Skip to content

สู่วิถีอสุรา 932

ตอนที่ 932 ซุ่ยอวิ้นเจิ้นฉางหลิน

ซูหมิงมีสีหน้าเย็นชา กอดสวี่ฮุ่ยไว้พลางเงยหน้ามองร่างใหญ่ยักษ์บนฟ้ารวมถึงใบหน้าขาวซีดนั้น

เสียงถอนหายใจแว่วมาจากบนฟ้า คนยักษ์บนฟ้ายังคงไม่ลืมตา ถอนหายใจพลางเอ่ยเสียงดังก้อง

“นี่คือเผ่าเครือญาติของข้า…พวกมันคือคนของข้า…เจ้า….ควรจะตายไปพร้อมกับความว่างเปล่า…”

คำพูดดังติดต่อกันกังวานไปโดยรอบ มาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาล เหมือนมีกฎเกณฑ์อยู่ในคำพูดนั้นเช่นกัน ระหว่างที่เสียงดังกึกก้อง ดินทรายรอบตัวซูหมิงพลันหมุนวน ร่างใหญ่ยักษ์บนฟ้าอ้าปากเล็กน้อย

แรงฉุดดึงที่ไม่อาจบรรยายพลันแผ่มาจากปากเขา ทะเลทรายบนพื้นปลิวว่อน ดินทรายนับไม่ถ้วนตรงเข้าไปในปากคนยักษ์ น้ำวนดินทรายรอบตัวซูหมิงกลายเป็นพายุหมุน ม้วนร่างเขาเหมือนอยากจะกินเข้าไป

“เป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ อย่าหวังว่าจะได้ลงโทษสังหารแซ่ซู!” ซูหมิงยิ้มเยาะ สวี่ฮุ่ยหมดสติไปแล้ว ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นตรงนี้ นางล้มในอ้อมอกเขาและแน่นิ่งไป

มือซ้ายซูหมิงโอบสวี่ฮุ่ยอยู่ ส่วนมือขวายกขึ้นกดลงพื้นดิน แผ่นดินพลันสั่นสะเทือน น้ำวนรอบๆ หยุดชะงักครู่หนึ่ง ขณะเดียวกัน เขาไม่ต้องใช้แรงฉุดดึงนั้นขับเคลื่อนก็กระโดดลอยขึ้นเอง และพุ่งตรงไปยังปากคนยักษ์บนฟ้า

ตอนอยู่กลางอากาศ เขาทำสัญลักษณ์มือขวาชี้ไปข้างหน้า ตรงหน้าปรากฏภูเขาลูกหนึ่งขึ้น!

ภูเขานั้นมากกว่าครึ่งเป็นสีขาว มองดูคล้ายกับเมฆ มีเพียงตรงขอบด้านบนที่มี สีดำ สีดำส่วนหนึ่งกลายเป็นรูปลักษณ์ภูตผี ครึ่งตัวภูตผีนอนหมอบอยู่บนหินภูเขา ส่วนมือขวารองค้างคาวสีดำตัวหนึ่งไว้

นี่คือ…ภูเขาวิถีเต๋าที่ได้มาจากตระกูลอวี้!

สมบัติชิ้นนี้ไม่ต้องใช้ต้นกำเนิดจิตก็ขับเคลื่อนได้ อีกทั้งมีพลานุภาพไม่ธรรมดา ยามนี้เมื่อซูหมิงเอาออกมาและชี้นิ้วไปแล้ว ภูเขาวิถีเต๋าก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ก่อนจะพุ่งไปยังคนยักษ์บนฟ้า

คนยักษ์บนฟ้ายังคงหลับตา ทว่าการหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อยอย่างชัดเจน ทั้งที่เร็วเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่พลังที่อยู่ข้างนอกกลับระเบิดออกมามากกว่าหนึ่งเท่า

สายลมจากการสูบเหมือนกลายเป็นมีดคมจำนวนมากในพริบตา มันระเบิดบนภูเขาวิถีเต๋าที่กำลังพุ่งไปหาคนยักษ์ ระหว่างที่ภูเขาสั่นไหว ซูหมิงก็ทำสัญลักษณ์มือขวาชี้ไปอีกครั้ง

พลันมีเสียงคำรามแว่วมาจากภูเขาวิถีเต๋า ผีร้ายบนภูเขาประหนึ่งคืนชีพ มันแยกตัวออกจากภูเขา ระหว่างที่ร้องคำราม ค้างคาวบนมือขวาก็ยังร้องเสียงแหลมแล้วพุ่งออกไปทันที กลายเป็นสายรุ้งยาวเส้นหนึ่งทะยานขึ้นฟ้าไป

