ตอนที่ 897 เบื้องหลังอันขมขื่น
ซูหมิงเอียงศีรษะมองรูปปั้นเลี่ยซานซิวแวบหนึ่ง ก่อนถอนหายใจเบาๆ
เขาเข้าใจแล้ว กล่าวได้ว่าเข้าใจทุกอย่าง นี่คือการเลือกที่ไม่มีทางเลือกของเลี่ยซานซิวต่อตัวเอง หรืออาจต่อเทพหมานจากบ้านเกิดเผ่าหมานมาที่นี่
ซูหมิงคือหมายเลขหนึ่ง เลี่ยซานซิวก็เป็นหมายเลขหนึ่ง
นี่คือ…การต่อสู้แย่งชิงของเทพหมาน ผู้ชนะจะได้รับการสืบทอดเมล็ดพันธุ์หมานทั้งหมด และบรรลุถึงขั้นพลังจุดสูงสุด ก่อนจะนำพาทั้งเผ่าหมานผงาดขึ้น
การแย่งชิงครั้งนี้ดูไม่โหดร้าย เพราะไม่มีการสังหาร ไม่มีการต่อสู้ แต่เป็น…การตามหา
หากหาเลี่ยซานซิวพบซูหมิงก็จะชนะ หากหาไม่พบซูหมิงก็จะแพ้
ส่วนระยะเวลาจำกัด…คือหมื่นปี เพียงแต่ว่าเวลาผ่านไปแปดพันปีแล้ว เช่นนั้นก็เหลือเพียงสองพันปีเท่านั้น
‘เทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิว…สิ่งที่เขาลังเลในตอนนั้นคือความเหี้ยมโหดโดยเนื้อแท้ของการแย่งชิงแห่งเทพหมาน เขาไม่อยากทำ…ดังนั้นจึงให้เวลาหมื่นปี หากในหมื่นปีมีเทพหมานจากบ้านเกิดมาถึง เช่นนั้นก็จะได้เลือกอย่างไร้ทางเลือก มีโอกาสที่จะได้ชัยชนะอยู่ แต่หากในหมื่นปีนี้ยังไม่มีเทพหมานจากบ้านเกิดมา เช่นนั้น…เขาก็จะสร้างมหันตภัยแห่งการผงาดขึ้นแทนเผ่าหมานในแดนมรณะหยิน’
‘เพราะเหตุใดกันแน่ที่ทำให้เลี่ยซานซิวคิดว่าเทพหมานของเผ่าหมานมีได้แค่คนเดียว และเพราะเหตุใดถึงทำให้เขามอบเส้นทางนี้ให้กับคนรุ่นหลัง เรื่องนี้ไม่มีเหตุผล แต่เขากลับทำเช่นนี้’ ซูหมิงหลับตาลง ในความคิดมีความเศร้าโศกที่กระจายมาจากรูปปั้นเลี่ยซานซิวลอยขึ้น
‘บางทีคำตอบมากมายก็ซ่อนอยู่ในความเศร้าโศก’ ซูหมิงลืมตา เขามีคำตอบของตัวเองแล้ว
‘ข้าจะไม่แย่งชิง และจะไม่ไปตามหา ข้ามีเส้นทางของข้าเอง’ ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินไปทางพวกผู้เฒ่าวายุ พอเขาเดินมา ชาวเผ่าหมานเกือบร้อยคนรวมถึงผู้เฒ่าวายุต่างยืนขึ้น สายตามองซูหมิงด้วยความซับซ้อน พวกเขากำลังรอซูหมิงเลือก
“ข้า…” ซูหมิงมองชาวเผ่าหมานเหล่านี้ มองผู้เฒ่าวายุกับผู้เฒ่าสายฝนเขาเพิ่งกล่าวได้คำเดียวก็หยุดชะงักไป ก่อนจะนึกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง
ความเป็นไปได้นี้ทำให้คำพูดเขาหยุดชะงัก หรี่ตาลงแล้วค่อยๆ หมุนตัวกลับไปมองรูปปั้นเลี่ยซานซิว
‘ความเศร้าโศก ความลังเล เพ่งมองฟ้า ตรึกตรอง…ทางเลือกที่ไม่มีเหตุผล ทุกอย่าง…ง่ายแบบนี้จริงๆ หรือ….’
