Skip to content

สู่วิถีอสุรา 913

ตอนที่ 913 เหตุใดต้องไป

นัยน์ตาซูหมิงเพ่งมอง ดวงตาจากเลื่อนลอยเปลี่ยนมาเป็นประกายวาวในพริบตา สีหน้าก็มืดทะมึนลง ด้วยประสบการณ์ของเขา ตอนนี้ย่อมเข้าใจว่าเหตุใดเรือรบของตนถึงดึงดูดให้สัตว์ร้ายพวกนั้นคลุ้มคลั่งในฟ้ากระจ่างดาวแห่งนี้

เห็นได้ชัดว่านี่เกิดจากกลิ่นหอมจากตัวเขา ถึงอย่างไรกลิ่นหอมนี้…ก็มาจากน้ำหวานดอกผนึกจิต!

ซูหมิงในยามนี้ น้ำหวานดอกผนึกจิตในร่างกายละลายไปเพียงสามส่วน ยังมีอีกเจ็ดส่วนที่ร่างกายรับไม่ไหว ส่วนที่เหลือนี้จึงไม่ใช่โชควาสนาอีก แต่เป็นยาพิษถึงชีวิต

ดังนั้นแล้ว เขาจึงโคจรพลังเพื่อละลายมันไม่ได้อีก แม้จะน่าเสียดายก็ต้องปล่อยมันไป ระหว่างที่สีหน้าทะมึนทึบ นัยน์ตาสองข้างพลันฉายแววเด็ดขาด

‘ครั้งนี้เป็นความผิดของข้าเอง เดิมทีข้าคิดว่าเพียงเอาน้ำหวานดอกผนึกจิตเพียงเล็กน้อยมาจากตัวผึ้งพิษแล้วข้าขะสูบรับได้…..แต่ตอนนี้ แม้เป็นเพียงเสี้ยวเดียว ข้าก็ยังละลายมันไม่ได้’ ซูหมิงถอนหายใจ

ตอนนี้เอง กลุ่มสัตว์ร้ายคลื่นเสียงที่กำลังไล่ตามเรือรบสิบสามลำมาอย่างบ้าคลั่งร้องเสียงแหลมดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่กลุ่มหมอกเหล่านี้ลอยเข้ามา มันก็หลอมรวมเข้าด้วยกันทำให้หมอกใหญ่ขึ้น ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่าด้วย

หลังจากที่หมอกจำนวนมากรวมกัน วินาทีที่มันขยายตัวความเร็วก็เพิ่มมากขึ้นไม่น้อย ส่งเสียงเปรี้ยงปร้างราวกับฟ้าผ่า แล้วตรงไปยังเรือรบด้วยความเร็วเหนือกว่า

หมอกที่มีความเร็วแบบนี้มีสามกลุ่ม

ทุกกลุ่มมีขนาดเกือบเจ็ดพันจั้ง ระหว่างที่ลอยเข้ามา หากมองไกลๆ จะเหมือนกับเมฆดำอยู่เหนือศีรษะ เสี้ยววินาทีเดียวก็ปกคลุมเรือสิบสามลำแล้ว

“ใช้พลังทั้งหมดเปิดอภินิหารเรือรบ โจมตีหมอกตรงกลาง!” ซูหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิ เอ่ยด้วยเสียงมืดทะมึน

“สวี่ฮุ่ย หมอกทางขวา”

“เก้าผู้เฒ่ายมโลก อนุญาตให้พวกเจ้าลืมตาเล็กน้อย โจมตีหมอกทางซ้าย!”

ซูหมิงกล่าวสามประโยคนี้ไม่เร็ว ขณะเดียวกับที่กล่าวทีละประโยค เรือรบสิบสามลำพลันเปลี่ยนทิศทางพร้อมกัน ตรงหัวเรือเปล่งแสงหม่นสว่างจ้า เสียงโครมดังขึ้น ลำแสงสิบสามสายพุ่งตรงไปยังหมอกที่รวมจากกลุ่มสัตว์คลื่นเสียงตรงกลาง

