ตอนที่ 944 มีได้มีเสีย
“…สายเลือดตรงทั้งหมดสามร้อยเจ็ดสิบเก้าคนจะแบ่งกันเข้าร่วมการเปิดอารามบรรพบุรุษ หลังจากรับมรดกของบรรพบุรุษรุ่นแรกมาแล้ว ก็จะปลดปล่อยสายเลือดดาราสัจธรรม ขั้นพลังเจ้าจะสูงขึ้นอีก รีบกลับมาเร็ว!”
เสียงแก่ชราดังก้อง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ยิน มีเพียงซูหมิงคนเดียวเท่านั้น รวมถึงสวี่ฮุ่ยที่มีตัวนำต่อซูหมิงอยู่กลางวิญญาณจึงได้ยินอย่างแจ่มชัด
นัยน์ตาซูหมิงเพ่งมอง การเปลี่ยนแปลงของดาราสัจธรรมที่เสียงจากเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราเอ่ยถึง ก่อนหน้านี้เขาเห็นเป็นส่วนใหญ่ตอนใช้เนตรปีศาจแล้ว เพราะเขาไม่รู้รายละเอียดการแตกหักของสำนักดาราสัจธรรมกับเผ่าเซียน ดังนั้นจึงมองเงื่อนงำไม่ออก หาเหตุผลไม่พบ และจินตนาการไม่ออกว่าเผ่าเซียนจะต่อต้านสำนักดาราสัจธรรมอย่างไร แต่ในเมื่อเกิดสงคราม เช่นนั้นเผ่าเซียนจะต้องมีความมั่นใจอยู่แน่นอน
สวี่ฮุ่ยเองก็หน้าเปลี่ยนสี เพราะขณะเดียวกับที่ได้ยินเสียงแก่ชราจากเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดารา ในวิญญาณนางพลันมีเสียงร้องของหงส์ดังเพิ่มเข้ามา
เสียงนี้ดังก้องอยู่ในจิตวิญญาณนาง ทั้งยังกลายเป็นพลังที่สามารถหลีกเลี่ยงการเหนี่ยวนำกับวิญญาณซูหมิง หลังจากสร้างเป็นปราการบางๆ หนึ่งชั้นแล้ว ภายในเสียงหงส์ก็มีเสียงหนึ่งที่มีเพียงนางได้ยินดังขึ้น
“ฮุ่ยเอ๋อร์…นี่เป็นครั้งแรกที่อาจารย์ใช้วิธีนี้สื่อสารกับเจ้า เจ้าอย่าตระหนก อย่ามีพิรุธ…” นี่คือเสียงของสำนักหงส์จากสำนักของนาง อีกทั้งดูจากปราการที่ขวางการเหนี่ยวนำจากวิญญาณซูหมิงแล้ว มันมีผลให้ซูหมิงไม่ได้ยินเสียงสำนักหงส์ตอนนี้
นี่คือพลังที่สวี่ฮุ่ยไม่เคยรู้มาก่อน และก็ไม่รู้ด้วยว่าสำนักของตนมีพลังสร้างปราการเช่นนี้ขึ้น!
ปราการนี้เหมือนกับรอยแยกเส้นหนึ่งบนเขื่อนใหญ่ ด้วยความฉลาดของสวี่ฮุ่ย นางถึงขั้นจินตนาการได้ทั้งหมดแล้วว่าผนึกกับสัญญาเกี่ยวดองกันระหว่างสำนักหงส์กับสำนักดาราสัจธรรมไม่ได้หนาแน่นจนแยกไม่ออกอีกแล้ว ผนึกนี้ถูกฉากกำบังได้ เช่นนั้นย่อมต้องมีจุดอ่อนอย่างยิ่ง เพียงแต่เวลาปกติมันจะถูกซ่อนอยู่ลึกมาก มีเพียงช่วงเวลาสำคัญเท่านั้นถึงจะหาเจอ จากนั้นก็ทำลายผนึกเพื่อให้สำนักหงส์เป็นอิสระจากสำนักดาราสัจธรรมได้
“ข้างกายเจ้ามีเต้าคงอยู่ อย่าให้เขาเห็นพิรุธ…ตอนนั้นที่มอบเจ้าให้เป็นคู่ชีวิตของเต้าคงแห่งสำนักดาราสัจธรรม ข้ารับไม่ได้เลย แต่ก็ต้องทำไปเช่นนั้น
ข้าทำได้เพียงช่วงชิงสัญญาอย่างหนึ่งมาเพื่อเจ้า ตอนนี้…สัญญานั้นไม่สำคัญแล้ว สำนักหงส์ของเราตัดสินใจแตกหักกับสำนักดาราสัจธรรม ผนึกทั้งหมดจะถูกเปิดออก จากนี้…เจ้าเป็นอิสระ สำนักหงส์เป็นอิสระ!
