ตอนที่ 931 ใคร….เรียกข้า
นี่ไม่ใช่วิชาแห่งเทพหมานบริสุทธิ์แท้ แต่สร้างจากการรวมวิชามายาตะวันจันทราและดารา ทั้งยังรวมกับพลังประหลาดที่ขอเพียงเชื่อก็จะมีอยู่
พูดได้ว่านี่คืออภินิหารที่มีซูหมิงเพียงคนเดียวที่ใช้ได้ในจักรวาลและฟ้าดิน แม้วิชานี้จะเปลี่ยนจากหัตถ์แห่งเทพหมานรุ่นสอง แต่ต่อให้เป็นเทพหมานรุ่นสองก็ไม่มีทางใช้อภินิหารวิชาได้ถึงระดับนี้
นี่คือ…หัตถ์ของซูหมิง!
เขาเชื่อว่าฝ่ามือของตนสามารถฉีกแยกอากาศ เชื่อว่าฝ่ามือของตนสามารถบดขยี้ลูกธนูพันดอกเหล่านั้น และเขายังเชื่ออีกว่าฝ่ามือของตนคือปราการที่จะไม่ถูกทำลายในสนามรบแห่งนี้
ฝ่ามือนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หลังเกิดเสียงโครมครามและปะทะกับลูกธนูพันดอกแล้ว เสียงครึกโครมก็ดังสนั่นฟ้าดิน ด้านผู้ถือคันศรบนพื้น คนเล็กน้ำเต้าล้ำค่าเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขาอย่างว่องไว กลายเป็นสายรุ้งยาวเข้ามาใกล้ ผู้ถือคันศรหน้าเปลี่ยนสีพลางถอยร่นไปอย่างรีบร้อน เขาก็เห็นภาพบนฟ้าเช่นกัน หลังจากนั้นจิตใจก็สั่นสะท้าน อดเอ่ยคำหนึ่งออกมาไม่ได้!
“เปลี่ยนแปลง!”
เมื่อเอ่ยออกไป ลูกธนูพันดอกพลันเปลี่ยนแปลง และยังมีแรงจู่โจมทะลวงที่คมกริบยิ่งกว่าระเบิดออกมาจากลูกธนูพันดอก หนำซ้ำระหว่างที่เปลี่ยนแปลง พวกมันยังรวมเข้าด้วยกัน จากพันดอกกลายเป็นดอกเดียว!
พลานุภาพระเบิดออกมาอีกครั้ง มากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ทว่าซูหมิงกลับหัวเราะ
พลังที่ขอเพียงเชื่อก็จะมีอยู่เป็นของอภินิหารฝ่ามือของซูหมิง มันแปรเปลี่ยนจากหัตถ์แห่งเทพหมาน จิตของมันเผยให้เห็นโดยวิชามายาตะวันจันทราและดารา และพลังของมัน…เป็นเพียงวิชาที่ขอแค่เชื่อก็จะมีอยู่
ทว่าวิชานี้ ซูหมิงเชื่อว่าขอเพียงสำเร็จครึ่งเดียว อีกครึ่ง…ต้องทำให้คนเชื่อก่อนถึงจะสมบูรณ์ ถึงจะกลายเป็นวิชาพิเศษของเขาอย่างแท้จริง
และตอนนี้ จากคำพูดของผู้ถือคันศร เขา…เชื่อแล้ว
ดังนั้นฝ่ามือมายายักษ์ของซูหมิงจึงไม่ใช่มายาอีก แต่รวมขึ้นเป็นของจริงเข้าปะทะกับลูกธนูพันดอก
เสียงโครมครามดังสนั่นกึกก้องไปรอบๆ ท่ามกลางเสียงยังมีแรงปะทะดุจดั่งพายุม้วนตลบไปรอบๆ
ลูกธนูหนึ่งดอกที่รวมจากพันดอก…แตกหักบนฟ้า เมื่อกลับมาเป็นพันดอกอีกครั้งแล้วก็แตกหักไปทีละดอก ไม่อาจขวางฝ่ามือซูหมิงไว้ได้เลย!
ในเวลาเดียวกันผู้ถือคันศรบนพื้นไม่ทันใคร่ครวญถึงสิ่งนี้แล้ว เขาถอยร่นไปอย่างรีบร้อน แต่ไม่ว่าถอยไปอย่างไรก็ไม่อาจหลบหนึ่งคมกริชปาดคอของคนเล็กน้ำเต้าล้ำค่าได้!
น้ำเต้าล้ำค่าสังหาร สังหารน้ำเต้าล้ำค่า!