‘เทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิว ตอนนั้นยืนอยู่ที่นี่มาสามปี…เมล็ดพันธุ์หมานหมายเลขหนึ่ง…’ ซูหมิงลมหายใจกระชั้น เขาเหมือนคว้าเจอจุดสำคัญบางอย่าง แต่กลับยังคงเลือนราง
ช่วงที่ชาวเผ่าหมานเกือบร้อยคนกำลังรอซูหมิงเลือก ซูหมิงก็มองรูปปั้นเลี่ยซานซิวอีกครั้ง เขาเดินไปอยู่ข้างรูปปั้นช้าๆ แล้วเพ่งมองใบหน้าเลี่ยซานซิว
เขาเห็นความลังเล เห็นความเศร้าเสียใจ เห็นการใคร่ครวญ ทว่าสีหน้าสามแบบนี้รวมเข้าด้วยกันกลับทำให้เขาใจสั่นสะท้าน เพราะพอเห็นรวมเข้าด้วยกันแล้ว สีหน้าของเลี่ยซานซิวเหมือนจะ…ซ่อนความขมขื่นที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งเอาไว้!
ซูหมิงเงียบงัน เขามายืนอยู่ข้างรูปปั้นเลี่ยซานซิวอีกครั้ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เวลาค่อยๆ ผ่านไป เจ็ดวันต่อมา ซูหมิงมีสีหน้าลังเลอย่างชัดเจน
เขาตั้งใจลังเล นึกย้อนไปในความทรงจำตัวเอง เอาทุกช่วงเวลาที่ทำให้ตนลังเลมารวมเข้าด้วยกันแล้วส่งไปยังสีหน้าตน
เวลาผ่านไปอีกเจ็ดวัน ในสีหน้าลังเลมีความเศร้าโศกเพิ่มเข้ามา หลังรวมความเศร้ากับลังเลเข้าด้วยกันแล้ว จึงทำให้สีหน้าเขาดูซับซ้อนมาก
เวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน เขาถึงเงยหน้าขึ้นมองฟ้า หลังจากเงียบมาหลายเดือนอีก ในที่สุดเขาก็เอ่ยเสียงดังกึกก้อง
“อวี้โหรว บอกข้ามา สีหน้าข้าที่เจ้าเห็นตอนนี้ สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาในใจเจ้าคืออะไร”
สิ้นเสียงซูหมิง อวี้โหรวที่เงียบมาตลอดข้างๆ มองใบหน้าซูหมิงอย่างสงบ ครู่ต่อมานางก็เอ่ยเสียงเบา
“ขมขื่น ต่อสู้ดิ้นรน”
ซูหมิงใจสั่น บางทีเขาอาจจะมองผิดไป ทว่าการยืนยันครั้งนี้ทำให้เขารู้ว่า เสี้ยวความขมขื่นที่เห็นจากสีหน้าเลี่ยซานซิวไม่ใช่ภาพลวงตา!
ในความขมขื่นนั้นแฝงไว้ด้วยการต่อสู้ดิ้นรน แต่สีหน้าแบบนี้เข้าใจได้อยู่ว่า เลี่ยซานซิวไม่อยากให้เกิดการแย่งชิงของเทพหมาน ทว่าเขาต้องทำแบบนี้ ดังนั้นจึงขมขื่นและดิ้นรน
แต่นี่…ยังมีอีกหนึ่งความหมาย เบื้องหลังอันขมขื่น สิ่งที่ซ่อนอยู่อาจเป็นความจริงที่เลี่ยซานซิวอยากจะถ่ายทอดออกมาแบบคลุมเครือ
ซูหมิงเงียบงัน ขณะหรี่ตาลง เขายังคงสีหน้าเดิมเอาไว้พลางเงยหน้าเพ่งมองฟ้า
‘เทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิว เจ้าอยากบอกอะไรข้าก็ให้ข้าได้เห็น’ ซูหมิงมองฟ้าอยู่ตลอด ปล่อยให้เวลาผ่านไป ปล่อยให้สายลมและพายุลงมา ปล่อยให้เมฆบนฟ้าเปลี่ยนไม่หยุดตามกาลเวลา หายไปและปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…..
หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน…
ชาวเผ่าหมานเกือบร้อยคนด้านหลังเองก็พบสิ่งที่แปลกออกไป โดยเฉพาะผู้เฒ่าวายุกับผู้เฒ่าสายฝน พวกเขามองหน้ากันและกัน สีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
ส่วนชื่อหั่วโหว หลังจากยอมรับซูหมิงเป็นนายน้อยก็ไม่เคยจากไปเลย ยามนี้ยืนอยู่ข้างๆ คอยเฝ้าระวังพวกคนตระกูลเลี่ยซาน ไม่ยอมให้ใครคุกคามซูหมิงได้
อวี้โหรวมีนิสัยเยือกเย็นมาตลอด ถึงแม้เวลาจะผ่านไป นางก็ยังนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น สายตามองตะวันขึ้นลง
ส่วนกระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลก เดิมทีสุนัขสองตัวนี้นอนหมอบอยู่ ทว่ากระเรียนขนร่วงรอจนทนไม่ไหวแล้ว ไม่รู้ว่าไปโน้มน้าวมังกรยมโลกอย่างไร จึงวิ่งจากไปอย่างเงียบเชียบเมื่อหนึ่งเดือนก่อนแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ใด
เวลาผ่านไปครึ่งปี กลางพายุฝน ซูหมิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งสภาพอากาศหนาว จนกระทั่งหิมะตก เขาก็ยังแน่นิ่ง ตกอยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงกับโลกในจินตนาการ สายตามองฟ้ามองเมฆ
ตอนที่ฤดูหนาวค่อยๆ ผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิมาถึง ทุกสรรพสิ่งฟื้นคืนชีพ ชั้นเมฆบนฟ้าเริ่มเยอะขึ้น ร่างกายซูหมิงพลันสั่นสะท้าน
เขายืนอยู่ที่นี่มาเกือบจะสิบเดือนแล้ว จนถึงตอนนี้พอเขาตัวสั่นไหว ชาวเผ่าหมานด้านหลังต่างเพ่งมองมาทันที
กระทั่งผู้เฒ่าวายุยังเงยหน้ามองฟ้าเช่นกัน แต่สิ่งที่เขาเห็นคือก้อนเมฆ นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีก
ซูหมิงจ้องฟ้าเขม็ง เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าขณะที่ชั้นเมฆบนฟ้าตัดสลับกันในชั่วเสี้ยวขณะ เหมือนว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างขึ้น
ราวกับจะเผยอะไรบางอย่าง แต่แล้วสุดท้าย…กลับไม่มี
ซูหมิงสงบนิ่งลงทีละน้อย ยังคงมองฟ้าเงียบๆ เวลาผ่านไปอีกครั้ง พริบตาเดียว…ก็หนึ่งปีกว่า เขายืนอยู่ข้างรูปปั้นเลี่ยซานซิวมาสองปีเต็มแล้ว
สองปีนี้ตระกูลอวี้กลายเป็นเจ้าปกครองเมืองวารีดำและยังเป็นตระกูลจุดสูงสุด ถึงแม้ว่า…ตระกูลอวี้จะไม่มีผู้กุมชะตาเกิดดับ แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ที่อยู่จุดสูงสุด
ในสองปีนี้ บนดาวทมิฬมีงานประมูลเกิดขึ้นหลายครั้ง ผู้คนมากันอย่างคึกคัก แต่ทางด้านซูหมิง รอบๆ เหมือนถูกคุมขัง สองปีมานี้ไม่มีร่างคนปรากฏเลย
ที่นี่เหมือนกลายเป็น…แดนต้องห้ามบนดาวทมิฬ!
จนกระทั่งปีที่สาม สี่ฤดูกาลวนเวียนกันไป ซูหมิงยืนอยู่กลางยอดเขามาสามปีแล้ว!
วันสุดท้ายของปีที่สาม ตอนที่ตะวันลาลับ ซูหมิงตัวสั่นอีกครั้ง เขาเคลื่อนไหวแล้ว สีหน้ามีความขมขื่นและดิ้นรน เขายืนอยู่ตรงนี้มาสามปี ดวงตาสองข้างยังไม่เคยกะพริบเลยสักครั้ง เหมือนกับเลี่ยซานซิว
จนกระทั่งสามปีผ่านไป เขาก็ยังไม่เห็นอะไรเลย แต่กลับมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง เหมือนกับตนเห็นอะไรบางอย่าง ตอนที่เขาหลับตาลง ความรู้สึกนี้เองที่ทำให้เขาตัวสั่น
ชั่วขณะที่หลับตาลง ก้อนเมฆทั้งหมดบนฟ้าที่เขามองมาตลอดสามปีแปรปรวน ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพท้องฟ้าเหมือนกันทีละภาพอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับมีบางจุดเล็กๆ ที่ชั้นเมฆเปลี่ยนไป พวกมันเชื่อมเข้าด้วยกันอย่างเร็วไวในความคิด หลังจากแต่ละภาพวูบผ่านไปแล้ว….