แต่เจ้าต้องสังหารเต้าคง ขั้นพลังเจ้าอยู่เหนือกว่าเขามาก หาโอกาสสังหารเขาแล้วรีบกลับโลกแท้จริงดาราสัจธรรมเสีย…จำเอาไว้ เต้าคงสำคัญกับสำนักดาราสัจธรรมมาก ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่รู้ระดับความสำคัญของเขา แต่หลายปีนี้มานึกย้อนดู สำนัก ดาราสัจธรรมส่งเต้าคงเข้าแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต เหมือนว่าจะมีความหมายลึกซึ้งบางอย่าง โดยเฉพาะเร็วๆ นี้ข้ารู้มาว่าคนที่สั่งให้เต้าคงไปแดนต้นกำเนิดจิตก็คือ… เจ้าภัยพิบัติเต้าเฉินที่หลับใหลอยู่!
ภารกิจของเจ้าคือสังหารเต้าคง ข้าจะช่วยเจ้าปลดผนึกหลังจากเขาตายแล้วเอง” เดิมทีสวี่ฮุ่ยหน้าซีดขาวอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงในจิตวิญญาณอีก นางก็ร่างซวนเซ ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะมองซูหมิง
ตอนนี้ซูหมิงหรี่ตาลง ภายในมีประกายวาววูบผ่าน ในความคิดเขากำลังมีเสียงที่มีเพียงเขาได้ยินเหมือนกับสวี่ฮุ่ย เสียงนี้กลายเป็นปราการขวางกั้นไม่ให้นางได้ยิน
“คงเอ๋อร์ ไม่ต้องรีบกลับมา เสียงจากเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราเมื่อครู่นี้มีเพื่อให้สวี่ฮุ่ยที่ไปกับเจ้าในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตได้ยินเท่านั้น
สำนักของนางมีใจคิดหักหลัง น่าหัวร่อที่พวกนั้นคิดว่าสำนักดาราสัจธรรมของเราไม่รู้
เจ้าต้องระวังตัวไว้ เจ้าต้องคิดเองว่าจะสังหารนางหรือไม่ เก้าผู้เฒ่ายมโลกมีสมบัติที่ใช้ต่อกรกับสำนักหงส์โดยเฉพาะอยู่ หากนางห่วงใยเจ้าก็ไม่เป็นไร แต่หาก สองจิตสองใจให้ลงมือสังหารทันที
ด้วยนิสัยเจ้าแผนการของเจ้า ข้าไว้ใจการตัดสินใจของเจ้า จำเอาไว้ คงเอ๋อร์ ไม่ต้องรีบกลับมาตอนนี้”
เสียงค่อยๆ หายไป ซูหมิงมองสวี่ฮุ่ย มองสายตานาง
“สำนักข้าให้ข้า…สังหารเจ้า” สวี่ฮุ่ยเงียบอยู่ชั่วขณะถึงกล่าวเสียงเบา
“พวกนางตัดสินใจแตกหักกับสำนักดาราสัจธรรม การเปลี่ยนแปลงของดาราสัจธรรมครั้งนี้ ฝ่ายที่เข้าร่วมไม่ได้มีเพียงเผ่าเซียน แต่มีสำนักหงส์ด้วย ดูแล้ว…ยังมีขุมอำนาจอื่นๆ อยู่อีก” สวี่ฮุ่ยคลึงตรงระหว่างคิ้ว สีหน้าซีดขาวดูไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อย
“เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ พักผ่อนเถอะ” ซูหมิงพูดเสียงเบาแล้วนั่งบนหินผา ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
สวี่ฮุ่ยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วมองซูหมิง
“เจ้าจะกลับไปหรือ?”
