ตอนที่ 899 มาถึง
หลายวันต่อมา เรือยาวของเต้าคงกลางฟ้ากระจ่างดาวลากผ่านมวลอากาศมาอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆ เข้าสู่พื้นที่ดาวทมิฬ เต้าคงเดินออกมาจากห้องพักมายืนอยู่ตรงหัวเรือยาว เอามือไพล่หลัง เส้นผมดำยาวพาดบ่า เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราเปล่งแสงสว่างคล้ายกับดาวหมุนโคจร
ทำให้เต้าคงในยามนี้ดูสง่ามาก ใบหน้าหล่อเหลามีความเข้มแข็งและอดทน และยังแฝงไว้ด้วยความงดงามของความแกร่งแห่งบุรุษ ต้องกล่าวว่ารูปลักษณ์ของเขาเหมาะสมกับฐานะอย่างยิ่ง
ราวกับว่าดวงชะตาไม่น้อยในฟ้าดินแห่งนี้รวมอยู่ที่ตัวเขา เขาเพลิดเพลินกับมันด้วยตัวคนเดียวไปไม่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เหตุใดเขาถึงได้เป็นสายตรงของสำนักดาราสัจธรรม และยังมีความสามารถที่ไม่มีใครเทียบได้นอกจากเยี่ยวั่ง มิหนำซ้ำยังมีใบหน้าที่ทุกคนเห็นแล้วต้องเอ่ยชม
เขายืนอยู่ตรงนั้น ชายชราเก้าคนด้านหลังตามติดคล้ายกับเงา แต่ยังคงหลับตาโดยตลอด ทว่าพออาศัยแสงดาวมองไป กลับเห็นภาพที่มองไม่เห็นในห้องก่อนหน้านี้ ที่ชายชราเก้าคนนี้หลับตา…นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาถูกเส้นถี่ยิบปิดตาไว้อย่างแน่นหนา!
มองไปให้ความรู้สึกเหมือนกับตุ๊กตาถูกเย็บดวงตา
“ดาวทมิฬ…” เต้าคงยิ้มน้อยๆ สายตามองดาราเลือนรางไกลๆ ในใจเกิดความเฝ้าปรารถนา ที่นี่จะเป็นที่สุดท้ายในแดนรกร้างต้นเหวลึก หลังจากงานประมูลจบลง ตอนที่เขาจากไป เขาจะไม่อยู่รักษาการณ์อีก แต่จะออกจากที่นี่กลับไปโลกแท้จริงดาราสัจธรรม
ข้างกายเขาเป็นหญิงสาวผู้มีใบหน้าน่าหลงใหลกับใบหูแหลมยืนอยู่อย่างเงียบๆ นัยน์ตานางว่างเปล่า ไม่มีแววใดๆ ราวกับหุ่นไม้
ตรงคอนางมีสร้อยคออยู่อันหนึ่ง สร้อยคอวนรอบอักขระสิบเก้าตัวที่ตรานาบเว้นนูนบางครั้งก็ขยับแสงวิบวับ เปล่งแสงเย็นเยียบที่ทำให้ใจคนหนาวสั่น
เรือยาวหลายลำแล่นผ่านไปดุงดั่งลูกปลาในสายน้ำ แล่นผ่านระลอกคลื่นทีละชั้นคล้ายกับน้ำกระเพื่อม มันเข้าใกล้ดาวทมิฬไปเรื่อยๆ แต่ตอนที่พวกเขาเข้าไปในพื้นที่ดาวทมิฬได้ราวหนึ่งก้านธูป ก็มีเสียงลากยาวแหลมดังมาจากตรงหน้า
สิ้นเสียงนี้ ก็เห็นว่าเป็นสัตว์ประหลาดคล้ายกับสิงโตสองหัวกลุ่มหนึ่ง พวกมันร้องคำรามพร้อมกับเคลื่อนตัวเข้ามาเป็นกลุ่มจากที่ไกลๆ มีจำนวนราวๆ หลายร้อยตัว
บนหลังสัตว์ประหลาดทุกตัวมีผู้ฝึกฌานนั่งอยู่หนึ่งคน ผู้ฝึกฌานเหล่านี้สวมอาภรณ์แบบเดียวกัน ทุกคนต่างดวงตาเป็นแวววาว ต่างกับสภาพอนาถและซูบผอมของคนแดนรกร้างคนบาปนอกดาวทมิฬอย่างชัดเจน
พวกเขาดูกระปรี้กระเปร่า ซ้ำยังไม่เห็นถึงความเคารพยำเกรงต่อขุมอำนาจรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริง แต่มีท่าทีสงบนิ่งกับทุกคน
“ข้างหน้าเป็นใคร รายงานชื่อมา!”
