ตอนที่ 940 เส้นผมที่ถูกลมพัด
โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมในความหมายแท้จริง เหมือนกับที่ซูหมิงเอ่ยไว้ตอนอยู่ตระกูลอวี้ เขามองความยุติธรรมดังกล่าวออกนานแล้ว
ในเมื่อไม่มีความยุติธรรม เช่นนั้นปลาใหญ่กินปลาเล็กก็จะเป็นสิ่งนิรันดร์ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงในฟ้าดินแห่งนี้ เหมือนกับที่เนตรปีศาจถูกเอ้อชางลอบโจมตีในปีนั้น ใช้กายเนื้อในช่วงที่มันอ่อนแอที่สุดเซ่นไหว้ให้กับผู้เฒ่าเมี่ยเซิง เพื่อแลกกับชีวิตนิรันดร์จากการเขียนนามลงในเพลงกลอน
เหมือนกับตอนนี้ ดวงตาดวงหนึ่งที่เป็นสิ่งมีชีวิตแก่กล้าซึ่งโชคดีหนีรอดมาในตอนนั้น เวลานี้ต้องกลับมาอยู่ในมือเอ้อชางอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้ตัวการสำคัญไม่ใช่ความตั้งใจของเอ้อชาง แต่เป็นวิญญาณของซูหมิง
ร่างแยกเอ้อชางถือเนตรปีศาจ เขาค่อยๆ วางมันตรงระหว่างคิ้ว ทันทีที่ดวงตาสัมผัสกับหน้าผาก ฟ้าดินเกิดเสียงเลื่อนลั่น มีสายฟ้าโผล่กลางอากาศนับไม่ถ้วนและกระจายออกไปรอบๆ โดยมีร่างแยกเอ้อชางเป็นใจกลาง
ท้องฟ้าจึงเหมือนถูกตาข่ายใหญ่สายฟ้าปกคลุม
ตอนที่เขาลดมือขวาลงช้าๆ ตรงระหว่างคิ้วร่างแยกเอ้อชางกลางตาข่ายมีดวงตาโผล่ขึ้นมาดวงหนึ่ง!
เนตรปีศาจดวงนี้เปล่งแสงสีม่วง แฝงไว้ด้วยความชั่วร้าย!
ตาดำของมันตั้งตรง ตรงขอบดวงตามีวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนกำลังร้องคำรามและดิ้นรน มิหนำซ้ำยังแผ่ออกไปข้างนอกเล็กน้อย ดังนั้นแล้วจึงทำให้ร่างแยกเอ้อชางในสายตาของทุกคนไม่ใช่สิ่งที่ดีอีก รูปลักษณ์แบบนี้ ความชั่วร้ายแบบนี้ มากพอจะเป็นแรงกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อทุกคน
แรงกระเทือนนี้จะกลายเป็นจิตใจตั้งมั่น เป็นจิตใจที่คนผู้นี้ไม่มีทางล่วงเกินเขาง่ายๆ หนำซ้ำยังรู้สึกรางๆ ว่าร่างแยกเอ้อชางของซูหมิงเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย
กลิ่นอายชั่วร้ายนี้ใกล้จะเข้มข้นถึงจุดสูงสุดแล้ว หากมันถึงจุดสูงสุด เช่นนั้นคงใช้คำว่าชั่วร้ายมาบรรยายไม่ได้ บางทีอาจมีคำใหม่ถูกสร้างขึ้นร่วมกันโดยทุกคนที่หวาดกลัวซูหมิง
เนตรปีศาจขยับตรงระหว่างคิ้วร่างแยกเอ้อชาง ลูกตาพลันมองตาข่ายใหญ่สายฟ้าบนฟ้า มองเพียงแวบเดียว สายฟ้าทั่วฟ้าก็พลันบิดเบี้ยวพร้อมกันราวกับ สั่นไหว…ก่อนจะสลายหายไปในพริบตา!