จากนั้นสวี่ฮุ่ยที่ซ่อนอยู่ในมวลอากาศก็แค่นเสียงเย็นชา แม้จะมีน้ำเสียงที่ไม่พอใจกับคำสั่งซูหมิง แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาปฏิเสธ ดวงตาหงส์ขยับประกายชั่วร้าย ก่อนไปปรากฏอยู่ข้างหมอกทางขวา แล้วยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นปรากฏร่างเงาเหมือนกับนางทุกประการสิบหกคนด้านหลัง แล้วก็พุ่งฝ่าไปพร้อมกัน

ช่วงที่เสียงครึกโครมดังก้องฟ้า นอกหมอกทางซ้าย ชายชราเก้าคนลืมตาเห็นเป็นเส้นหนึ่ง เผยแสงสีขาวที่ชัดเจนยิ่งกลางฟ้ากระจ่างดาวมืดมิด พวกเขาคำรามเสียงต่ำพร้อมกันแล้วยกมือขวากดนิ้วไป

เสียงครึกโครมดังสนั่น ก่อเป็นเสียงกระจายไปรอบๆ ฉับพลันนั้นหมอกที่รวมจากสัตว์ร้ายคลื่นเสียงสามกลุ่มพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ มันม้วนตลบไปท่ามกลางเสียงระเบิด ในเวลาเดียวกัน เมื่อหมอกสามกลุ่มแตกกระจายออก ก็มีสัตว์ร้ายคลื่นเสียงเกือบหมื่นตัวเฮโลกันออกมาจากหมอกรอบๆ เสียงร้องแหลมดังกังวานรอบแปดทิศ พวกมันล้วนพุ่งตรงไปหาซูหมิงด้วยความรวดเร็ว

นัยน์ตาซูหมิงเผยประกายจิตสังหาร สายตามองสัตว์ร้ายคลื่นเสียงเหล่านั้นที่จ้องตนทั้งหมด ความโลภและคลุ้มคลั่งในแววตามากพอจะยืนยันได้ว่าการคาดเดาของเขาเมื่อครู่ถูกต้อง

สัตว์ร้ายเหล่านี้มาเพราะกลิ่นหอมน้ำหวานดอกผนึกจิตในร่างกายเขา หากสิ่งนี้ได้รับการยืนยัน เช่นนั้นซูหมิงก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว

เพราะว่าน้ำหวานดอกผนึกจิตทำให้สัตว์ร้ายคลื่นเสียงคลุ้มคลั่งได้ เช่นนั้นก็ทำให้สัตว์ตัวอื่นๆ คลุ้มคลั่งได้เช่นกัน เพียงแต่พื้นที่นี้เป็นถิ่นของกลุ่มสัตว์คลื่นเสียง ดังนั้นจึงไม่มีสัตว์อื่น ทว่าหากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป กลิ่นหอมน้ำหวานดอกผนึกจิตจะกระจายออกไปไม่หยุด และจะต้องดึงดูดสัตว์ร้ายมากกว่าเดิมเข้ามาแน่ ถึงตอนนั้นกลุ่มของเขาจะต้องตายทั้งหมด

“เดินหน้าสุดกำลัง ทุกคนฟังคำสั่ง ห้ามออกจากเรือรบ ให้เรือรบทุกรบคอยต้านสัตว์ร้ายกลุ่มนี้เอาไว้” ซูหมิงกล่าวเสียงต่ำ ดวงตาวาววับ จากการสังเกตเมื่อครู่นี้ เขามองเห็นเงื่อนงำเล็กน้อยจากสัตว์คลื่นเสียงกลุ่มนี้แล้ว

หมอกนั้นคือเครื่องป้องกันของพวกมัน เครื่องป้องกันนี้แกร่งอย่างยิ่ง สามารถต้านการโจมตีของระดับภัยพิบัติจันทรา มีเพียงทำลายหมอกเท่านั้นถึงจะโจมตีโดนสัตว์ร้ายคลื่นเสียงจริงๆ และการจะรวมหมอกขึ้นมาใหม่ยังต้องใช้เวลา

ตอนที่ไม่มีหมอกคุ้มกัน กำลังรบของสัตว์ร้ายคลื่นเสียงเหล่านี้จะเทียบเท่าระดับดินเท่านั้น เพียงแต่ว่ามีจำนวนมากเกินไป จึงยากจะสังหารให้สิ้น

ทว่าขณะเดียวกัน พลังที่แกร่งที่สุดของเรือรบสิบสามลำหรือลำแสงสิบสามสายนั้น ทุกครั้งที่ใช้งานก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน ดังนั้นแล้ว จะต้องคำนวณเวลาให้ดี