โลหิตไหลจากคอผู้ถือคันศร ร่างเขาโซเซ สองมือกดบาดแผลตรงคอเอาไว้แน่น แต่กลับกดไว้ไม่อยู่…ศีรษะเขาลอยขึ้นมาด้วยคมกริชจากน้ำเต้าล้ำค่า!
ดินทรายรวมเข้ามาจากรอบๆ อย่างรวดเร็ว เหมือนอยากจะรับศีรษะนั้นเอาไว้เพื่อต่อหัวกับร่างอีกครั้ง อีกทั้งต่อให้บาดเจ็บเช่นนี้ ผู้ถือคันศรก็ยังไม่สูญสิ้นไปจริงๆ ตรงคอว่างเปล่าของเขาตอนนี้มีดินทรายรวมขึ้นมาอย่างเร็วไว
ดูเหมือนใกล้จะฟื้นกลับมาแล้ว หนำซ้ำตัวเขายังหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งว่าใช้การหดตัวของร่างกายแลกกับการรักษาบาดแผล
“ข้าคืออสูรนักรบดินทราย ข้าคือวิญญาณแห่งดินทราย ข้าคือวิญญาณดินทรายรุ่นหลังที่สืบทอดมาแล้วสามพันหกร้อยเก้าสิบเอ็ดรุ่น ข้าจะตายที่นี่ไม่ได้!” ศีรษะที่ลอยขึ้นคำรามเสียงสะเทือนฟ้า
ทว่าเสียงคำรามกลับถูกฝ่ามือยักษ์ของซูหมิงบนฟ้ากดทับเอาไว้ ตอนนี้ฝ่ามือเขาขยายขนาดจากหลายพันจั้งเป็นหมื่นจั้งแล้ว ก่อนกดทับลงพื้นดิน กดบนศีรษะที่กำลังร้องคำรามและกดใส่ร่างผู้ถือคันศรไร้หัวอย่างรุนแรง
ในระยะหมื่นจั้ง นอกจากผู้ถือคันศรแล้ว ยังมีชาวเผ่าดินทรายเกือบหมื่นคน ร่างกายอ่อนแอของพวกเขาสั่นงันงก ต่างฝ่ายต่างหนีไปรอบๆ ด้วยความกลัว
พวกเขาหวาดกลัว เชื่อว่าฝ่ามือที่เหมือนสามารถแทนที่ฟ้าข้างนี้บดขยี้ร่างพวกเขาได้ตรงๆ พอพวกเขาเชื่อ ฝ่ามือก็สมจริงขึ้นและยังแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
“อย่าหนี นี่เป็นของปลอม พวกเจ้าอย่าหนี ยิ่งพวกเจ้าเชื่อมากเท่าไร มันจะยิ่งแกร่งมากเท่านั้น!” ศีรษะผู้ถือคันศรตกลงบนพื้น เขาตะโกนเสียงดัง หากตอนนี้เขายังไม่เข้าใจวิชาของซูหมิงอีก เช่นนั้นเขาคงไม่คู่ควรจะมีพลังระดับภัยพิบัติจันทรา!
ไกลออกไปอีก ทางด้านชายชราร่างมายา ตอนนี้วิชาเขามาถึงเวลาสำคัญแล้ว เขาคิดจะเตือนคนอื่น แต่ก็รู้ว่าด้วยความอ่อนแอและความกลัวของชาวเผ่า ภายใต้อันตรายแบบนี้เตือนไปก็ไม่มีประโยชน์ นัยน์ตาเขาจึงฉายแววเย็นชา เสียงบริกรรมคาถาเบาดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ก่อนยกสองมือขึ้นแล้วตะโกนไปบนฟ้า
เสียงครึกโครมจากบนฟ้าดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“สีของดินทรายอ่อนลงเล็กน้อย” ซูหมิงเอ่ยเบาๆ อยู่กลางอากาศ
โครม!
เสียงโครมครามดังกึกก้อง แผ่นดินสั่นสะเทือน หลังจากฝ่ามือซูหมิงหายไปแล้ว บนแผ่นดินก็ปรากฏรอยฝ่ามือยักษ์ข้างหนึ่ง โซ่ดินทรายรอบตัวสวี่ฮุ่ยในรอยฝ่ามือนั้นหายไปแล้ว นางนอนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ทว่ารอบตัวนาง….