ตอนนี้เอง คนร่างใหญ่ยักษ์บนฟ้าย่อมมีการหายใจเข้าและออกเหมือนกับคนปกติ เมื่อเขาสูดลมหายใจเสร็จก็พ่นออกมาจากปากโดยพลัน

พายุคลั่งส่งเสียงครึกโครม ภูเขาวิถีเต๋าพลันเกิดรอยร้าวขึ้นจำนวนมากแล้วม้วนถอยไปดุจว่าว แม้แต่ผีร้ายยังร้องคำราม รวมตัวเป็นรูปร่างไว้ไม่อยู่ ร่างมันถูกลมพัดไป และยังมีค้างคาวที่เข้าใกล้ไม่ได้เลย

ซูหมิงรู้สึกว่าพายุคลั่งถาโถมเข้ามาประหนึ่งจะพัดร่างเขาให้แหลกสลายแล้วหายไปกับอากาศ จังหวะที่เขากระเด็นถอยไปนี้ ความเจ็บปวดรุนแรงพลันแล่นเข้ามา กระทั่งสวี่ฮุ่ยในอ้อมอกยังมีทีท่าว่าเนื้อและกระดูกจะหลุดออกจากร่าง

ซูหมิงพลันหมุนตัว ใช้แผ่นหลังเป็นปราการต้านพายุคลั่งเอาไว้ พร้อมกันนั้นเขาก็เห็นชายชราร่างมายาบนพื้นกำลังเย้ยเยาะและลำพองใจ เห็นชาวเผ่าดินทรายโดยรอบต่างกระหายเลือดและตื่นเต้น

นัยน์ตาซูหมิงฉายประกายเย็นชา เขาทำสัญลักษณ์มือขวาพร้อมทั้งกัดปลายลิ้นพ่นโลหิต หลังจากโลหิตหลอมรวมกับมือขวาแล้วก็ระเบิดเป็นหมอกโลหิตส่งเสียงกระหึ่ม ภายในหมอกโลหิตมีหินภูเขาสีขาวก้อนหนึ่งพุ่งออกมากลายเป็นช้างมงคล หินภูเขาขนาดเท่าฝ่ามือขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว แวบเดียวก็กลายเป็นช้างยักษ์เหยียบฟ้า

ในเวลาเดียวกัน ตาชั่งยักษ์ก็โผล่ตามขึ้นมา ทั้งยังมีเสียงคำรามแหลมดังก้อง นั่นคือภูตผีร้ายก่อนหน้านี้ พอเห็นตาชั่งแล้วมันก็คว้าเอาไว้

เส้นผมยาวของซูหมิงโบกสะบัด อาภรณ์ปลิวไสวขึ้น อักขระต้นกำเนิดจิตในดวงตาเปล่งแสงวูบวาบอย่างว่องไว ทุกครั้งที่ขยับแสงจะทำให้ความน่าเกรงขามของช้างมงคลเพิ่มมากขึ้น!

“ภูตผีร้าย!” ซูหมิงตะโกนเสียงต่ำ

ฉับพลันนั้นผีร้ายที่ถือตาชั่งหมุนตัวกลับ ร่างเงามันขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ตาชั่งในมือก็ขยายใหญ่ขึ้นตามมา ความเล็กใหญ่และแข็งแกร่งอ่อนแอของมันจะขึ้นอยู่กับว่าซูหมิงมีพลังต้นกำเนิดจิตเท่าไร หากมีพลังต้นกำเนิดจิตเพียงพอ มันก็จะไร้ขีดจำกัดได้!

“ชั่งช้าง!” ซูหมิงทำสัญลักษณ์มือแล้วเอ่ยเสียงเย็นชาอีกครั้ง

ผีร้ายตัวนั้นร้องคำราม เมื่อร่างมันใหญ่ขึ้นแล้วจึงยกลูกตุ้มตาชั่งขึ้นเหวี่ยงลงไป ทันใดนั้นช้างมงคลก็ไปตกอยู่บนฐานตาชั่ง ส่วนภูเขาวิถีเต๋าข้างๆ กลายเป็นลูกตุ้มตาชั่ง

“ช้างตัวนี้…หนักเจ็ดเหลี่ยงแปดเฉียน!”

พอใช้ผีร้ายชั่งช้างหลายครั้ง ซูหมิงก็เริ่มเข้าใจกฎเกณฑ์เล็กน้อยแล้ว ตอนชั่งช้างยิ่งหนักเท่าไรยิ่งดี สิ่งนั้นบ่งบอกด้วยว่ารวมพลังต้นกำเนิดจิตได้เท่าไร

ทว่าตอนชั่งศัตรู ยิ่งเบาเท่าไรยิ่งดี เพราะนั่นหมายถึงว่าจะตัดกำลังรบของอีกฝ่ายได้มากเท่าไร!