เหมือนกับว่าร่างแยกเอ้อชางที่มีเนตรปีศาจบนฟ้าผู้นี้ การคงอยู่ของเขาคือ ดวงตะวันที่แม้แต่ตาข่ายจากสวรรค์ก็ไม่อาจปกคลุม ขณะเดียวกับที่สายฟ้าบนฟ้าหายไป ร่างแยกเอ้อชางก้มหน้าลงสบตากับซูหมิงบนพื้น จากนั้นตัวเขาก็ค่อยๆ หายไป จนกระทั่งหายลับกลับไปยังแดนประหลาดวงแหวนบูรพา กลับไปอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวสีม่วงหนึ่งแสนแห่ง
คล้อยหลังร่างแยกเอ้อชาง ซูหมิงหลับตาลง ทันใดนั้นเองตรงระหว่างคิ้วเขาปรากฏเส้นเล็กสีม่วงหนึ่งเส้น มันชัดเจนมาก ทั้งยังทำให้กลิ่นอายชั่วร้ายที่มีอยู่แล้วในตัวเขาเข้มข้นขึ้นเหมือนกับของร่างแยกเอ้อชาง
เขายืนอย่างสงบนิ่งอยู่บนพื้น ไม่ขยับเขยื้อน เวลาผ่านไปเชื่องช้า เมื่อวันที่สามมาถึง เขาลืมตาขึ้น เงยหน้ามองฟ้า ความรู้สึกที่แปลกยิ่งผุดขึ้นในใจ
ฟ้ายังคงเหมือนเมื่อสามวันก่อน ตอนที่ซูหมิงมองไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โลกในดวงตาเป็นเหมือนปกติ ฉากฟ้าสีเทา จะเห็นได้ว่าตรงปลายขอบฟ้าห่างไกลเป็นฟ้ากระจ่างดาวไร้ที่สิ้นสุด ท้องฟ้าพิลึกแบบนี้จะเห็นกับตาได้เพียงในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตเท่านั้น
แผ่นดินแตกระแหง ไม่มีสิ่งมีชีวิต ตอนที่กวาดสายตามองไป ในความราบเรียบแฝงไว้ด้วยความเงียบสงัด
เพียงแต่ซูหมิงรู้สึกได้ว่าตน…เหมือนเห็นได้มากกว่าเดิม เห็น…ความแตกต่างที่คนอื่นมองไม่เห็น
“เนตรปีศาจ” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
เมื่อเขากล่าวขึ้น เส้นเล็กสีม่วงตรงระหว่างคิ้วพลันเปิดออก
นี่มันไม่ใช่เส้นเล็กอะไร แต่มันคือ…ภาพสะท้อนเนตรปีศาจจากร่างแยกขั้นพลังและร่างแยกกลืนนภา เมื่อมันเปิดออกจึงเผยให้เห็นลูกตาที่ตั้งขึ้น และเงาวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนกำลังดิ้นรนตรงระหว่างคิ้ว
เสียงคำรามที่เขย่าขวัญได้ยิ่งดังก้องเด่นชัดรอบตัวซูหมิง เพียงแต่เสียงคำรามครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบถึงตัวเขา ทว่าหากตอนนี้ข้างกายมีผู้ฝึกฌานคนอื่นอยู่ แน่นอนว่าจะต้องถูกเสียงคำรามแหลมกระเทือนถึงกายและใจ
เสียงคำรามดังเลือนลั่น ซูหมิงเงยหน้ามองฟ้าอีกครั้ง เขาเห็นภาพที่ต่างออกไปโดยสมบูรณ์!
เขาเห็นฟ้าที่ต่างกันเก้าร้อยกว่าแบบ นี่คือภาพสุดจะบรรยายนัก คล้ายกับว่ามีคนเก้าร้อยกว่าคนเงยหน้ามองฟ้าพร้อมกัน จากนั้นภาพที่สะท้อนในดวงตาพวกเขาก็รวมเข้าด้วยกันในดวงตาของคนคนเดียว
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเห็นฟ้าเก้าร้อยกว่าแบบเหมือนกัน แต่กลับต่างกัน
นี่คือภาพยามที่ซูหมิงใช้เนตรปีศาจมอง ต่อมาหลังจากท้องฟ้าเก้าร้อยกว่าแบบในดวงตาเขาซ้อนทับกันในพริบตาแล้ว ท้องฟ้าในดวงตาก็พลันเปลี่ยนไป ขยายใหญ่ขึ้นในดวงตาหนึ่งเท่า
ทว่าไม่หยุดเพียงเท่านี้ ครั้นขยายหนึ่งเท่าแล้วก็ขยายขึ้นอีก ภาพแผ่ขยายในดวงตาเขาอย่างรวดเร็วดุจน้ำหลาก จนกระทั่งขยายใหญ่ถึงเก้าเท่าแล้วจึงหยุดลง ซูหมิงในยามนี้เห็นอนุภาคเล็กๆ เหลือคณนานับบนฟ้าสีเทา อนุภาคเหล่านี้เป็นสีเทา พวกมัน…ก็รวมขึ้นเป็นฟ้าสีเทาแห่งนี้นี่เอง
บางทีอาจพูดได้ว่านี่ไม่ใช่ท้องฟ้า แต่เป็นหมอกสีเทา
ซูหมิงก้มหน้าลงมองพื้นดิน เขาเห็นว่าพื้นดินที่เหมือนราบเรียบ ความจริงแล้วมีรอยแยกเล็กๆ นับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีรอยแยกจำนวนมากที่ลุกลามไปไม่หยุด เพียงแต่ว่าคนอื่นมองไม่เห็นก็เท่านั้น
นี่คือเนตรปีศาจของซูหมิงในตอนนี้ ตอนที่มันยังไม่ลืมตาจะเป็นเส้นเล็กสีม่วง แต่พอลืมตาแล้วจะกลายเป็นดวงตาแรกที่เห็นฟ้าขึ้นและลง!