“หาญกล้านัก พวกเราคือขุมอำนาจรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริง คนรกร้างกรรมชั่วอย่างพวกเจ้ายังไม่คุกเข่าคารวะอีกรึ!” พลันมีเสียงหึเย็นชาแว่วมาจากในเรือยาว น้ำเสียงมีความโอหังชัดเจนอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกฌานจากดาวทมิฬเหล่านี้ได้ยินดังนั้นก็ต่างหัวเราะ ทว่าสีหน้ากลับเย็นชา งานประมูลดาวทมิฬทุกครั้ง มักจะมีคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้อยู่ นี่เกี่ยวกับประสบการณ์ในด้านผู้รักษาการณ์ของพวกเขาด้วย ถึงอย่างไรที่นี่ นอกจากดาวทมิฬกับทะเลดาราต้นกำเนิดจิตแล้ว ผู้ฝึกฌานแทบทุกดาวที่เจอพวกเขาต่างต้องแสดงเคารพอย่างยิ่ง
ประกอบกับกฏที่คนรักษาการณ์แห่งสี่มหาโลกแท้จริงต้องผลัดเปลี่ยนเวรกัน การที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจึงไม่แปลกอะไร
“เอาเทียบเชิญพวกเจ้าออกมา พวกข้าเป็นคนรับผิดชอบการตรวจสอบชั้นแรกนอกดาวทมิฬ หากไม่มีเทียบเชิญ ก็ต้อง…สังหารให้สิ้นซาก!” ในกลุ่มผู้ฝึกฌานแห่งดาวทมิฬ คนนำหน้าเป็นชายชราผู้หนึ่ง เขาม้วนเปลือกตาขึ้นไป แล้วกล่าวด้วยความเย็นชา
“เป็นแค่ดาวทมิฬเล็ก…” ผู้ฝึกฌานคนที่แค่นเสียงหึเย็นชาจากเรือเมื่อครู่นี้กำลังจะกล่าวต่อ แต่เสียงกลับเงียบหายไป จากนั้นก็มีเสียงนุ่มนวลแว่วมาอย่างเนิบๆ และยังมีชายชราผู้มีใบหน้ามีเมตตาและสุภาพเดินออกมาจากในเรือ
“ลิ่วล้อพวกนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เหตุที่ล่วงเกินไปหวังว่าสหายทุกท่านจากดาวทมิฬจะไม่ถือสา พวกเราคือคนจากโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ได้รับคำเชิญจากงานประมูลดาวทมิฬ จึงมาเข้าร่วมด้วย นี่คือเทียบเชิญของเรา” ชายชรายิ้มพลางหยิบแผ่นหยกมาจากอกเสื้อแผ่นหนึ่งแล้วปล่อยไปตรงหน้า
แผ่นหยกตรงไปหาผู้ฝึกฌานดาวทมิฬทันที เมื่อคนนำหน้ารับเอาไว้และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ส่งกลับคืนไป จากนั้นจึงพาผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนด้านหลังแยกไปอยู่สองข้างเพื่อเปิดเส้นทางให้
