บทที่ 226 ไม่ใช่เซียนกระบี่งั้นหรือ? ฆ่ามันเสีย! (ปลาย)
คนพูดพลันหยุดชะงักเล็กน้อย พลางส่ายหน้าช้าๆ “ถ้าไม่เพราะความช่วยเหลือของอาจารย์ของเจ้า ข้าเองคงไม่มีหวังจะได้พัฒนาขั้นพลังอีกแล้วชั่วชีวิตนี้ มียอดฝีมือและคนที่ขยันหมั่นฝึกฝนมากมาย แต่ขาดเงินทองสำหรับใช้จ่ายในส่วนนี้……”
เยี่ยฉวนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าเข้าใจขอรับ!”
เสียงของจ้าวหอพูดต่อไปว่า “การฝึกยุทธ์เท่ากับผลาญเงินทอง เจ้าเองเวลานี้มีเรื่องต้องใช้จ่ายอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะการเป็นผู้ฝึกกระบี่ ซึ่งจะต้องใช้ทรัพยากรอีกมาก ถึงตอนนั้นเงินทองที่มีอาจหร่อยหรอ จนถึงขนาดสิ้นเนื้อประดาตัวเลยก็ได้!”
เยี่ยฉวนตอบเสียงเรียบ “บางทีเมื่อถึงเวลานั้น ข้าอาจต้องไปขอหยิบยืมจากสำนักอัปสรเมรัยนะขอรับ!” จ้าวหอแหงนหน้าหัวเราะเสียงดังลั่น “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ขอเพียงเจ้าเอ่ยปากข้ายินดีช่วยเต็มที่!” เยี่ยฉวนได้แต่หัวเราะเบาๆ ไปด้วยกัน
พลันจ้าวหอเหมือนนึกขึ้นได้ เขาชะงักกึกสีหน้าท่าทางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เออนี่แน่ะสหาย ข้าจะมาเตือนให้เจ้าระมัดระวังตัวด้วย!”
“หืม?” สีหน้าของชายหนุ่มแสดงออกว่าค่อนข้างประหลาดใจ
อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าได้ข่าวไม่สู้ดีจากสำนักใหญ่ ว่าดินแดนอันธกาลและสถานศึกษาฉางมู่ไม่ยอมยุติและเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ครั้งก่อน”
เยี่ยฉวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน “แม้แต่เซียนกระบี่ ยังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้เลยหรือขอรับ?”
จ้าวหอส่ายหน้าน้อยช้าๆ เสียงถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อไป “ได้บางส่วน! แต่หลายสิ่ง ณ ที่นั้นไม่เหมือนกัน!”
เขาหยุดนิดหนึ่งก่อนกล่าวว่า “จ้าวหอสำนักอัปสรเมรัยได้ส่งข่าวมาว่า มีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ดินแดนอันธกาลและฉางมู่ ขอให้อาจารย์ของเจ้าระมัดระวังตัวให้จงหนัก!” ถึงเซียนกระบี่จะกล้าแกร่งที่สุดและมีน้อยคนที่สุด ทว่าพวกเขาก็มิใช่ผู้ไร้เทียมทาน!
เยี่ยฉวนออกอาการขรึมเคร่งก่อนพยักหน้า “ขอบคุณมากที่ตักเตือน ท่านและทางสำนักสืบได้ความสิ่งใดอีกหรือไม่ขอรับ? หากมีสิ่งใด ช่วยแจ้งให้ข้าทราบด้วย!”
จ้าวหอพยักหน้ารับ “อันที่จริงทางสำนักของข้าก็เป็นห่วงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน อย่างไรเสียเจ้าช่วยแจ้งอาจารย์ให้ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่า อีกทั้งคนพวกนั้นถ้ามันจะบุก คงจะไม่มาในเวลากลางวัน! อีกทั้งมักใช้วิธีสกปรก! โดยเฉพาะดินแดนอันธกาล คนของที่นั่นต่างเป็นมือสังหาร เชื่อได้เลยว่าพวกมันไม่กระทำออกซึ่งหน้าแน่!”