เพียงแต่ว่าสัตว์คลื่นเสียงเหล่านี้ไม่ได้เทียบเท่าระดับดินทั้งหมด ในนั้นมีบางตัวที่มีขนาดเจ็ดแปดสิบจั้ง ใช้พลังได้ถึงระดับฟ้าแล้ว

และยังมีบางตัวที่ขนาดเกินกว่าร้อยจั้ง กำลังรบพวกมันพอจะเทียบเท่าผู้ฝึกฌานเจ้าปกครองโลกตอนต้น อีกทั้งจำนวนก็ไม่ได้น้อยมาก

นี่ก็คือสัตว์ร้ายในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต หากเป็นข้างนอกคงยากจะเห็นเป็นกลุ่มแบบนี้ มิหนำซ้ำขั้นพลังยังสร้างความตื่นตกใจให้กับคน กระทั่งซูหมิงยังเห็นสัตว์คลื่นเสียงขนาดพันจั้งเหล่านั้นไกลๆ แรงกดดันจากตัวพวกมันคือเจ้าปกครองโลกตอนกลาง

สิ่งที่น่าตกใจกลัวที่สุดคือสัตว์คลื่นเสียงหมื่นจั้งบนหินผุพังที่อยู่ไกลที่สุด ดวงตามันขยับประกายสีแดง และยังมีสติปัญญา แรงกดดันจากตัวมัน…..คืออานุภาพสวรรค์ที่มีเพียงตัวประหลาดระดับภัยพิบัติตะวันเท่านั้นถึงจะมี

ขนทั้งตัวมันเป็นสีแดง ดูต่างกับสัตว์คลื่นเสียงตัวอื่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสีหน้าสุขุมของมัน ให้ความรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฌาน

รอบๆ สัตว์ตัวนี้ มีสัตว์คลื่นเสียงขนาดพันกว่าจั้งสี่ตัว สี่ตัวนี้ดูแก่หง่อมอย่างมาก ทว่ากลิ่นอายพลังจากตัวพวกมัน นั่นคือ…..จุดสูงสุดของเจ้าปกครองโลกตอนปลาย!

มีสัตว์คลื่นเสียงห้าตัวนี้ที่สร้างความตื่นตกใจแก่ผู้ฝึกฌานส่วนใหญ่ในจักรวาลนี้ จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าที่ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตถูกขนานนามว่าเป็นแดนต้องห้ามของผืนฟ้าทั้งหมด ก็มีหลักฐานของมันเองอยู่ด้วย

นี่ยังเป็นรอบนอกที่ใกล้กับทะเลดาราต้นกำเนิดจิตเท่านั้น ยังไม่เข้าสู่รอบนอกเต็มๆ เลยด้วยซ้ำ หากเข้าสู่รอบนอกแล้ว เกรงว่าสัตว์ร้ายแบบนี้คงจะมีมากกว่านี้อีก มิหนำซ้ำยังมีชนเผ่าประหลาดต่างๆ ที่ลึกลับยากจะคาดเดา

ชนเผ่าเหล่านี้อยู่ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมาไม่รู้กี่ปี อยู่คู่กับสัตว์ประหลาดเหล่านั้นมาได้ จะต้องมีที่อาศัยและจุดที่น่ากลัวอยู่อย่างแน่นอน

ตอนนี้เอง ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตทำให้ในใจซูหมิงรู้สึกถึงความลึกลับและทรงพลังอย่างแท้จริง สัตว์ร้ายคลื่นเสียงเหล่านี้ยิ่งทำให้เขาเกิดภาพจำอย่างชัดเจนต่อทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

ซูหมิงมีสีหน้าทะมึนทึบ ครั้งนี้เขาบุ่มบ่ามเอง ระหว่างที่ลอบถอนหายใจ นัยน์ตาก็ขยับประกายจิตสังหารต่อสัตว์ร้ายคลื่นเสียงที่กำลังตรงเข้ามา ทันใดนั้นเสียงคำรามแหลมและเสียงระเบิดจากอภินิหารก็ดังกึกก้องฟ้ากระจ่างดาว