ชายชราผู้มีใบหน้าเมตตาประสานมือคารวะ อมยิ้มแล้วกลับขึ้นไปบนเรือ ไม่นานเรือใหญ่เหล่านี้ของเต้าคงก็เดินหน้าไปตามเส้นทางที่ผู้ฝึกฌานจากดาวทมิฬเปิดให้อย่างเงียบเชียบ แล่นไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
“แจ้งข่าวบรรพบุรุษในตระกูลทันที คนสำนักดาราสัจธรรมมาถึงแล้ว ดูจากความหรูหราแล้ว เต้าคงน่าจะอยู่ในนั้นด้วย แต่ก็ไม่รู้โดยละเอียด” ชายชราผู้นำกลุ่มผู้ฝึกฌานแห่งดาวทมิฬหรี่ตาลง นัยน์ตาเป็นประกายน้อยๆ ก่อนส่งกระแสจิตให้กับผู้ฝึกฌานคนหนึ่งข้างกาย
ผู้ฝึกฌานคนนั้นขยับวูบไหวตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวหายไปทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง กลางเมืองวารีดำบนดาวทมิฬ ภายในห้องที่ซูหมิงอยู่ เลี่ยซานคังจิ่วมาอีกครั้ง เขาโค้งคารวะอยู่ตรงหน้าซูหมิงด้วยความนอบน้อม
“ท่าน กองกำลังโลกแท้จริงดาราสัจธรรมมาถึงแล้ว ตอนนี้อยู่นอกดาวทมิฬ กำลังถูกตรวจสอบอยู่อีกหลายชั้น พวกเราสืบมาแล้ว เต้าคงอยู่บนเรือลำหนึ่งในนั้น ข้างกายเขามีชายชราเก้าคน เก้าคนนี้มีขั้นพลังไม่ธรรมดา น่าจะอยู่จุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลาง อีกทั้งดูจากลักษณะแล้ว เหมือนว่าจะเชี่ยวชาญการโจมตีเป็นกลุ่ม น่าจะมีวงแหวนอาคมอยู่ภายในด้วย
นอกจากเก้าคนนี้แล้ว เต้าคงยังพาผู้ฝึกฌานอีกสามพันคนมาด้วย ทุกคนมีขั้นพลังไม่ธรรมดา อีกอย่าง…น่าจะเป็นผู้ฝึกฌานมรณะ นอกจากนี้จากการตรวจสอบ เต้าคงอยู่แดนรกร้างต้นกำเนิดจิตมาพันกว่าปีแล้ว เคยเจอภยันตรายใหญ่หลวงสองครั้ง ภยันตรายนี้น่าจะมาจากโลกแท้จริงอื่น หนึ่งครั้งในนั้นคือถ้าไม่ใช่เจ้าปกครองโลกตอนปลายก็ไม่มีทางผ่านพ้น ส่วนครั้งสุดท้ายหากไม่ใช่ผู้ฝึกฌานระดับภัยพิบัติจันทราต้องตายอย่างแน่นอน
ทว่าสองครั้งนี้เขากลับไม่เป็นอะไรเลย ดังนั้นพวกเราจึงสงสัยว่าเขาซ่อนผู้ฝึกฌานที่มีขั้นพลังอย่างต่ำก็ระดับภัยพิบัติจันทราเอาไว้คนหนึ่ง
ส่วนเยี่ยวั่งคนที่ท่านให้จับตาดู เขามาถึงดาวทมิฬเพียงลำพังเมื่อวาน ตอนนี้พักอยู่ในเมืองโลกดารา การเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขาอยู่ในการควบคุมของเราหมดแล้ว” เลี่ยซานคังจิ่วกล่าวเสียงเบา เอ่ยจบก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ เหมือนอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับเงียบไปในความลังเลใจ
ซูหมิงหลับตานั่งฌาน พอฟังเลี่ยซานคังจิ่วกล่าวจบแล้ว เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภายในดวงตาลุ่มลึก จึงมองไม่ออกว่าเขามีอารมณ์ดีหรือไม่ดี
“พูดต่อไป” ซูหมิงกล่าวเสียงเรียบ
เลี่ยซานคังจิ่วยิ้มแบบเก้ๆ กังๆ แล้วก้มหน้ารีบกล่าวต่อ
“เอ่อ…สัตว์เลี้ยงสองตัวของท่าน ที่เป็นสุนัขสีดำกับเหลือง ผู้เยาว์ก็ตรวจสอบแล้ว ตอนนี้พวกมันก็อยู่ในเมืองโลกดารา ไม่รู้ว่าไปได้ตำราภาพมาจากที่ใด ในนั้นวาดเป็นของแปลกและหายากไม่น้อย…นอกจากนี้สุนัขสีเหลืองตัวใหญ่ยังเชี่ยวชาญการ แปลงกาย มันเปลี่ยนร่างเป็นชายชราคนหนึ่ง
เขาถือตำราภาพออกไปป่าวประกาศว่าวัตถุในตำราภาพคือของในงานประมูลครั้งนี้ ครึ่งปีที่ผ่านมาเหมือนว่าจะขายไปได้ไม่น้อยแล้ว” เลี่ยซานคังจิ่วยิ้มแห้ง แล้วหยิบตำราภาพออกมาจากอกเสื้อเล่มหนึ่ง แล้ววางไว้ตรงหน้าซูหมิงด้วยความนบนอบ
ซูหมิงหยิบตำราภาพขึ้นมาพลิกดูและเริ่มขมวดคิ้วทีละน้อย จนเมื่อพลิกถึงหน้าสุดท้าย เขาแค่นเสียงหึเย็นชาทีหนึ่ง แล้ววางตำราภาพไว้ข้างๆ วัตถุในตำราภาพมันใช่ของในงานประมูลที่ไหนกัน ของพวกนี้…มีบางชิ้นเป็นของวิเศษของซูหมิง!
เพียงแต่ว่าการแนะนำและบรรยายในนั้นส่วนใหญ่ไม่เป็นความจริง กระทั่งมีไม่น้อยที่เป็นภาพของวิเศษของศัตรูที่ซูหมิงเคยสู้ด้วยในชีวิตนี้
“นี่เพิ่งจะครึ่งปี แล้วพวกมันก่อนหน้านี้ล่ะ” ซูหมิงเงยหน้ามองเลี่ยซานคังจิ่วแวบหนึ่ง
“เอ่อ…อะแฮ่ม ชีวิตนี้ผู้เยาว์ไม่เคยเห็นสัตว์เลี้ยงใดที่มีสติปัญญาขนาดนี้มาก่อน เมื่อครึ่งปีก่อน…พวกมัน กลายเป็นแขกของตระกูลหวาแห่งเมืองโลกดารา
เมื่อหนึ่งปีก่อนพวกมันสร้างลานประมูลแห่งหนึ่งในเมืองกิเลนหมึก เมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อน พวกมันผูกมิตรกับสัตว์จิ่วอิงตัวนั้นในบึงน้ำกลางเมืองวารีดำ และเอาเกล็ดของจิ่วอิงไปหลายอันด้วย
สองปีก่อน พวกมัน…ถูกตระกูลขนาดเล็กสิบกว่าตระกูลบนดาวทมิฬร่วมมือกันล่าสังหาร…
สองปีครึ่งก่อนประกาศรับบุตรเขย สุนัขใหญ่สีเหลืองแปลงกายเป็น….หญิงเลอโฉมคนหนึ่ง…จากนั้นพวกมันก็เริ่มแทรกซึมเข้าไปในตระกูลขนาดเล็กทุกตระกูล ใช้กลอุบายต่ำทรามต่างๆ นานา เอาหินผลึกไปนับไม่ถ้วน…
