Skip to content

สู่วิถีอสุรา 95

ตอนที่ 95 ตื่นขึ้น

ความแข็งแกร่งของปี้ถูและค้างคาวจันทราจากวิชาหมานของเขา ทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นล้วนตื่นกลัว ถึงอย่างไรคนที่อาศัยอยูในแถบนี้ล้วนคุ้นเคยกับค้างคาวจันทราดี

อีกทั้งยามนี้ปี้ถูยังอบอวลไปด้วยจิตสังหาร ด้วยขั้นพลังชำระล้างของเขา แม้แต่ท่านปู่ยังพ่ายแพ้ แล้วใครจะต่อกรได้!

ค้างคาวจันทราที่กำลังไล่ตามหลังท่านปู่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ราวกับไม่ยอมปล่อยให้กลับเข้าไปในแสงเทวรูปหมาน

ชั่วเวลานั้น ชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคนล้วนเผยสีหน้าเศร้าโศกและบ้าคลั่ง ทว่าพวกเขา…ทำอะไรไม่ได้ ยามนี้ แม้แต่จ้าวเผ่าเขาทมิฬยังยากจะเข้าไปช่วยท่านปู่…..

หนานซงพลันตบหน้าผาก รอยแยกระหว่างคิ้วปรากฏขึ้น เงาสีดำอ่อนห้อเหยียดราวกับอยากไปช่วยท่านปู่ ทว่าระยะทางค่อนข้างไกล แม้เงาดำจะรวดเร็วนัก ทว่ายามนี้ค้างคาวจันทราอยู่ห่างท่านปู่ไม่ถึงสามจั้ง!

ในหัวซูหมิงขาวโพลน ญาติสนิทของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ทว่าเขากลับทำอะไรไม่ได้ เห็นค้างคาวจันทราเข้าประชิดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ อ้าปากน่าสยดสยองของมันปานจะกลืนกิน ซูหมิงที่เงียบขรึมมาโดยตลอด พลันแผดเสียงร้องรวดเร็วและดุดัน

เสียงคำรามนี้ระเบิดพลังทั้งหมดของเขา บาดแผลฉีกออกอีกครั้ง โลหิตหลั่งไหล ทว่าเขาไม่สนใจ ในสายตาเขามีเพียงค้างคาวจันทรากำลังจะกลืนกินท่านปู่เท่านั้น

ร่างกายของเขาราวกับไม่ฟังคำสั่ง พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่ง เสียงคำรามก้องกังวานฟ้าดิน สนั่นถึงหูของท่านปู่และค้างคาวจันทรา

เงาจันทร์โลหิตในแววตาของซูหมิงยามนี้ราวกับเผาไหม้ ความรู้สึกถึงเพลิงโลหิตแผดเผาอบอวลขึ้นอีกครั้ง ราวกับจะเผาไหม้ร่างกายของเขา ในความคิดมีเพียงหนึ่งจิตใจอันแน่วแน่ นั่นคือค้างคาวจันทราจะทำอันตรายท่านปู่ไม่ได้!

จิตใจอันแน่วแน่กลายเป็นเสียงระเบิดดังสนั่นในความคิด เบื้องหน้าซูหมิงพร่ามัว โลหิตไหลจากทวารทั้งเจ็ด เขารู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้น กระโดดข้ามแผ่นดินใหญ่ เข้าประชิดท่านปู่ด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ และเข้าใกล้ค้างคาวจันทราที่กำลังอ้าปากตัวนั้น ก่อนทะลวงเข้าไปในตัวของมัน!

เหตุการณ์ประหลาดพลันปรากฏขึ้น!

ค้างคาวจันทรายักษ์ตัวสั่นสะท้าน สีหน้าเผยการต่อสู้ดิ้นรน ทว่าทำได้เพียงเท่านั้นก่อนหายไปในพริบตา แล้วแทนที่ด้วยแสงสว่าง มันมองท่านปู่ที่อยู่ใกล้ๆ พลันกระพือปีก หมุนเปลี่ยนทิศทางตรงเข้าใส่ปี้ถูที่กำลังตกตะลึง

ท่านปู่ตัวสั่นสะท้าน เมื่อครู่นี้เขาเห็นแววตาของค้างคาวจันทรา ในแววตานั้นช่างดูคุ้นเคย…

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามนี้ซูหมิงถึงรู้สึกว่าตนเป็นค้างคาวจันทรา ตรงเข้าใส่ปี้ถูในชั่วพริบตา