ชาวเผ่าดินทรายเกือบหมื่นล้วนกลายเป็นเลือดเนื้อเละเทะ กระดูกทั้งหมดแตกหัก กลิ่นคาวเลือดกระจายออก โลหิตพวกเขาหลอมรวมเข้าสู่ดินทราย ทำให้สีของดินทรายสดขึ้นไม่น้อย
ตรงกลาง ร่างผู้ถือคันศรแหลกละเอียด ศีรษะก็เช่นกัน ดวงจิตสูญสลายไป
มีเพียงคันศรยักษ์ข้างๆ ที่มุดเข้าไปอยู่กลางดินทราย โผล่ขึ้นมาเพียงปลายแหลม และกำลังสั่นไหวพลางส่งเสียงร้องเศร้าโศก
ซูหมิงมองนิ้วชี้มือขวาตัวเอง กลิ่นหอมของน้ำหวานดอกผนึกจิตจางๆ กำลังโชยมา นี่เกิดจากการที่เขาปลดพลังจนทำให้คุมผนึกไม่อยู่
ดีที่กลิ่นหอมเพียงอบอวลอยู่รอบๆ ยังไม่ได้กระจายออกไป
ซูหมิงขยับวูบไหวมาอยู่บนพื้นดิน เดินผ่านซากเลือดเนื้อ ตอนที่เดินมาถึงคันศรที่ฝังอยู่ เขาเตะเท้าขวาบนพื้นทีหนึ่ง คันศรพลันดีดขึ้นมาจากพื้นก่อนจะคว้าเอาไว้
พริบตาที่เขาจับคันศร มันหดเล็กลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นขนาดที่เขาใช้ได้ จากนั้นก็สั่นไหวพลางส่งเสียงร้องเศร้าโศก สื่อความหมายว่ายอมสวามิภักดิ์
ซูหมิงเก็บคันศรนี้แล้วเดินไปหาสวี่ฮุ่ย เขาอุ้มนางขึ้นมาจากบนพื้นอย่างเบามือ ใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวเอาไว้ นำศีรษะนางมาชิดกับหน้าอก กลิ่นหอมเย็นจากตัวนางโชยเข้าจมูก ต่อมาเขาก็ส่งพลังชีวิตเข้าไปในร่างนาง ทำให้บาดแผลสมานกันอย่างรวดเร็ว
“เต้าคง…” สวี่ฮุ่ยพยายามลืมตาขึ้นมองซูหมิง น้ำเสียงอ่อนแรงมาก
“พักผ่อนเถอะ มีข้าอยู่” ซูหมิงกล่าวเสียงเบาพลางเงยหน้าขึ้นมองชายชราร่างมายากลางชาวเผ่าดินทรายที่กระจัดกระจายกันหลายหมื่นคน เขากางแขนสองข้างและกำลังตะโกนขึ้นฟ้า
“ฮงลาเสิน ซุ่ยอวิ๋นเจิ้นฉางหลิน!” ชายชราผมปลิวไสว ร่างกายขยับแสงวิบวับ ตะโกนเสียงดังขึ้นฟ้า
เมื่อเขาตะโกน ท้องฟ้าก็ส่งเสียงคำรามลงมาเช่นกัน เสียงคำรามแผ่คลุมทั้งทะเลทราย ตอนนี้เองดินทรายทุกเม็ดกลางทะเลทรายที่เหมือนไร้พรมแดนล้วนสั่นไหว
ไกลออกไปตรงจุดที่ใกล้จะสุดปลายทะเลทราย ตี้จิ่วโม่ซากำลังห้อเหยียดไปข้างหน้า เขาเห็นสุดปลายแล้ว เห็นฟ้ากระจ่างดาวเงียบสงบนอกทะเลทราย ทว่าตอนนี้เองเขากลับหน้าเปลี่ยนสี ก้มหน้าลงมองดินทะเลทรายด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนหันกลับไปมองทอดไกลข้างหลัง แล้วกัดฟันเร่งความเร็วขึ้นอีก
เขารู้สึกถึงความบ้าคลั่งและดุร้ายจากดินทราย กระทั่งตอนที่กำลังเดินหน้าอยู่นี้ ดินทรายใต้เท้ายังไหลย้อนกลับไปอย่างเร็วรี่ราวกับน้ำหลาก
ตอนนี้เขากัดปลายลิ้นพ่นโลหิตหนึ่งคำแล้วกลายเป็นร่างเงาโลหิตลอยไกลออกไป เขารู้สึกว่าสิ่งที่ขยับไม่ใช่เพียงดินทรายบริเวณนี้ แต่ดินทรายทั้งทะเลทรายล้วนขยับไหว ระหว่างที่พวกมันม้วนตลบพร้อมกันก็ก่อขึ้นเป็นพายุลูกใหญ่ เสียงดังสนั่นมาพร้อมกับเสียงครืนๆ ดังก้องอยู่กลางทะเลทราย
ครู่ต่อมา ในที่สุดเขาก็ออกจากทะเลทรายแห่งนี้ พอมาอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวอันเงียบสงบนอกทะเลทรายแล้ว เขาเลยหันกลับไปมองทะเลทราย…และได้เห็นภาพหนึ่งที่ทำให้จิตใจไม่อาจสงบลงและยากจะลืมเลือนไปชั่วชีวิต
เขาเห็นว่าบนฟ้าทะเลทราย….ปรากฏใบหน้ายักษ์หนึ่ง!