สามปีก่อน หลังจากพวกมันเพิ่งจากไป ก็ไปหาเหมืองหินผลึกขนาดเล็กแห่งหนึ่งเจอ นั่นคือทั้งหมดของตระกูลขนาดเล็กแห่งหนึ่งเลย”
ซูหมิงฟังจนนิ่งอึ้งไป มิหนำซ้ำตอนที่เลี่ยซานคังจิ่วเล่าเรื่อง ยังอดเผยความรู้สึกชื่นชมและเลื่อมใสจากในใจมิได้
“กระทั่งพอผู้เฒ่าวายุรู้เรื่องพวกนี้แล้วก็ถอนหายใจยาว บอกว่าหากพวกมันมาถึงดาวทมิฬเร็วกว่านี้ เกรงว่าดาวทมิฬในตอนนี้ พวกมันต่างหากที่เป็นเจ้านายอย่างแท้จริง” เลี่ยซานคังจิ่วกล่าวถึงตรงนี้ก็มองซูหมิงแปลกๆ แวบหนึ่ง
ซูหมิงเงียบ
ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็กระแอมไอทีหนึ่ง แล้วกล่าวกับเลี่ยซานคังจิ่ว
“จัดให้เต้าคงเข้าเมืองวารีดำ ทุกอย่างให้ดำเนินไปตามแผน”
“ขอรับ!” เลี่ยซานคังจิ่วคารวะโดยทันที แล้วยืนขึ้นเอ่ยลากไป
คล้อยหลังเลี่ยซานคังจิ่ว ภายในห้องซูหมิงเงียบสงบลง สีหน้าเขาพลันาดูมืดทะมึน มือหยิบตำราภาพขึ้นมาอ่านพลางนึกไปถึงภาพต่างๆ ตลอดสามปีที่เลี่ยซานคังจิ่วเล่าให้ฟังเกี่ยวกับกระเรียนขนร่วงและมังกรยมโลก ก่อนอดยิ้มเฝื่อนอย่างจำใจมิได้
อวี้โหรวข้างกายตามอยู่หลังซูหมิง นี่เป็นครั้งแรกที่สีหน้าเรียบเฉยเปลี่ยนไป นางปิดปากเหมือนอดหัวเราะไม่ได้ สุดท้ายนางก็ตัวสั่นและส่งเสียงหัวเราะดังกังวาน
“ท่านชาย มีคนกล่าวไว้ว่าสัตว์เลี้ยงมีนิสัยติดตามเจ้านาย แต่ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคนี้จะใช้กับท่านได้หรือไม่” อวี้โหรวหัวเราะเบาๆ มองซูหมิงแวบหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นซูหมิงมีสีหน้ายิ้มเจื่อนดูจนปัญญา
“สุนัขตัวใหญ่สีเหลืองของข้า ในความทรงจำของมันน่าจะมีร่างเงาของสตรีอยู่บ้าง จากที่ข้ารู้จักมัน ร่างเงาเหล่านั้นส่วนใหญ่เลือนราง เช่นนั้นเจ้าคิดว่าหญิงสาวที่มันเปลี่ยนร่างเป็นตอนประกาศรับบุตรเขยมีหน้าตาเป็นเช่นไร?” ซูหมิงกล่าวเสียงเรียบ
สิ้นเสียง อวี้โหรวพลันหน้าเปลี่ยนสี ดวงตางามดูดุร้ายขึ้นมา
ซูหมิงยืนขึ้น สะบัดแขนเสื้อใหญ่แล้วเดินไปยังประตูห้อง งานประมูลกำลังจะเริ่มแล้ว แผนการก็ดำเนินตามไป ก่อนหน้านั้นเขาอยากจะไปหากระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลกสักหน่อย และก็อยากไปหา….สหายเก่าคนหนึ่งที่เมืองโลกดารา
“เยี่ยวั่ง…”