ขณะปี้ถูยังตื่นตะลึงก็พลันถูกกระแทกจนกระเด็น เขาไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนว่าค้างคาวจันทราจากเคล็ดวิชามหานของเขาจะเสียการควบคุม ยามนี้นัยน์ตาเขาเป็นประกายวาววับ รีบล่าถอยโดยเร็ว เมื่อกำลังจะไล่ค้างคาวจันทราให้แหลกสลาย กลับต้องสะดุ้ง เพราะมันไม่เกิดผล

หลังจากค้างคาวจันทราพุ่งชนปี้ถูจนกระเด็น มันก็แหลกกลายเป็นระเบิดหยดโลหิตจำนวนมาก ปี้ถูกระอักเลือด กระเด็นถอยไปหลายสิบจั้ง ใบหน้าดูตื่นตะลึง ในช่วงที่ค้างคาวจันทราแหลกสลาย ซูหมิงรู้สึกราวกับถูกดีด ตกลงมาสู่พื้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกลับมาในร่างของเขา ตัวสั่นเทาราวกับได้สติคืนมา

ยามนี้ ท่านปู่กลับเข้าไปในกลุ่มคนได้อย่างปลอดภัย ภายในแสงเทวรูปหมาน เขานั่งขัดสมาธิ หยิบเข็มกระดูกเจ็ดเล่ม แทงเข้าไปในร่างกาย

ในขณะเดียวกัน ปี้ถูบนท้องฟ้าเส้นผมยุ่งเหยิง เช็ดคราบโลหิตตรงมุมปาก จ้องมองท่านปู่ในเทวรูปหมาน แม้เหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่จะทำให้เขาตกใจ แต่ยามนี้กลับไม่สนสิ่งใด เขาอยากสังหารโม่ซัง อยากสังหารชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคน

ร่างกายของเขาสั่นไหว ตรงลงดิ่งมายังพื้น ด้วยความเร็วของเขาพริบตาเดียวก็เข้าประชิด และยามนี้เข็มกระดูกของท่านปู่แทงเข้าไปในร่างได้เพียงสามเล่ม

“โม่ซัง ต่อให้เจ้าสังเวยชีวิตก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!” ปี้ถูทะยานเข้ามา ยกมือขวาขึ้น พยามทำลายเทวรูปหมานที่ลอยอยู่กลางผู้คน ทว่าทันใดนั้น เงาดำที่ลอยจากระหว่างคิ้วหนานซงพลันตรงเข้าหาปี้ถู

“หนานซง หมานแห่งเชือกดำ กระบวนท่านี้เจ้าทำได้ไม่เลว ทว่ายังไม่บรรลุถึงแก่นแท้!” ปี้ถูหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สะบัดแขนเสื้อ เงาดำพลันทะลวงเข้าไปในแขนของเขาก่อนมุดออกมา กลายเป็นเงาเลือนรางตรงเข้าไปหาร่างหนานซง ในช่วงที่ปะทะกัน เงาดำหนานซงถูกทำลายเหลือเพียงเศษเสี้ยว หลังจากกลับถึงร่างแล้ว หนานซงตัวแห้งเหี่ยว หนังแห้งหุ้มกระดูก กระอักโลหิตสีดำ

มีเสียงร้องดังมาจากกลุ่มคน พบว่าเป็นจ้าวเผ่าเขาทมิฬ ชายฉกรรจ์ประดุจหอคอยเหล็กตรงเข้าใส่ปี้ถู เขาไม่ยอมให้ปี้ถูทำลายเทวรูปหมานเพื่อรบกวนการสังเวยของท่านปู่เด็ดขาด

ยามนี้บนตัวท่านปู่มีเข็มกระดูกห้าเล่ม ลำตัวสั่นเทา กลิ่นอายพลังแกร่งกล้าพลันปะทุขึ้นจากในตัว กลิ่นอายพลังนี้ทำให้ปี้ถูตกตะลึงทันที

“หลีกไป!” ปี้ถูไม่สนใจผู้อื่นอีก แต่ตรงเข้าใส่เทวรูปหมาน ส่วนจ้าวเผ่าเขาทมิฬ เขาปล่อยเพียงหมัดเดียวก็ทำให้จ้าวเผ่าตัวสั่นสะท้าน กระอักโลหิตกระเด็นถอยออกไป ร่างของเขาพลันแห้งเหี่ยวในชั่วพริบตาเหมือนกับหนานซง