เรือรบสิบสามลำ บนเรือทุกลำมีสัตว์ร้ายคลื่นเสียงอยู่พันกว่าตัว พวกมันเริ่มต่อสู้ผู้ฝึกฌานหลายร้อยคน ทุกตัวล้วนบ้าคลั่ง อยากจะสังหารผู้ฝึกฌานทุกคนโดยไม่สนสิ่งใด กระทั่งซูหมิงยังเห็นว่าพอผู้ฝึกฌานบางคนตายไปแล้ว ก็ถูกสัตว์ร้ายคลื่นเสียงกลุ่มนี้กระโจนเข้าใส่แล้วฉีกเลือดเนื้อ เหมือนอยากจะหาอะไรบางอย่างในนั้น

พอเห็นถึงตรงนี้ซูหมิงก็เข้าใจ ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกฌานรอบๆ จะต้องได้กลิ่นหอมจากน้ำหวานดอกผนึกจิตในร่างกายตนอย่างแน่นอน มันจึงไหลเข้าสู่ร่างกาย แต่กลับไม่อาจละลายได้ในทันที เลยยังเหลือเป็นเศษอยู่ แต่เพียงแค่เศษก็เป็นสาเหตุที่ทำให้สัตว์ร้ายคลื่นเสียงเหล่านี้คลุ้มคลั่งแล้ว

แต่เรือรบที่เขาอยู่มีสัตว์ร้ายคลื่นเสียงน้อยมาก เพราะเรือรบเขาถูกเรือรบอื่นๆ ปกป้องเอาไว้ภายใน หากจะเข้ามาต้องทำลายเรือรบรอบนอกก่อน

การต่อสู้บรรลุถึงจุดเดือดในพริบตา สัตว์ร้ายคลื่นเสียงตายไปจำนวนมาก แต่ว่าจำนวนมากมันก็ยังนับไม่ถ้วนอยู่ดี กระทั่งไกลออกไป มีหมอกขนาดเจ็ดพันกว่าจั้งอีกสี่กลุ่มกำลังตรงเข้ามา

และยังมีสัตว์คลื่นเสียงขนาดร้อยจั้งอีกหลายร้อยและพันจั้งอีกหลายสิบตัว กระทั่งมีตัวหนึ่งขนาดราวห้าพันกว่าจั้ง สัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่มีแรงกดดันเทียบเท่ากับเจ้าปกครองโลกตอนปลายกำลังใช้ความเร็วเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พร้อมกับร้องคำราม

“นายน้อย ตอนนี้อยู่ในช่วงอันตรายเป็นตาย ขอเชิญนายน้อยใช้พลังทั้งหมดเร่งให้เรือรบจากไปด้วย พวกเรายอมถวายชีวิตเพื่อถ่วงเวลาให้นายน้อย”

“เชิญนายน้อยไปด้วย” เสียงต่างๆ ดังแว่วมาจากเรือรบรอบๆ ไม่หยุด เหล่านั้นคือผู้ฝึกฌานกับนักรบมรณะของสำนักดาราสัจธรรม พวกเขายอมถวายชีวิตเพื่อซูหมิง กระทั่งคุณค่าที่พวกเขาอยู่ก็คือเพื่อปกป้องสายเลือดตรงสำนักดาราสัจธรรม

“นายน้อย…” ชายชราเก้าคนข้างกายซูหมิงก็ลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วมองเขา

หญิงแมวเงียบ รอการตัดสินใจของซูหมิงอยู่ข้างๆ จากความเข้าใจของนางต่อเต้าคง นางรู้ว่าอีกฝ่ายต้องเลือกจากไปแน่นอน ส่วนตน…บางทีอาจถูกพาไป แต่หากเจออันตรายที่ไม่อาจแก้ไข การสละชีพจะเป็นชะตากรรมของนาง

สวี่ฮุ่ยมองซูหมิงด้วยความเย็นชา นางแค่นเสียงหึในใจ คิดอยู่ในใจว่าอีกฝ่ายเป็นพวกเสแสร้ง จะต้องทำเป็นไม่ไปแน่ๆ ทว่าความจริงหากมันอันตรายขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย ก็คงจะพาคนจำนวนหนึ่งหนีไป

เสียงเข่นฆ่าดังกึกก้อง เสียงลากยาวบีบเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ถึงเรือรบจะเร็วมาก แต่ตอนนี้มีสัตว์คลื่นเสียงจำนวนมากกำลังเข่นฆ่ากับผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมอยู่ ทำให้ความเร็วของวิเศษชนิดนี้ช้าลงเรื่อยๆ

