ตอนที่ 936 ตกอยู่ในห้วงบุปผาแห่งเงามืด
ตอนที่เตาหลอมลำดับห้าปรากฏขึ้น เปลวเพลิงจะปกคลุมทั้งทะเลดาราต้นกำเนิดจิต เปลวเพลิงไร้พรมแดนนั้นจะแผดเผาสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ไม่เคารพมัน
ผู้ควบม้าทะยานอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่เป็นอมตะ และมีเพียงพวกเขาที่สามารถเหยียบบนทะเลเพลิงเข้าไปยังเตาหลอมลำดับห้า ไปตามหาความตาย ตามหาโชควาสนา ตามหา…เศษเสี้ยวโลกแท้จริงที่ห้าในเปลวเพลิงสงครามก่อนหน้าที่จะหายไปตามตำนาน
หากเข้าสู่โลกแท้จริงที่ห้า เช่นนั้นก็จะได้ครอบครองทรัพยากรและพลังแห่งโลกของทั้งโลกแท้จริง จนกระทั่งหมื่นโลกกลายเป็นภัยพิบัติ หนึ่งก้าว…สู่ขั้นกุมชะตาเกิดดับ
ตำนานนี้พูดถึงโลกแท้จริงที่ห้า ตำนานนี้ยกย่องเตาหลอมลำดับห้า
ทว่าตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ทุกครั้งที่เตาหลอมลำดับห้าปรากฏ คนที่เดินผ่านทะเลเพลิงได้มีไม่มาก จะต้องใช้ความเข้าใจในต้นกำเนิดเปลวเพลิงอย่างลึกซึ้ง ต้องเปลี่ยนร่างกายเป็นเพลิง อย่างน้อยที่สุด…ต้องมีสัตว์ที่อยู่ร่วมกับเพลิงได้ไปด้วย แบบนี้…ถึงจะเดินทางบนทะเลเพลิงได้
ความเข้าใจของซูหมิงต่อเพลิงยังไม่ลึกซึ้งถึงระดับต้นกำเนิด ยังไม่ลึกซึ้งถึงโครงสร้างทุกอย่างของต้นกำเนิดเพลิง ยังไม่ลึกซึ้งถึงขนาดหายใจก็มีเปลวเพลิงออกมา
เขาเพียงเข้าใจเพลิงมากกว่าคนปกติเล็กน้อย ถึงอย่างไร…เขาก็สืบทอดหมานเพลิงมา ทว่าระดับของหมานเพลิงอ่อนไปเล็กน้อยแล้วสำหรับเขาตอนนี้ ความเข้าใจต่อเพลิงในระดับนี้ไม่มากพอจะให้เขาเดินทางผ่านทะเลเพลิงยามที่เตาหลอมลำดับห้าเปิด
ดังนั้นเขาต้องการสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่สามารถอาบเปลวเพลิงได้!
สัตว์ร้ายแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะพบเห็นได้ง่ายๆ วิญญาณร้ายทุกตนในความทรงจำเขาไม่มีตัวใดตรงตามความต้องการนี้เลย ทว่า…ม้าสีดำที่เขาเจอในโลกน้ำวน บุคลิกองอาจห้าวหาญยามวิ่งบนเปลวเพลิง ทำให้เขาเห็นมันในแวบแรกก็เกิดลางสังหรณ์เด่นชัด
เขามีลางสังหรณ์ว่านี่คือ…วิญญาณร้ายที่สามารถพาเขาข้ามทะเลเพลิงไป นี่คือสัตว์ร้ายที่ทำให้เขาโอหังกลางทะเลเพลิงได้!
ดังนั้นเขาจึงต้องการมัน ก่อนหน้าที่เตาหลอมลำดับห้าจะเปิดในครั้งถัดไป เขาต้องเอามันมาเป็นสัตว์เลี้ยงให้ได้!
เรื่องนี้ยากมาก…
แต่เขาตัดสินใจแล้ว หากเพียงแค่เลี่ยซานซิวหายตัวไปคนเดียวแล้วเขามาหาเบาะแส ต่อให้คาดเดาไว้ว่ามีโอกาสสูงมากที่อีกฝ่ายจะเข้าไปในโลกแท้จริงที่ห้า แต่ซูหมิงก็ยังลังเลใจอยู่ดี สุดท้ายก็มีโอกาสสูงที่เขาจะล้มเลิกและกลับโลกแท้จริงดาราสัจธรรม
ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่ได้เตรียมตัวมาให้ดี
ทว่าเรื่องนี้มีเทียนเสียจื่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีน้ำหนักในใจเขาอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำในใจยังมีความคิดที่อยากจะกลับไปเห็นโลกแท้จริงที่ห้าหรือบ้านเกิด เผ่ายมโลกของตนสักครั้งด้วย
ทุกอย่างเหล่านี้ทำให้เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด!