ตอนนี้พอชั่งช้างเสร็จและผีร้ายเอ่ยขึ้นแล้ว ช้างยักษ์บนฐานตาชั่งก็เงยหน้าคำราม มันกระโดดลอยขึ้น แล้วใช้ความเร็วที่ยากจะบรรยายพุ่งไปหาคนยักษ์บนฟ้า

มันพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วรี่ ระหว่างนั้นก็รับสายลมที่ถาโถมเข้ามา ก่อนจะชนเข้ากับร่างกายยักษ์บนฟ้าเสียงดังโครม

เสียงระเบิดสะเทือนฟ้า ดังสนั่นกึกก้องรอบๆ ระลอกคลื่นมหึมาม้วนตลบไปรอบทิศอยู่ด้านบน ซูหมิงกระอักเลือด ตัวเขาทะยานถอยหลัง นัยน์ตาเผยประกายวาววับ

“ต้นกำเนิดจิต…” เสียงอื้ออึงดังเบาๆ มาจากปากคนยักษ์บนฟ้า

“เจ้าคือชนรุ่นหลังวิญญาณ…ทว่าก็ควรจะสูญหายไปกับอากาศ” ตอนที่คนยักษ์กล่าวขึ้น เขายังคงหลับตาอยู่ แต่กลับยกมือขวาอย่างเนิบช้า จากนั้นพุ่งทะลวงอากาศตรงไปหาซูหมิง ด้วยความใหญ่ของนิ้วมือ ทำให้ซูหมิงรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับผู้กุมชะตาเกิดดับ!

‘เอ้อชาง!’ เมื่อช่วงเวลาเป็นตายมาถึง ตรงส่วนลึกในใจเขาเรียกร่างแยกเอ้อชางอย่างไม่ลังเล หลังจากเขาสะบัดมือขวาไปข้างนอกแล้วก็ยกมือขึ้น เมื่อกล่าวในใจออกไป ฟ้าดินพลันเกิดเสียงดังสนั่น ก่อนปรากฏร่างมายาใหญ่ยักษ์ขึ้นข้างหลัง

สิ่งนั้นคือต้นไม้ต้นหนึ่ง นั่นคือภาพเงาสะท้อนของร่างแยกเอ้อชาง!

เมื่อต้นไม้โผล่มา ขั้นพลังซูหมิงก็ทะยานขึ้นตามไปด้วย ในเวลาเดียวกัน มือคนยักษ์บนฟ้าพลันหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ

“เอ้อชาง!” คนยักษ์พลันลืมตาข้างหนึ่ง!

ดวงตานั้นเป็นสีเหลือง ลูกตาตั้งขึ้น ตรงขอบรอบๆ มีเปลวเพลิงลุกไหม้ จ้องร่างเอ้อชางมายาที่อยู่ข้างหลังซูหมิงตาเขม็ง!

ซูหมิงไม่กล่าวสิ่งใด หากเขาจะเรียกร่างแยกเอ้อชางมา จำต้องรวมภาพเงาของร่างแยกออกมาก่อน เมื่อภาพเงามาแล้วถึงจะใช้วิญญาณเป็นตัวเหนี่ยวนำเพื่อเปิดเส้นทางมิติ จากนั้นร่างแยกเอ้อชางถึงจะข้ามผ่านมาได้

ตอนนี้ภาพเงาสะท้อนกำลังรวมกันอย่างรวดเร็ว และยังต้องใช้เวลาอีกสิบกว่าลมหายใจถึงจะเปิดเส้นทางมิติได้

“ในเพลงกลอนโบราณ เทพบรรพชนต้นไม้เอ้อโชคดีได้รับพลังชีวิตนิรันดร…เจ้า…ไม่อยากเชื่อว่าจะอ่อนแอลงถึงเพียงนี้…ตำนานเป็นจริง…หรือว่าตำนานจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ…” คนยักษ์บนฟ้าใช้ดวงตาซ้ายมองภาพเงาเอ้อชางของซูหมิงพลางกล่าวพึมพำ

“หลังจากภัยพิบัติบันทึกทุกครั้ง พลังแห่งการทำลายล้างชีวิตและเปิดวัฏจักรใหม่จะสร้างเพลงกลอนของทุกสิ่งมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง…ในเพลงกลอนนั้นจะเผยอันดับรายชื่อผู้ที่ได้รับชีวิตนิรันดร์อีกครั้ง…วิญญาณของทุกสิ่งมีชีวิตล้วนมีโอกาสได้เขียนนามอยู่ในเพลงกลอนนั้น…ได้รับมอบเรือสวรรค์ล่องไปยังฟ้ากว้างใหญ่ มีชีวิตนิจนิรันดร์…อยู่ในภัยพิบัติบันทึกนี้