“เหตุใดต้องไป” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ สิ้นเสียงสวี่ฮุ่ยยิ้มเยาะทันที สีหน้าดูถูกและรังเกียจขึ้นเรื่อยๆ

“เก้าผู้เฒ่า พวกเจ้าไม่ต้องปกป้องข้า ยังไม่กระจายกันไปสู้อีกรึ! สวี่ฮุ่ย เจ้ามีเวลายิ้มเยาะ ก็คงมีเวลาช่วยไม่ให้ลูกน้องข้าบาดเจ็บคนหนึ่ง แล้วก็เจ้า เปลี่ยนเป็นร่างที่เร็วที่สุดของเจ้าเสีย มิเช่นนั้นแล้วจะมีเจ้าไว้เพื่ออะไร!” ซูหมิงกวาดสายตามอง ชายชราเก้าคนก้มหน้าลงก่อนขยับวูบไหวกระจายกันออกไป แยกกันไปอยู่บนเรือรบต่างกัน แล้วเริ่มสู้กับสัตว์ร้ายคลื่นเสียงอย่างสุดกำลัง

สวี่ฮุ่ยยังคงยิ้มเยาะ แต่กลับไม่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสงครามกับสัตว์คลื่นเสียง

ส่วนนางแมว นางก้มหน้าลงขานรับ ตอนที่เงยหน้าขึ้น หูสองข้างพลันแหลม ร่างกายไหววูบหายวับไป ด้วยความเร็วของนางไม่อยากเชื่อว่าจะเดินทางไปยังเรือรบสิบสองลำรอบนอก จุดที่ผ่าน เลือดของสัตว์คลื่นเสียงจะแตกกระจาย เสียงร้องโหยหวนดังกึกก้องไม่หยุด

ซูหมิงยืนขึ้นจากท่าสมาธิ ช่วงที่นัยน์ตาเป็นประกาย พลันปรากฏภาพสัญลักษณ์ของชื่อหั่วโหวในแขนเสื้อขวา

“ชื่อหั่วโหว พาข้าเคลื่อนย้ายไป!” ทันทีที่ซูหมิงส่งกระแสจิต ตัวเขาพลันหายวับไป ก่อนมาปรากฏอยู่ข้างหมอกสัตว์คลื่นเสียงสี่กลุ่มที่อยู่ไกลๆ

การเคลื่อนย้ายของเขาสร้างความตื่นตกใจและร้อนใจแก่ผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรม โดยเฉพาะชายชราเก้าคน พวกเขาใจสั่นสะท้าน แม้แต่สวี่ฮุ่ยยังตะลึงงัน นางไม่นึกเลยว่า เต้าคงจะไม่หนีไปจริงๆ แต่…ลงมาสู้ด้วยตัวเอง

‘ปัญญาที่ข้าก่อขึ้น ข้าไม่มีทางหนีไปโดยที่ไม่สนใจอะไรไม่ได้’ นัยน์ตาเขาเป็นประกายจิตสังหาร กลิ่นหอมน้ำหวานดอกผนึกจิตรอบตัวเขากระจายไปรอบๆ จำนวนมาก สัตว์คลื่นเสียงเหล่านั้นที่ถูกล่อมาต่างบ้าคลั่งกว่าเดิม กระทั่งมีจำนวนไม่น้อยบนเรือรบหมุนตัวกลับแล้วตรงมาหาซูหมิงพร้อมกับร้องคำราม

ซูหมิงยกมือขวาขึ้น ที่กลิ่นหอมน้ำหวานดอกผนึกจิตเข้มข้นขึ้น ก็เพราะเขาในตอนนี้กำลังโคจรพลังพร้อมกับล้มเลิกการละลายน้ำหวาน แต่ใช้วิธีที่ง่ายที่สุดนำมันไหลไปตามขั้นพลังและบีบออกนอกร่างกาย ก่อให้เกิดเป็นวิกฤตโลหิตชะล้างสวรรค์

พลังของน้ำหวานผนึกจิตคือโชควาสนา แต่ในเวลาเดียวกัน หากจุดไฟมัน ก็จะกลายเป็นความโหดร้ายในการฆ่าสังหารเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!