ทว่าการถอยของเขา กลับไม่ใช่การถอยของชาวเผ่าเขาทมิฬ มีนักรบหมานที่คอยคุ้มกันขบวนและไม่ได้ออกรบกับพวกซูหมิงก่อนหน้านี้ พุ่งทะยานออกไปอย่างไม่ลังเล ใช้เลือดเนื้อขวางปี้ถูเอาไว้ ทว่าเพียงปี้ถูสะบัดแขนเสื้อ เขาก็กลายเป็นโครงกระดูก ลอยเป็นควันมหลายหายในทันที

ซานเหินในกลุ่มคน ยามนี้มีแววตาต่อสู้ดิ้นรน เหมือนจะพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า ทว่ากลับหยุดเอาไว้ สองมือกำหมัดแน่น

ส่วนซูหมิงพุ่งออกไปเช่นเดียวกัน ด้านหลังเขาเป็นเหลยเฉิน ทว่าทั้งสองห่างกันค่อนข้างไกล ขณะพุ่งทะยาน เป่ยหลิงที่อยู่ไกล้ปี้ถูมากที่สุด เพราะอาการบาดเจ็บสาหัสของเขา เฉินซินจึงพาเขาไปรักษาในกลุ่มคน ทว่าเขาพลันได้สติ ยามนี้จึงแผดเสียงร้องลั่น ผลักเฉินซิน ก่อนกระโดดออกไป

ทว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้ ปี้ถูพลันชี้นิ้วมือขวาใส่เขา แขนของเป่ยหลิงกลายเป็นเลือดและยังลุกลามไปเรื่อยๆ เขาแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนล้มลงกับพื้นอีกครั้ง

ยามนี้ท่านปู่ตัวสั่นเทา เข็มที่หกปักลง กำลังยกเข็มที่เจ็ดขึ้น ซูหมิงและเหลยเฉินห่างกันเพียงสิบจั้ง ทั้งสองพุ่งเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง

เพียงแต่ปี้ถูเข้าประชิดเทวรูปหมานแล้ว เขาใช้มือขวาตบเทวรูปหมานเขาทมิฬ ฝ่ามือกระทบลง เทวรูปหมานพลันเปล่งแสงสว่างจ้า ผิวด้านนอกเกิดรอยร้าวจำนวนมาก ก่อนระเบิดเป็นเศษชิ้นส่วน แตกกระจายเป็นวงกว้าง

เทวรูปหมานเป็นตัวแทนสัญลักษณ์เผ่าเขาทมิฬ ยามนี้พังทลายต่อหน้าชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคน สิ่งที่แหลกสลายไปพร้อมกันคือ จิตใจอันแน่วแน่ของชาวเผ่าเขาทมิฬ…

ช่วงที่เทวรูปหมานระเบิดออก ปี้ถูพุ่งทะยานเข้าใส่ท่านปู่ที่กำลังนำเข็มกระดูกแทงเข้าสู่จุดชีพจรตรงหน้าอก ทว่าทันใดนั้น ในกลุ่มคนมีเด็กสาวใบหน้าเป็นแผลเหวอะ เด็กสาวคนนี้คืออูลา

ในแววตาของนางทำใจมิได้ นางอยู่ใกล้ท่านปู่มากที่สุด จึงพุ่งตัวออกไป ใช้ชีวิตของนางยืนอยู่หน้าท่านปู่ แววตาเผยความหนักแน่น

ปี้ถูหัวเราะเย็นชา พลันโบกฝ่ามือไปเบื้องหน้า ราวกับมีแรงมหาศาลอัดเข้าใส่ร่างของอูลา นางกระอักโลหิต ร่างกระเด็นลอยไปตกทางซูหมิง

ยามนี้เข็มที่เจ็ดของท่านปู่แทงทะลุวิญญาณเทพสวรรค์โดยสมบูรณ์ หากไม่ใช่เพราะว่ามีชาวเผ่ายอมสละชีวิตเพื่อถ่วงเวลาให้แก่เขา เกรงว่าเขาคงทำการสังเวยในครั้งนี้ไม่สำเร็จ

ท่านปู่พลันลืมตาขึ้น แผดเสียงคำรามดังสนั่น ในเสียงนั้นมีความเคียดแค้นของชาวเผ่าที่ตายตก อีกทั้งยังอบอวลไปด้วยจิตสังหาร จากนั้นทะยานออกไปปะทะกับปี้ถูอีกครั้ง มุ่งตรงขึ้นสู่ฟ้า

ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา รวดเร็วจนยากจินตนาการได้ ซูหมิงรู้สึกเจ็บตรงแก้มด้านขวา นั่นเป็นเพราะเศษเทวรูปหมานกระเด็นเข้าใส่ บาดจนเป็นรอยแผลเลือด มีโลหิตหลั่งไหล ซูหมิงกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด เขามองอูลา ร่างกายของนางเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันตกถึงพื้นก็กลายเป็นหนังหุ้มกระดูก

ความคิดซูหมิงขาวโพลน ตรงเข้าไปรับอูลาเอาไว้ ใบหน้านางเสียโฉม ยามนี้เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก มีโลหิตไหลมาจากมุมปากไม่หยุด นางมองซูหมิงที่กำลังกอดตัวเองไว้พลางเผยรอยยิ้ม

“เจ้า…คือ…โม่ซูใช่หรือไม่…” นางพยามยกมือขึ้นเพื่อคลำใบหน้าของซูหมิง ทว่าไม่มีแรงเหลืออีก

“ใช่” ซูหมิงมีสีหน้าเจ็บปวด กล่าวเสียงเบา

“เจ้า…ไม่ใช่…” นางกล่าวพึมพำ ดวงตาเสียไร้ซึ่งความมันวาว กลายเป็นความว่างเปล่า มือตกลง ร่างสั่นไหว ก่อนค่อยๆ แน่นิ่ง

ในขณะนั้น ท่านปู่ที่กำลังต่อสู้กับปี้ถูบนท้องฟ้า ส่งเสียงตะโกนมา

“ซูหมิง พาชาวเผ่าหนีไป!” ทันทีที่เสียงตะโกนดังขึ้น แสงสว่างจ้าพลันตกลงมาจากฟ้า ลักษณะของมันเหมือนกับมีดแสงใหญ่ยักษ์ สับลงนอกกลุ่มคน แผ่นดินสั่นสะเทือน มีเสียงกึกๆ ดังสนั่น เกิดเป็นรอยแยกใหญ่ยักษ์กว้างหลายสิบจั้ง

ความยาวของมันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ราวกับทำให้ชาวเผ่าเขาทมิฬกับนักรบภูผาดำที่อาจปรากฏตัวได้ตลอดเวลาถูกแยกออกจากกัน ภายในรอยแยกมีแสงพุ่งขึ้นมา

ซูหมิงไม่มีน้ำตา เพียงแต่เงียบขรึมจนน่ากลัว เหลยเฉินข้างกายเขาเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าหลังจากเห็นแววตาของซูหมิงแล้ว จึงกลืนคำพูดลงไป ซูหมิงในยามนี้ทำให้เขารู้สึกกลัว

แววตาซูหมิงว่างเปล่าประดุจคนตาย ทว่าในความว่างเปล่ากลับมีเงาจันทร์ขยับแสงวูบวาบ เขาวางศพอูลาลงอย่างเบามือ ดึงเศษเทวรูปหมานเขาทมิฬบนใบหน้าออก แล้วเก็บเข้าไปในอกเสื้อ

ใบหน้าของเขาเป็นแผลยาวจากเศษเทวรูปหมาน ดูน่าสะพรึงยิ่งนัก เขาไม่สนใจจะเช็ดคราบโลหิต เพียงมองไปยังชาวเผ่าทุกคน

“ไป!” ซูหมิงกล่าวเพียงหนึ่งคำ พยุงหนานซงและจ้าวเผ่าที่กำลังใกล้หมดลมหายใจส่งให้พวกเหลยเฉิน ก่อนเดินนำหน้าขบวน เป่ยหลิงยังไม่สิ้นใจ เขาเสียแขนไปหนึ่งข้าง ตอนนี้พยายามยันกายขึ้น มองเงาแผ่นหลังของซูหมิงเบื้องหน้าอย่างเงียบขรึม เขารู้สึกว่าตอนนี้ซูหมิงเปลี่ยนไป ทำให้เขาหวาดกลัว ราวกับมีกลิ่นอายพลังบางอย่างถูกปลุกขึ้นมาจากตัวซูหมิง…บางที ตอนแรกมันอาจยังไม่ตื่นขึ้น ทว่าตอนนี้…มันตื่นขึ้นมาแล้ว

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย แววตาเย็นชา เขาเรียนรู้การยอมรับความเจ็บปวดและความโศกเศร้า เขาเดินไปทีละก้าวอย่างมั่นคง นำขบวนชาวเผ่าเหมือนกับจ้าวเผ่าก่อนหน้านี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!