อ่อนแอเช่นเจ้า อยู่มาเนิ่นนานกว่าข้าอย่างเจ้า…ตอนนี้….มาถึงปลายทางแล้ว” ร่างยักษ์ใหญ่บนฟ้าพลันหัวเราะ เสียงหัวเราะราวกับเสียงฟ้าผ่า มือขวาที่หยุดอยู่กลางอากาศพลันเร่งความเร็วพุ่งไปหาซูหมิง

ซูหมิงหรี่ตาลง ยกมือขวาขึ้นพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างแยกเอ้อชางยังต้องใช้เวลาอีกหลายลมหายใจกว่าจะมาถึง ทว่าตอนนี้ในด้านเวลา แขนของคนบนฟ้าย่อมมาถึงก่อนอย่างแน่นอน

ซูหมิงเตรียมพร้อมเข้าไปในมิติเศษหินแล้ว เมื่อหลอมรวมกับมิติเศษหิน ร่างแยกเอ้อชางของเขาก็จะมาเยือนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ภายในจิตวิญญาณเขา กลิ่นอายพลังของเศษหินสีดำกระจายออก นอกร่างกายมีระลอกคลื่นสีดำบางๆ แผ่ขยาย ชั่วขณะที่เขาจะเข้าไปในมิติเศษหินพลันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น!

คนยักษ์ข้างบนฟ้า ตอนที่มือขวาเขาห่างจากซูหมิงอีกพันจั้งกลับหยุดชะงักลงอีกครั้ง กระทั่งแขนยังสั่นไหว เขาพลันลืมตาขวา เผยลูกตาสีแดงฉาน ภายนอกยังเกิดพายุคลั่งหมุนวน

เขาลืมตาสองข้างเป็นครั้งแรก!

เวลานี้ลูกตาและดวงตาสีต่างกันทั้งสองข้างฉายแววเหลือเชื่อ ไม่ใช่แค่มือขวาที่สั่นไหว แต่เป็นทั่วร่าง พอเขาตัวสั่น ทั้งฟ้าก็เหมือนจะสั่นสะเทือนตาม ขณะที่เกิดระลอกคลื่นกระจายออกเป็นวงกว้าง คนยักษ์บนฟ้ามีสีหน้าตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ในตัวเจ้า…”

“ข้ารู้สึกถึง…”

“นี่ไม่ใช่เพียงพลังของเอ้อชาง…”

“นี่มัน…นี่มัน…กลิ่นอายพลังของเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต!”

“ไม่ผิดแน่ ข้าเคยไปหาผู้เฒ่าเมี่ยเซิง (ทำลายล้างชีวิต) อยู่สามหมื่นกว่าครั้ง เซ่นไหว้ให้ไปไม่รู้เท่าไร…ทว่าสุดท้ายก็ยังไม่ติดอันดับรายชื่อ…”

“เจ้าไม่ใช่เอ้อชาง…เจ้าคือบรรพชนแห่งการทำลายล้างชีวิตใหม่!” คนยักษ์บนฟ้าตัวสั่นเทา นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้นจนไม่อาจปกปิด เขาดึงมือขวากลับมาอย่างรวดเร็ว ร่างกายบนฟ้ายังพลิกกลับ ไม่นอนอีก แต่ยืนขึ้น!

เมื่อเขายืนขึ้นฟ้าดินก็เกิดเสียงดังครึกโครม ยามยืนอยู่ใต้เท้าจะมองไม่เห็นเลยว่าเขาสูงเท่าไร ดูกว้างไกลไร้พรมแดน…ทว่าเขาไม่ได้ยืนขึ้นจนสุด แต่ค่อยๆ โค้งตัวและ…คุกเข่าลงตรงหน้าซูหมิง!

“โปรดให้อภัยที่ข้าล่วงเกินด้วย ขอท่านมอบคุณสมบัติชีวิตนิรันดร์ให้กับข้าอีกครั้ง ได้โปรด…เขียนนามของข้าลงในเพลงกลอนที่ท่านสร้างขึ้นใหม่…บรรพชนวิญญาณซาถู่ ซุ่ยอวิ้นเจิ้นฉางหลิน”

ซูหมิงตะลึงงัน เขาพลันนึกไปถึงอีกนามหนึ่งของเศษหินสีดำ

มันมีชื่อว่าเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต และยังนึกไปถึงเรือผุพังโบราณกลางฟ้ากระจ่างดาวลำนั้น รวมทั้งชายชราบนเรือและทุกอย่างที่เขาเห็นก่อนหน้านี้

“เพลงกลอนโบราณ…” ข้างหูเขาเหมือนดังก้องไปด้วยเสียงที่เคยได้ยิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!