ก็รวมออกมาเป็นหกคำพูด!
หกคำพูดลอยอยู่บนฟ้า แต่กลับต้องใช้เวลาถึงสามปีจากการเปลี่ยนแปลงของเมฆบนฟ้า รวมออกมาเป็นหกคำ!
หกคำพูดนี้มีเพียงวิธีเดียวที่จะเห็นได้ นั่นคือต้องมองฟ้าตาไม่กะพริบอย่างซูหมิงตอนนี้ แล้วนำการเปลี่ยนแปลงของชั้นเมฆทั้งหมดประทับลงในความคิด ทันที่หลับตาลงถึงจะปรากฏขึ้นมา
‘ทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ช่วยข้า…’
ซูหมิงใจสั่นสะท้าน เขาลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นคือหกคำพูดนี้ซ่อนอยู่ในการขอความช่วยเหลือของเบื้องหลังอันขมขื่นและดิ้นรน!
การขอความช่วยเหลือนี้จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ กระทั่งพูดยังไม่ได้ มิเช่นนั้นเลี่ยซานซิวคงไม่บอกแบบลับๆ เช่นนี้ และยังไม่ยอมเสียเวลาสามปีใช้จิตสัมผัสค่อยๆ ปรับเปลี่ยนชั้นเมฆบนฟ้า ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชั้นเมฆที่นี่ ทำให้คนที่เงยหน้ามองอยู่ที่นี่มาสามปีพบการขอความช่วยเหลือของเขา
การขอความช่วยเหลือจากแปดพันปีก่อนทำให้ซูหมิงใจสั่นไหว และได้รู้จักการแย่งชิงของเทพหมานที่เลี่ยซานซิวเอ่ยถึงอย่างที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
“ก่อนหน้าข้า มีคนอื่นมาที่นี่แล้วยืนถึงสามปีหรือไม่?” ซูหมิงพลันกล่าวขึ้น หมุนตัวกลับไปมองชาวเผ่าหมานเกือบร้อยกับพวกผู้เฒ่าวายุ
“ไม่มี” ผู้เฒ่าวายุส่ายศีรษะ
“เตรียมแผนที่ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมาให้ข้า ยิ่งมีข้อมูลครบถ้วนมากเท่าไรยิ่งดี” ซูหมิงเงียบไปพักหนึ่งถึงลอบถอนหายใจ แล้วกล่าวเนิบๆ
ซูหมิงจะทำเป็นเมินเฉยกับการขอความช่วยเหลือของเทพหมานรุ่นหนึ่งไม่ได้ ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น แต่เป็นเพราะเคารพความรุ่งเรืองชั่วชีวิตของเลี่ยซานซิว
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เดิมทีพวกเราก็มีแผนที่โดยละเอียดของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตอยู่แล้ว ทว่าทะเลดารามีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทุกๆ หลายร้อยปีแผนที่จะต่างออกไป แต่หนึ่งเดือนจากนี้จะมีงานประมูลดาวทมิฬที่จัดขึ้นจากทุกตระกูลในทุกๆ หลายร้อยปี ถึงตอนนั้นจะมีเผ่าประหลาดจากทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมาด้วย ในกลุ่มพวกเขามีแผนที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงชนิดต่างๆ ละเอียดยิ่งกว่าของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตในช่วงหลายร้อยปีมานี้ด้วย” ผู้เฒ่าวายุมองซูหมิงแวบหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงต่ำทุ้ม
“งานประมูลดาวทมิฬ?” ซูหมิงตาขยับประกาย “คนจากขุมอำนาจรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริงจะมาด้วยหรือไม่?”
“งานประมูลดาวทมิฬหลายครั้งก่อน ขุมอำนาจรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริงจะส่งคนมาด้วย” ผู้เฒ่าวายุกล่าวตอบ
“ขุมอำนาจของตระกูลเลี่ยซานรู้เรื่องที่ข้าถูกตั้งค่าหัวในตอนนั้นอย่างละเอียดได้ เช่นนั้นจะสืบรู้รายชื่อคนที่มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกฝนทั้งหมดของขุมอำนาจรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริงได้หรือไม่?” ซูหมิงกล่าวช้าๆ