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เนตรปีศาจตรงระหว่างคิ้วปิดลง กลับมาเป็นเส้นเล็ก สีม่วงอีกครั้ง ในใจเขาเกิดความมั่นใจอย่างแรงกล้า ความรู้สึกนี้ไม่ได้มาจากขั้นพลัง แต่เป็นการควบคุมอย่างหนึ่ง!
มีดวงตาแบบนี้อยู่ เขามีคุณสมบัติอย่างสมบูรณ์แบบจะใช้คำว่าควบคุมได้แล้ว
ควบคุมสนามรบ ควบคุมการต่อสู้ทุกอย่าง ควบคุมความเป็นตาย!
‘ในดวงตามีวิญญาณอยู่เก้าร้อยกว่าตัว ฉะนั้นจึงขยายใหญ่ได้เก้าเท่า ถ้าอย่างนั้นหากให้ดวงตาสูบวิญญาณมากเท่าไร ระดับการขยายก็จะน่าตะลึงมากขึ้นเท่านั้น…’ ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อตัวใหญ่ ก่อนขยับวูบไหวกลายเป็นสายรุ้งยาวบินหายไปจากบนพื้น
หลายวันต่อมา
บนแผ่นดินของเผ่าลำดับเก้าที่ลอยอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ตรงกลางยอดเขาของชนเผ่าพวกเขา มีบ้านหินล้อมรอบยอดเขาอยู่จำนวนมาก ชาวเผ่าลำดับเก้าเกือบพันคนกำลังเตรียมหุงอาหารอยู่ท่ามกลางควันไฟในยามเช้าตรู่
มีเด็กจำนวนไม่มากกำลังเล่นกันอยู่ตรงนั้น เสียงหัวเราะเยาว์วัยดังก้องในยามเช้า ทำให้เวลาที่ผู้อาวุโสของพวกเขามองไปเป็นบางครั้ง ใบหน้าจะเผยรอยยิ้มอย่างพบเห็นได้ยาก
สตรีในเผ่าวางอาวุธลงแล้วไปดูแลคนชรากับเด็ก เตรียมอาหาร ส่วนนักรบในเผ่าก็นั่งฌานฝึกฝนอยู่ตรงตีนเขาอย่างเป็นระเบียบ
และยังมีชาวเผ่าบางส่วนออกไปล่าสัตว์ข้างนอก ยังไม่กลับมา
หลังจากผ่านสงครามครั้งใหญ่มา ทั้งชนเผ่าก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน
มีเพียงแนวเส้นที่สร้างขึ้นจากหลุมลึกห่างจากตีนเขาไปหลายร้อยจั้งเส้นหนึ่งเท่านั้นที่ยังมีความน่าเวทนาของสงครามก่อนหน้านี้อยู่ ตอนนี้มันกลายเป็นปราการเส้นหนึ่งบนพื้นดินไปแล้ว
สวี่ฮุ่ยลืมตาตื่นขึ้นในยามเช้าตรู่ของวันนี้
นางตื่นขึ้นมาแล้วก็มองไปรอบๆ อย่างสับสน ภาพจำสุดท้ายของนางคือเห็นร่างเงาคุ้นเคยคนหนึ่ง ตอนที่ภาพนี้เพิ่งลอยขึ้นมาในความคิด นางก็เห็นร่างคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่งนอกเรือน กำลังรับแสงตะวันอยู่
นางเห็นเพียงแผ่นหลังของคนคนนี้ แต่แผ่นหลังนี้กลับซ้อนทับกับภาพจำสุดท้ายของนาง
“เจ้าตื่นแล้ว…ข้าวต้มของเผ่าลำดับเก้าก็ไม่เลว กินเสียหน่อยได้” เสียงคุ้นเคยแว่วมาจากร่างคุ้นเคยในดวงตาสวี่ฮุ่ย นางก้มหน้ามองข้าวต้มข้างๆ ที่ยังมีไอร้อนโชยขึ้นมา