“ยังไม่ถึงเวลากลับ” ซูหมิงส่ายศีรษะ
“….เจ้าจะไปเมื่อไร?” สวี่ฮุ่ยหลับตาลง ครู่ใหญ่ๆ ก็ลืมตาขึ้น สีหน้าเด็ดขาดขึ้นมาทันที
“จากอาการบาดเจ็บของเจ้า อีกครึ่งเดือนจึงจะดีขึ้นมาก ข้าจะไปตอนนั้น” ซูหมิง มองฟ้าไกลๆ พลางเอ่ยเสียงเบา
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!” สวี่ฮุ่ยบอกเรียบๆ
ซูหมิงเงียบงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหมุนตัวกลับมามองสวี่ฮุ่ย ผ่านไปพักใหญ่ก็พยักหน้าให้
สวี่ฮุ่ยแย้มยิ้ม จากนั้นหมุนตัวกลับเดินเข้าไปในเรือนพัก
………
ซูหมิงอาศัยอยู่บนยอดเขาเผ่าลำดับเก้าอย่างสงบ เหมือนลืมไปแล้วว่าตอนนี้ โลกแท้จริงดาราสัจธรรมกำลังเกิดสงครามใหญ่ขึ้น เขามองตะวันขึ้นลง ข้างกายมักมีสุราชั้นดี และมีสวี่ฮุ่ยอยู่เป็นเพื่อนบางครั้ง
ชีวิตแบบนี้ผ่านไปดุจสายน้ำ ลอยขึ้นมาราวกับความฝัน จากเช้าตรู่ถึงโพล้เพล้ จากกลางคืนสู่ยามเช้า
ทั้งสองคนไม่เคยคุยกันเรื่องดาราสัจธรรมอีก เหมือนไม่มีใครอยากเอ่ยถึง เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างช้าๆ
แม้ไม่มีดอกไม้บาน ทว่าดวงจันทร์เกิดกลมและเสี้ยว กาลเวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับดีดนิ้ว ถึงจะไม่มีสีสันอะไรมากนัก แม้แต่ดาวบนฟ้ายังถอดสีอย่างเงียบๆ แต่ว่า…ครึ่งเดือนมานี้ซูหมิงลืมความทุกข์ ลืมความสับสน เหมือนกลับไปยังโลกมนุษย์
ในครึ่งเดือนมานี้สวี่ฮุ่ยยิ้มมากขึ้นไม่น้อย มองออกว่านางมีความสุขในช่วงเวลาครึ่งเดือนเหมือนกับเขา ความสุขนี้คล้ายจะเปรียบกับครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้ได้เลย
เพียงแต่เวลาอันงดงามไม่อยู่นานนัก เวลาแห่งความสุขก็มักจะแสนสั้น ทว่าบทเพลงไพเราะถูกลิขิตเอาไว้ในช่วงที่เอ่ยถึงมันแล้ว มันจะไปจบลงในช่วงเวลาหนึ่ง
วันนี้ท้องฟ้าของเผ่าลำดับเก้ามีฝนตก เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงเห็นฝนที่นี่ เขาไม่อยากใช้เนตรปีศาจมองไปว่าฝนเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะกลัวว่าจะมองลึกเกินไปจนเสียความหมายของสายฝน
ตอนที่ฝนตกลงบนพื้นก็เกิดหมอกฝุ่นขึ้น ระหว่างที่ม้วนตลบอยู่นี้ หากมองอย่างถี่ถ้วนมันจะเหมือนกับลูกคลื่น ให้ความรู้สึกเต็มไปด้วยเมฆหมอก พอคนมองไปแล้ว หากใช้ใจก็จะมองเงียบๆ ได้และไม่อยากถอนสายตากลับ
คล้ายกับว่าระหว่างเหม่อลอยอยู่กับการมองฝน ความหนาวเยือกของโลกมนุษย์กลายเป็นเสียงพิณโบราณสังหารจากคนละยุคสมัยที่ยาวนาน สายลมส่งเสียงครืนอยู่ไกลๆ เหมือนกับมีคนกำลังเป่าซวิน ทำให้หมอกฝนตกลงมาแตกตัวอยู่เต็มไปหมด
ซูหมิงมองไปเรื่อยๆ
“สวี่ฮุ่ย” เขาหันหน้าไปมองหญิงสาวในเรือนพักที่กำลังจัดสัมภาระ เส้นผมยาวพาดบ่า ในตัวมีเสน่ห์นุ่มนวลของสตรีเพิ่มมา เผยให้เห็นความงดงามดุจดั่งดอกไม้
นางหันหน้ามามองซูหมิง
“มานั่งตรงนี้ ข้าจะวาดภาพให้เจ้า” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ
สวี่ฮุ่ยยิ้มน้อยๆ แล้ววางสัมภาระลง นางยังไม่ได้เก็บเข้าถุงเก็บวัตถุก็เดินมาอยู่ข้างซูหมิง หาหินผาก้อนหนึ่งเพื่อนั่งลง
ข้างหลังนางเป็นฉากสายฝนเต็มฟ้ากับผืนดินกว้างใหญ่ขมุกขมัว มีสายลมครืนๆ พัดผ่านระหว่างเส้นผมนาง มีเส้นผมดำที่ปลิวไสวหลายเส้น
“เจ้าวาดภาพเป็นด้วยหรือ?” สวี่ฮุ่ยกะพริบตาปริบๆ
“เมื่อก่อนเคยวาด” ซูหมิงพูดพร้อมกับตบถุงเก็บวัตถุทีหนึ่ง ในมือปรากฏกระดานภาพอันหนึ่งขึ้น กระดานภาพนี้ไม่ใช่อันที่เคยใช้ตอนอยู่เผ่าหมาน แต่เขาเห็นมันโดยบังเอิญตอนอยู่ดาวทมิฬ
“อ้อ? วาดเป็นอย่างไร?” สวี่ฮุ่ยยิ้มและยังก้มหน้ามองอาภรณ์ตัวเอง ดึงรอยยับให้เรียบอีกเล็กน้อย
“ข้าวาดคนที่มีไฝน้อยไม่เก่ง แต่หากมีไฝเยอะ ข้ามักจะวาดออกมาดีหน่อย เจ้าไม่ต้องเปลี่ยนสีหน้า มันจะกระทบถึงการวาดภาพของข้าได้” ซูหมิงเห็นสวี่ฮุ่ยมีสีหน้าแข็งกระด้างจึงขมวดคิ้วบอก
“ซูหมิง เจ้าพูดเกินไปแล้ว!” สวี่ฮุ่ยลุกพรวดขึ้น มีสีหน้าโกรธกริ้ว
“ข้ามีไฝเยอะตรงไหนกัน หากวันนี้เจ้าพูดกับข้าไม่รู้เรื่อง ข้าสวี่ฮุ่ยจะไม่ยอมจบกับเจ้า!”