เขาต้องรออยู่ที่ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตจนกว่าเตาหลอมลำดับห้าจะเปิดออก ต้องไปเอาหินลำดับห้าในเตาหลอมลำดับห้ามา ต้องนำหินนี้ไปยังทะเลลำดับห้าตรงใจกลางทะเลดาราต้นกำเนิดจิต จากนั้น…จึงเข้าสู่โลกแท้จริงที่ห้าตรงนั้น
‘นี่คือเส้นทางของข้า…เป็นเส้นทางที่กำหนดไว้แล้วตั้งแต่มาถึงดาวแดงเพลิง ณ แดนรกร้างต้นกำเนิดจิต…ข้าลองดิ้นรนแล้ว ทว่าวงโคจรสุดท้ายก็ยังชี้ไปยัง…โลกแท้จริงที่ห้า’ ซูหมิงเดินอยู่ข้างตี้จิ่วโม่ซา สายตามองฟ้ากระจ่างดาวไกลออกไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
‘เหตุที่ข้าดิ้นไม่หลุด ไม่ใช่เพราะเส้นทางนี้ถูกเลือกไว้ให้ข้าตามเจตนาใดๆ แต่เป็นเพราะในจิตใต้สำนึกข้าตัดสินใจเส้นทางนี้เอาไว้แล้ว’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววผ่านโลกมาโชกโชน เมื่ออายุเขามากขึ้นและประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ…เขาก็เคยชินกับการตรึกตรอง ชินกับความโดดเดี่ยว ชินกับความเงียบเหงา
โลกของหนึ่งคนบางทีอาจไม่ได้มีสีสันมากมาย แต่ชีวิตของหนึ่งคนในโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กกลับหาความสงบได้ไม่มาก
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนคนหนึ่ง
หากไม่มีกระเรียนขนร่วงอยู่ด้วย เขาก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นิสัยตนจะเป็นอย่างไร อาจจะมุทะลุ อาจจะดื้อรั้น หรืออาจจะเป็นดาบเล่มหนึ่งยามหลับตา และมีเงาโลหิตหลายเส้นปรากฏอยู่ในดวงตายามลืมตา
‘เพราะข้าเป็นคนโลกแท้จริงที่ห้า…’ ซูหมิงส่ายศีรษะ เขาไม่ยอมรับในจุดนี้ ทว่ากลับสะกดอารมณ์ความรู้สึกที่อยากจะเห็นโลกแท้จริงที่ห้าสักครั้งไม่ได้
‘บางทีอาจเพื่อนาง…’ ขณะซูหมิงเดินอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ความมืดมิดรอบๆ ทำให้เขานึกถึงหญิงคนนั้นที่รู้สึกถึงในความทรงจำตอนอยู่แดนประหลาดวงแหวนบูรพา หรือก็คือมารดาผู้ทั้งแปลกตาและคุ้นเคย หนาวเยือกและอบอุ่น
หญิงคนที่เขาไม่เคยพบหน้า
‘และบางทีอาจจะเพื่อนาง…’ ซูหมิงนึกถึงเสียงเรียกข้างหูที่หายไปนานมาก…น้องสาว
ชีวิตของเขาไม่มีความรักแท้จริง ไป๋หลิงก็ดี อวี่เซวียนก็ดี ร่างคนเหล่านั้นเหมือนหายไปกลายเป็นเพียงปุยขาวของเมล็ดหลิวในใจ ลอยล่องอยู่กลางสายลม ไม่มีวันตกพื้นไปชั่วนิรันดร์ ต่อให้ตกถึงพื้น…ก็จะลอยขึ้นมาอีกครั้งกลางสายลม
เพราะไม่ใช่แค่พวกนางที่เป็นปุยขาวของเมล็ดหลิว แต่ตัวซูหมิงเองก็เป็นปุยขาวที่ไม่มีรากบนฟ้าเช่นกัน ลอยไปลอยมา ไม่มีบ้าน ไม่มีรากฐาน
หากมีก็มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือรสชาติของรักแรกตอนไม่ประสีประสาความรัก
นั่นคือสายรุ้งในอดีตท่ามกลางอารมณ์ความรู้สึกสีเทา เป็นดั่งเสียงถอนหายใจในสายลมหิมะ เป็นดั่งหิมะที่เดินต่อไปแล้วเส้นผมก็ยังไม่ขาว เป็นดั่ง…คำสัญญาที่เขาไม่ได้ทำตามในตอนนั้น