ใบหน้านางยังคงซีดขาวเล็กน้อย นางเบนสายตาจากข้าวต้มมามองตัวเอง มองไปแวบเดียวนัยน์ตาก็จ้องเพ่ง นางเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปลี่ยนเป็นผ้าเนื้อหยาบ มิหนำซ้ำภายในยังว่างเปล่า
บาดแผลกำลังสมานตัวกัน พลังในร่างกายก็โคจรขึ้นช้าๆ ตอนแรกนางบาดเจ็บสาหัสเกินไป นั่นคืออาการบาดเจ็บที่เกือบจะช่วงชิงชีวิตไปได้ ต่อให้ตอนนี้กำลังฟื้นฟู แต่ก็คงจะใช้พลังในเวลาสั้นๆ ไม่ได้ ความรู้สึกอ่อนแอบางอย่างจึงเผยขึ้นมาในใจ
นางไม่ชินกับความรู้สึกนี้มาก ความอ่อนแอที่เหมือนเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาทำให้นางเงียบงัน
นางยกข้าวต้มที่มีไอร้อนระเหยขึ้นมา เมื่อจิบกินเบาๆ แล้วก็เลียริมฝีปาก จากนั้นดื่มเข้าไปอึกใหญ่ ไม่นานก็ดื่มกินจนหมดชาม
นางมีสีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังขาวซีดแบบคนป่วยอยู่ เพียงแต่ความรู้สึกดีขึ้นมามาก จากนั้นก็ยืนขึ้นช้าๆ ทว่าแค่การขยับตัวธรรมดาก็ทำให้ลมหายใจนางกระชั้นขึ้นเล็กน้อย
นางประคองตัวเองกับหินผาข้างๆ แล้วเดินออกมาจากบ้าน มายืนอยู่กลางแสงตะวัน สายตามองฟ้า มองผืนดินใต้ภูเขา ก่อนสูดกลิ่นอายยามเช้า
“ขอบคุณ” สวี่ฮุ่ยก้มหน้ามองซูหมิงข้างๆ นางเงียบไปชั่วครู่แล้วกล่าวเสียงเบา
“ไม่เป็นไร” ซูหมิงนั่งอยู่บนหินผา สายตามองฟ้าไกลๆ ยามกล่าวเสียงเรียบๆ
“เจ้าเปลี่ยนชุดให้ข้าหรือ?” สวี่ฮุ่ยถามขึ้นทันที
“อืม” ซูหมิงพยักหน้า
สวี่ฮุ่ยเงียบไปอีกครั้ง นางไม่ยืนต่ออีกแต่นั่งลง สายตามองทอดไกลเหมือนกัน มีสายลมภูเขาพัดเส้นผมลอยขึ้น นางจึงยกมือรวบผมเอาไว้ ทว่าสายลมไม่ได้พัดเพียงสองสามเส้น แต่พัดขึ้นไปมากกว่าครึ่ง นางจึงรวบไว้ไม่หมด เหมือนกับตอนนี้ที่ภายนอกเงียบ แต่อารมณ์ภายในไม่สงบนิ่งดังเมื่อก่อน
“รูปร่างเจ้าก็ไม่เลว” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ด้วยใบหน้าปกติ
ทว่าเมื่อเข้าถึงหูสวี่ฮุ่ย นางมองซูหมิงในทันที แต่ไม่นานนางก็พลันยิ้มอย่างงดงามยิ่ง
“ขอบคุณ”
ซูหมิงเอียงศีรษะมองสวี่ฮุ่ย มองรอยยิ้มงดงามบนใบหน้านาง เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่าหญิงคนนี้คล้ายจะน่าสนใจมาก
“เพียงแต่ว่ามีไฝเยอะไปสักหน่อย” ซูหมิงกล่าวนิ่งๆ
“ช่วยไม่ได้ ท่านพ่อท่านแม่ให้ข้ามา ข้าก็ไม่อยากลบออกด้วย คงต้องทำให้เจ้าลำบากใจแล้ว” สวี่ฮุ่ยอธิบายคร่าวๆ นางลดมือขวาลง ไม่ได้รวบเส้นผมดำขลับที่ถูกลมพัดอีก…