ฟ้าดินในพื้นที่นี้ยังเหมือนต่างกับรอบๆ ให้ความรู้สึกเว้าลงไปเล็กน้อย ประหนึ่งว่ากำลัง…ก้มคารวะคนผู้นี้อยู่

ซูหมิงเห็นเพียงแผ่นหลังคนคนนี้รางๆ แต่พอผู้เฒ่าวายุกับเขาเข้าไปใกล้ แผ่นหลังนี้ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น จนกระทั่งแจ่มชัดแล้ว ซูหมิงถึงมีสีหน้าซับซ้อน

เพราะว่านี่ไม่ใช่คนที่มีชีวิต แต่เป็นรูปปั้นหิน

รูปปั้นหินของ…เลี่ยซานซิว!

ผู้เฒ่าวายุบินลงมายืนอยู่ข้างรูปปั้นหิน ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ สายตามองที่รูปปั้นหิน

“เจ้ามาช้าไป” ผ่านไปพักใหญ่ผู้เฒ่าวายุก็ถอนหายใจเสียงเบา แล้วกล่าวกับซูหมิงเรียบๆ

“นี่ไม่ใช่รูปปั้นหิน เมื่อแปดพันปีก่อนท่านเลี่ยซานซิวยืนอยู่ตรงนี้ มองตะวันขึ้นลงเหมือนกำลังตรึกตรองอะไรบางอย่าง เขาอยู่แบบนี้ติดกันสามปี ร่างกายก็เปลี่ยนเป็นรูปปั้นหิน ไม่รู้ว่าวิญญาณเขาไปอยู่ที่ใดแล้ว พลังชีวิตก็หายไปด้วย”

“ทว่าก่อนที่วิญญาณเขาจะหายไป ข้าและผู้เฒ่าสายฝนได้ยินกระแสจิตของท่านเทพหมาน

เขาบอกพวกเราว่าจะไปที่แห่งหนึ่งที่สามารถตัดสินดวงชะตาของเผ่าหมานเราได้ บางทีชีวิตนี้เขาอาจไม่กลับมาอีก หากหมื่นปีไม่กลับมา ทุกอย่างที่เขาสร้างขึ้นจะเป็นของเทพหมานที่มาถึงหลังจากนี้

หากเทพหมานที่มาถึงอยากไปตามหาเขา เช่นนั้น…ก็จะเกิดการแย่งชิงของเทพหมาน! ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของท่านเทพหมาน แต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจ” ผู้เฒ่าวายุเงียบไปสักครู่ มองซูหมิงอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนจะถอยหลังไปหลายก้าว ออกไปนั่งฌานเงียบๆ ห่างไปหลายร้อยจั้ง

ซูหมิงมีสีหน้าปกติ คนอื่นอ่านความคิดเขาไม่ออก ช่วงที่ผู้เฒ่าวายุถอยไป เขาเงยหน้ามองรูปปั้นตรงหน้าพลางเดินเข้าไป จึงเห็นรูปร่างหน้าตาของเลี่ยซานซิว

เขามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผ่านโลกมาโชกโชน แฝงไว้ด้วยความสง่างามและทรงคุณธรรม ความลึกซึ้งในแววตา ต่อให้ตอนนี้เป็นรูปปั้นหินก็ยังลุ่มลึกอยู่ ตอนที่ซูหมิงมองรูปปั้นนี้ เขารู้สึกได้ถึงความเศร้าเสียใจ

เลี่ยซานซิวมองฟ้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

สายตามองเลี่ยซานซิว เขาในรูปลักษณ์แบบนี้ถึงจะสอดคล้องกับภาพจำในใจซูหมิง ไม่ใช่คนชั่วที่ใช้กลอุบายต่ำทรามที่เห็นก่อนหน้านี้กับเมล็ดพันธุ์หมาน

“มอบอำนาจและผลประโยชน์การเลือกให้ข้ารึ…” ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงพึมพำอย่างที่มีเพียงเขาที่ได้ยิน

คำพูดที่เลี่ยซานซิวฝากเอาไว้ไม่ซับซ้อน แต่สัมผัสได้โดยตรง ผู้เฒ่าวายุบอกว่าตนไม่เข้าใจนั่นไม่ใช่ความจริง เป็นเพราะเขาไม่อยากเข้าใจต่างหาก คำตอบเป็นอย่างไรไม่ใช่เขาที่เห็นคนตัดสินใจ แต่ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติเท่านั้นที่มีสิทธิ์เลือก

เส้นทางนี้ คนที่มีสิทธิ์เดินไปมีเพียงเทพหมาน

รุ่นหนึ่งก็ดี รุ่นสองก็ดี รุ่นสามรุ่นสี่ก็ดี…ขอเพียงได้รับการยอมรับจากแผ่นดินหมาน ขอเพียงได้รับหัวใจแห่งชาวเผ่าหมาน เช่นนั้น…เขาก็จะมีสิทธิ์เดินบนเส้นทางนี้