ใบหน้าเหมือนกับนอนกลับหัวบนฟ้า ตอนนี้ร่างกายมันกำลังลดระดับลงมา ไม่เพียงเผยใบหน้า แต่ยังเผยร่างกาย ร่างกายนี้…..มีขนาดเท่าทั้งทะเลทราย!
กลางทะเลทราย ตรงจุดที่อยู่ของเทวรูปหมื่นจั้ง เทวรูปสั่นไหว ยามที่มีสัญญาณแห่งการตื่นขึ้นแผ่มาจากตัวมัน ชายชราบนหัวรูปปั้นยังคงนั่งขัดสมาธิแน่นิ่ง แต่ว่ากระดูกสีดำที่ถืออยู่ในอ้อมอกเขากลับเปล่งแสงสีดำ มากพอจะสร้างความหวาดผวากับคนได้
“เป็นใคร…..ที่เรียกข้ามา….” เสียงที่มากพอจะดังก้องทั้งทะเลทรายแว่วมาจากบนฟ้า
ซูหมิงพลันเงยหนาขึ้นและหรี่ตาลง เขาเห็นร่างกายใหญ่ยักษ์บนฟ้า เห็นใบหน้ากว้างใหญ่ไม่มีสิ้นสุด ใบหน้าเป็นของบุรุษ ดวงตาสองข้างปิดอยู่ รอยแผลเป็นยาวมากเส้นหนึ่งลากจากระหว่างคิ้วเชื่อมถึงคอ ภายในมีรอยแผลโผล่ขึ้นมา ดูน่าสยดสยอง
แรงกดดันที่ซูหมิงไม่เคยสัมผัสมาก่อนแผ่มาจากร่างกายนั้น ในความรู้สึกเขา แรงกดดันนี้….กระทั่งเหนือกว่าระดับกุมชะตาเกิดดับ!
แม้ยังเทียบไม่ได้กับสมัยที่เอ้อชางเฟื่องฟูสุดขีด แต่ก็ใกล้เคียง! แรงกดดันนี้อ่อนกว่าซุ่ยเฉินจื่อเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าความรู้สึกที่มอบให้ซูหมิงน่าจะเป็น…..ผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกับซุ่ยเฉินจื่อ!
เส้นผมของใบหน้าที่กำลังลดระดับลงมาจากบนฟ้าพลิ้วไสว มองไปเหมือนกับมังกรจำนวนมากกำลังกวัดแกว่งดาวหมีใหญ่ผิวหนังขาวผ่องมากเหมือนมนุษย์หิมะ มองแวบเดียวก็จะไม่มีวันลืม
ตรงระหว่างคิ้วที่เป็นรอยแตกมีสัญลักษณ์แตกร้าวอยู่ สัญลักษณ์นั้น…มีรูปทรงทะเลทราย อีกทั้งสัญลักษณ์ยังแผ่พลังต้นกำเนิดจิตที่สร้างความตกใจกับซูหมิง!
‘เทพบรรพชน? บรรพชนวิญญาณ?’ ซูหมิงหรี่ตาลง
“ข้าเอง หลงตี๋ ชาวเผ่าดินทรายที่อยู่ใต้การคุ้มครองของท่าน ต้องขอรบกวนการหลับใหลของท่าน ทุกอย่างเพียงเพราะชาวเผ่าดินทรายเผชิญหน้ากับอันตรายถูกทำลายล้างเผ่า…คนผู้นี้สังหารชาวเผ่าไปมากกว่าหมื่นคน สังหารวิญญาณที่ท่านมอบให้เผ่าเรา!” ชายชราร่างมายาเอ่ยเสียงเล็ก ตัวเขามาคุกเข่าอยู่บนพื้นนานแล้วในช่วงที่ร่างกายของเทพปรากฏ
ชาวเผ่าดินทรายทั้งหมดรอบตัวเขาตอนนี้คุกเข่ากราบไหว้บนพื้น ความเร่าร้อนทางสีหน้าคล้ายจะเผาไหม้วิญญาณพวกเขาได้