ระลอกคลื่นความทรงจำเหล่านี้บดฝุ่นละอองแห่งกาลเวลาจนละเอียด แตกออกเป็นชิ้นๆ
‘ข้า…ไม่เข้าใจความคิดถึง ข้า…ไม่เข้าใจความรัก’ ซูหมิงถอนหายใจเบาๆ เสียงถอนหายใจกลายเป็นคลื่นกระเพื่อมเบาๆ กลางฟ้ากระจ่างดาว ท่ามกลางวงคลื่นมีความระทมทุกข์ เป็นเสมือนดอกไม้ที่ไม่มีใครเข้าใจ ทำได้เพียงให้ความเหงาเบ่งบานอย่างโดดเดี่ยวกลางเงามืดอันเงียบสงบ
ซูหมิงมองฟ้ากระจ่างดาว เขาพบว่าเมื่อตัวเองอายุมากขึ้น ประสบการณ์เยอะขึ้น เขามักจะตกอยู่ในห้วงความทรงจำโดยไม่รู้ตัว มักจะหันกลับไปมองชีวิตตัวเอง มองดูจุดที่น่าเสียดายทั้งหมด
‘ปู่ชราแล้ว…เพราะปู่มักจะนึกถึงตอนที่ตัวเองยังหนุ่ม ลาซูน้อย คนเรามีเพียงตอนที่แก่ชราแล้วเท่านั้นถึงจะปลงอนิจจังชีวิต ถึงจะนับสายรุ้งในอดีต’ ข้างหูซูหมิงดังสะท้อนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ จากท่านปู่ในฤดูกาลของปีใดสักปีหนึ่งที่เขาลืมไปแล้ว
เวลาค่อยๆ ผ่านไป สองชั่วยามต่อมา มีเสียงผิวปากแหลมหกเสียงดังมาจากในตัวตี้จิ่วโม่ซาข้างๆ เข้ามาขัดความคิดซูหมิง
เสียงผิวปากดังแหลมแสบแก้วหูมาก ประหนึ่งเสียงกรีดร้องแหลม ทำให้ตี้จิ่วโม่ซาหน้าเปลี่ยนสี ระหว่างนั้นไม่ทันที่ซูหมิงจะได้พูดอะไร เขาก็หยิบเม็ดยาออกมาจากอกเสื้อเม็ดหนึ่ง เม็ดยาเป็นสีดำทึบ ทว่าตอนที่อยู่ในมือเขามันกลับสั่นไหวขึ้นมา
นั่นใช่ยาที่ไหนกัน มันคือตะขาบสีดำตัวหนึ่งที่ขดตัวอยู่ในลักษณะคล้ายเม็ดยา นัยน์ตาตี้จิ่วโม่ซาฉายแววเด็ดขาด กัดฟันกินมันเข้าไป
หลังจากกินตะขาบสีดำไปแล้ว ใบหน้าตี้จิ่วโม่ซาพลันมีควันดำลอยขึ้นมา เห็นรางๆ ว่ามีภาพตะขาบลอยขึ้นบนใบหน้า ทำให้เขาดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
“ข้าจะใช้ความเร็วสูงโดยไม่เสียดายอายุขัยแล้ว ตอนนี้เผ่าเจอกับอันตรายร้ายแรง ข้ามฟ้ากระจ่างดาวนี้ไปก็จะเห็นแผ่นดินใหญ่ลอยอยู่ ตรงนั้น….ก็คือเผ่าข้า” กล่าวจบ ทั้งตัวตี้จิ่วโม่ซาพลันแผ่ควันดำออกมา เขาเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ก่อนจะหายวับไปในพริบตาด้วยความเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
นัยน์ตาซูหมิงเพ่งสมาธิ ก่อนหน้านี้เขาลองใช้การเคลื่อนย้ายแล้ว แต่ฟ้ากระจ่างดาวที่นี่แปลกมาก ใช้วิชาเคลื่อนย้ายไม่ได้ เหมือนว่ามีปราการธรรมชาติกั้นอยู่
ช่วงที่ตี้จิ่วโม่ซาหายไป ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าวและพุ่งไกลออกไปด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าลากผ่านนภา เพิ่งบินไปสิบกว่าลมหายใจ เขาก็ได้ยินเสียงผิวปากเจ็ดเสียงแว่วมาจากข้างหน้า
เขาไม่หยุดฝีเท้า แต่เร่งความเร็วขึ้น ผ่านไปครึ่งก้านธูปก็เห็นแผ่นดินใหญ่ลอยอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ
รอบๆ แผ่นดินใหญ่มีรอยแตกผิดปกติอยู่ เห็นได้ชัดว่ามันแยกมาจากดาวบางดวงที่พังทลายลง บนแผ่นดินมียอดเขาแตกหักอยู่จำนวนมาก ผิวดินแห้งแตกระแหง ทั้งยังมีพืชคลุมดินแห้งเป็นสีเหลืองอยู่เต็มไปหมด
มิหนำซ้ำ…ยังมีสัตว์ร้ายขนาดหลายสิบจั้งหลายร้อยตัวที่มีมีดคมงอกออกมาจากหลังลอยอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว สัตว์ร้ายเหล่านี้สวมเกราะนักรบ บนหลังมีร่างคนสูงผอม ทว่าติ่งหูกลับยืดยาวลงมาถึงบ่า
รอบๆ ตัวพวกเขามีร่างเงาคนแบบเดียวกันอยู่หลายพันคน บนพื้นดินยังมีสัตว์เลื้อยคลานสีดำขนาดเกือบหนึ่งจั้งจำนวนมาก พวกมันกลายเป็นทะเลสัตว์เลื้อยคลานกำลังกระจายไปอย่างรวดเร็ว
เสียงคำรามดังสนั่นโดยรอบ มียอดเขาลูกหนึ่งถูกทะเลสัตว์เลื้อยคลานลุกลามเข้าไป โดยรอบภูเขานี้มีคนอยู่หลายร้อยคน พวกเขาต่างมีสีหน้าสิ้นหวัง แต่กลับไม่มีใครถอย แต่เข่นฆ่ากับทะเลสัตว์เลื้อยคลานไม่หยุด
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายร้อยคนอยู่กลางอากาศ และกำลังใช้อภินิหารวิชาสู้กับศัตรูบนฟ้าเหล่านั้น
ตรงไหล่เขาจะเห็นว่ามีคนชรา เด็ก คนป่วย และผู้พิการอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขามองฟ้าดินเงียบๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความหมดหวัง
เสียงครึกโครมดังก้องอยู่ในพื้นที่นี้ ท้องฟ้าประหนึ่งถูกฉีกออกเป็นรอยแยกหนึ่ง ตี้จิ่วโม่ซาเดินออกมา หมอกดำอบอวลอยู่ทั่วร่าง หมอกดำที่กระจายออกเหล่านั้นพลันกลายเป็นตะขาบดุร้ายขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง มันงอตัวแล้วอ้าปากกว้างตรงไปยังทะเลสัตว์เลื้อยคลาน หมอกดำกลุ่มใหญ่พุ่งออกมาจากปากทันที
เมื่อมันพ่นหมอกดำแล้ว ร่างตี้จิ่วโม่ซาก็แห้งเหี่ยวลงทันใด แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนไป มีเพียงจิตสังหารในแววตาที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
การปรากฏตัวของเขาดึงดูดความสนใจของคนที่ยืนบนหลังสัตว์อยู่ไกลๆ เหล่านั้น ก่อนการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกฌานมักจะมีคำพูดสนทนาที่ต่างกันไป ทว่าเผ่าประหลาดในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตเหล่านี้ พอเห็นตี้จิ่วโม่ซาและก็รู้ถึงฐานะอีกฝ่าย กลับไม่กล่าวใดๆ เลย เพียงบินออกมาเจ็ดคน ตรงไปหาตี้จิ่วโม่ซาด้วยความเหี้ยมโหด
ในเวลาเดียวกัน หลายพันคนบนฟ้าต่างยกสองมือขึ้นพร้อมกันและประสานสัญลักษณ์มือ แมลงปีกแข็งสีดำไม่รู้เท่าไรจากในทะเลสัตว์เลื้อยคลานบนพื้นต่างบ้าคลั่งขึ้นมา ตัวพวกมันเผยจิตสังหาร ก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจอาการเน่าเปื่อยจากหมอกพิษ
ภาพนี้กลายเป็นภาพย่อเล็กลง สะท้อนในดวงตาซูหมิง เขาขยับกายวูบไหวไปข้างหน้า พุ่งเข้าไปใกล้ในพริบตา