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ซูหมิงมองรูปปั้นของเลี่ยซานซิวตลอด จนกระทั่งคืนหนึ่งผ่านไป ตอนที่ฟ้าสว่างอีกครั้ง เขายังยืนอยู่ข้างรูปปั้นเลี่ยซานซิว เงยหน้าขึ้นมองฟ้า

ท่าทางของเขาเหมือนกับรูปปั้นเลี่ยซานซิวทุกประการ ถึงตัวเขาจะไม่ได้รใหญ่กำยำอย่างเลี่ยซานซิว แต่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ยังให้ความรู้สึกว่าฟ้าดินอยู่ใต้เท้า

เขามองฟ้าแบบนี้เงียบๆ

หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…

บนเทือกเขาเริ่มมีร่างเงาคนเข้ามาอย่างเงียบๆ คนแรกที่มาถึงซูหมิงเคยเห็นจากในม่านแสง นั่นคือชายชราที่นั่งอยู่บนตัวปลาหมึกยักษ์ หรือก็คือแม่ทัพสายฝนหนึ่งในสี่แม่ทัพสายลม สายฝน สายฟ้า และหมอก

รูปลักษณ์แก่ชราของเขาคล้ายกับผู้เฒ่าวายุมาก เขาเข้ามาอย่างเงียบๆ แล้วมานั่งอยู่ข้างผู้เฒ่าวายุ สองคนนี้ไม่มีใครกล่าวอะไร แต่นั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนรอการเลือกของซูหมิงอยู่

เวลาผ่านไป ปรากฏร่างคนจำนวนมากขึ้นด้านหลังพวกเขา คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนชรา เป็นผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งในตระกูลเลี่ยซาน เวลาปกติพวกเขาจะออกมาน้อยมาก ทว่าวันนี้…กลับมาที่นี่ สายตามองแผ่นหลังซูหมิงด้วยความซับซ้อน เลือกนั่งขัดสมาธิลงรอต่อไป

ครึ่งเดือนต่อมามีคนเกือบร้อยมารอ พวกเขาล้วนมองซูหมิง ทว่าซูหมิงกลับไม่สังเกตเห็นเลย เขากำลังมองฟ้า กำลังคิดว่าเลี่ยซานซิวในตอนนั้นมองอะไรอยู่

มองต่อไปอีกครึ่งเดือน ซูหมิงเห็นตะวันขึ้นลงสิบกว่าครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ จนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งเดือน เขามองฟ้าและคลับคล้ายว่าจะเข้าใจ

บนฟ้าไม่มีอะไร สิ่งที่เลี่ยซานซิวมองในตอนนั้นไม่ใช่ฟ้า แต่เป็น…ตัวเขาเอง เป็นในใจของเขาเอง เขากำลังลังเล กำลังตรึกตรองเรื่องหนึ่ง

“การแย่งชิงของเทพหมาน…” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา

‘ทว่าข้าไม่อยากแย่งชิง’ ซูหมิงมองฟ้า

‘หากไม่แย่งชิง หากเจ้าไม่กลับมาในอีกสองพันปี เช่นนั้นทุกอย่างของที่นี่จะเป็นของข้า…นี่คือสิ่งที่เจ้าบอกข้า คือการเลือกของเจ้าหรือ

ทว่าเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตา ทุกอย่างไม่ใช่การเลือกจริงๆ ของเจ้า การเลือกสุดท้ายของเจ้าคือให้ข้ามาแย่งชิงกับเจ้า…’ ซูหมิงถอนหายใจ เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงแล้วหมุนตัวกลับ สายตามองเผ่าหมานเกือบร้อยคนที่ห่างไปหลายร้อยจั้งด้านหลัง

ซูหมิงกำลังมองพวกเขา พวกเขาก็กำลังมองมาเช่นกัน

ต่างฝ่ายต่างเงียบ

“บอกข้ามา เมล็ดพันธุ์หมานหมายเลขสามคือใคร” ซูหมิงกล่าวเนิบช้า

“โอรสสวรรค์รุ่นหนึ่งเมื่อสองพันปีก่อน เผ่าชิงสวรรค์ในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต” คนที่ตอบซูหมิงคือผู้เฒ่าวายุ

“หมายเลขสองล่ะ?” ซูหมิงถามขึ้น

“ผู้ฝึกฌานจากโลกแท้จริงดาราสัจธรรมท่านหนึ่ง…จากขุมอำนาจรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริง” ผู้เฒ่าสายฝนกล่าวเสียงแหบแห้ง เขากล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก จุดที่เสียงแว่วผ่านจะเหมือนมีไอน้ำลุกลามไป

“หมายเลขหนึ่งคือใคร” ซูหมิงเงียบไปพักหนึ่งถึงกล่าวเสียงเรียบ

สิ้นเสียง ผู้เฒ่าวายุกับผู้เฒ่าสายฝนต่างมองซูหมิงพร้อมกัน เพียงแต่ซูหมิงยืนอยู่ข้างรูปปั้นเลี่ยซานซิว เลยไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ที่สายตาพวกเขามองรูปปั้นเลี่ยซานซิวไปด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!