“จะให้ข้าพูดจริงๆ หรือ?” ซูหมิงมีใบหน้าไร้อารมณ์
“เจ้า…เจ้า…” สวี่ฮุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ทันใดนั้นก็พูดไปทางชาวเผ่าลำดับเก้าที่อยู่ตรงตีนเขา
“ตี้จิ่วโม่ซา ศิษย์พี่ของเจ้าอยากดื่มสุรา เอาสุราของเผ่าเจ้ามายี่สิบไหที”
เดิมทีตี้จิ่วโม่ซากำลังนั่งฌานอยู่ พอได้ยินดังนั้นแล้ว เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนหน้าสีอะไรเลย เขามักจะได้ยินคำพูดแบบนี้มาตลอดครึ่งเดือน และก็รู้ด้วยว่าเมื่อเอ่ยประโยคนี้แล้ว ศิษย์พี่จะต้องยอมถอย จึงไม่ต้องยกสุราขึ้นไปให้
“เจ้าไม่มีไฝ…” ซูหมิงฝืนยิ้ม
สวี่ฮุ่ยถลึงตามองซูหมิงแวบหนึ่งถึงจะนั่งลงอีกครั้ง จัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย ก่อนยิ้มมองเขา
“ไม่มีไฝแปดเม็ด” ซูหมิงหยิบกระดานภาพขึ้นมาและกล่าวอีกครั้ง
เห็นสวี่ฮุ่ยหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง เขาจึงยกมือขวาขึ้น เอานิ้วกดตรงแอ่งน้ำฝนข้างๆ หินผา จากนั้นนำมาวาดบนกระดานภาพราวกับใช้น้ำหมึก
ความใสสะอาดของกระดาษเหมือนกับความสงบนิ่งของจิตใจ
การโรยน้ำหมึกคล้ายกับแฝงไว้ด้วยความงามที่หลงเหลือจากดวงตา ค่อยๆ ระบายออกมาเป็นสีสันเหมือนอยู่คนละยุคสมัยตามมือซูหมิง เพียงแต่กระดาษนั้นกลับไปยังจุดเริ่มต้นไม่ได้แล้ว แต่มันที่กลับไปถึงจุดเริ่มต้นจะมิได้มีความสวยงามอย่างที่ไม่เคยมีเพิ่มมา
มีได้มีเสีย ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้
เหมือนกับประโยคนั้น หากชีวิตงดงามเหมือนเช่นแรกเริ่ม แต่บางครั้งความงดงามที่พบในตอนแรกก็สู้ความสงบหลังจากกาลเวลาตกตะกอนแล้วไม่ได้ อย่างเช่นกระดาษนี้ ความว่างเปล่าตอนยังไม่วาดกับสีสันหลังวาดเสร็จสิ้น อย่างไหนงดงามกันแน่?
มีเพียงผู้วาดเท่านั้นที่จะรู้
มีเพียงคนที่เคยผ่านมาแล้วเท่านั้นถึงจะเข้าใจ…
ซูหมิงกำลังวาดภาพ ในภาพมีสายฝน มีแผ่นดินใหญ่ มีท้องฟ้า และก็มีร่างสตรีคนหนึ่ง ภูเขาทมิฬในวันวานอันสวยงามยังคงอยู่ ทว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของชีวิต มันเหมือนกับฝุ่นละอองตกบนผิวแม่น้ำอย่างไร้ร่องรอย ไม่เกิดคลื่นกระเพื่อม ไม่มากพอจะก่อกวนกระดาษภาพ
สายลมจากนอกภูเขาเข้ามาเติมเต็มแขนเสื้อ หญิงสาวเลอโฉมนั่งอยู่ตรงหน้าสายฝน ไม่ขึ้นระหว่างคิ้ว ไม่ลงในใจ สิ่งนี้เรียกว่าจิตใจเปลี่ยน