เยี่ยฉวนตอบกลับ “เข้าใจแล้วขอรับ”
เสียงของอีกฝ่ายดังต่อไป “สหาย เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ทางเบื้องบนกำชับข้าให้มาบอกเจ้า ว่าหากประสงค์สิ่งใด ขอเพียงบอกมาคำเดียว สำนักอัปสรเมรัยจะส่งคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งล้วนแล้วแต่ยอดยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์มาทันที!”
มัดมือชก! เวลานี้ชัดเจนแล้วว่าสำนักอัปสรเมรัยไม่เพียงมัดมือชกต่อเยี่ยฉวนเท่านั้น หากยังมีเซียนกระบี่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเยี่ยฉวนด้วย!
นายเหนือหัวแห่งสำนักอัปสรเมรัยไม่ธรรมดาเลย ด้วยแท้ที่จริงแล้วคนพวกนั้นต้องการรวบรัดทั้งเซียนกระบี่และหนุ่มน้อยผู้อาจได้เป็นเซียนกระบี่ในอนาคตด้วย! พวกเขายอมเสีย เพื่อผลตอบแทนที่คุ้มค่า!
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เยี่ยฉวนห่อกำปั้น คารวะขอบคุณผู้อาวุโส “ขอบคุณสำหรับความเมตตาของทั้งท่านและสำนัก ถึงกระนั้นข้าไม่อาจเรียกร้องมากกว่านี้ อย่างไรเสียคงต้องแจ้งต่ออาจารย์ก่อน!”
คนเป็นจ้าวหอได้แต่ยิ้ม “ข้ารู้!” เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เซียนกระบี่ย่อมจะไม่ยอมติดหนี้บุญคุณของผู้ใด เมื่อยังไม่ได้รับการอนุญาตจากอาจารย์ของเยี่ยฉวน พวกเขาจะไม่กล้าส่งคนมาช่วยเหลือหนุ่มน้อยเบื้องหน้าคนนี้ และหลังจากสนทนาอยู่ต่อไปอีกสักพัก จ้าวหอชั้นเก้าจึงกลับออกไป
ในบริเวณหอโถงฉางหลาน จึงเหลือเยี่ยฉวนอยู่เพียงลำพัง! เยี่ยฉวนหันหลัง กลับออกไปที่ป่าต้นไผ่ด้านหลังภูเขา จากนั้นจึงทรุดกายลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นดินและเข้าสู่ภวังค์ ไปยังชั้นหนึ่งของหอคอยแห่งเรือนจำ
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองขึ้นไปบนชั้นยอดของอาคารหอ พลันเอ่ยพูดเสียงเบา “ผู้อาวุโสขอรับ ภายนอกมีคนอยากลองดีกับท่าน จะว่าอย่างไรขอรับ?
ภายในของเขาเวลานี้เกิดความรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่รู้ว่าเป็นเซียนกระบี่ แต่คนเหล่านั้นยังไม่รามือ คนที่กำลังจะมาล้วนเป็นยอดยุทธ์ ซึ่งมีพละกำลังแกร่งกล้ากว่าอาจารย์ใหญ่จี้เป็นแน่! เวลานี้พวกเขาทั้งสี่ ไม่มีทางรับมือคนพวกนั้นทั้งหมดไหว!
หลังจากนิ่งงันไปพักใหญ่ แต่ยังไร้วี่แววเสียงตอบรับ! ชายหนุ่มพลันเหยียดมุมปากสีหน้านิ่งเฉย “ผู้อาวุโส นับจากนี้จะมีพวกยอดยุทธ์กล้าแกร่งติดตามมาและประสงค์จะต่อสู้กับท่าน ท่านไม่เป็นกังวลเลยหรือขอรับ?”
ฉับพลันนั้น กระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งลอยละลิ่วลงมาจากทางขึ้นชั้นที่สอง เยี่ยฉวนปลดปล่อยปณิธานกระบี่ ด้วยการสัมผัสรับรู้แห่งปณิธานกระบี่ เขาจึงสามารถรับรู้ภาพที่ปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น เป็นรูปภาพอุ้งเท้าอยู่เต็มไปหมด!
เต็มแน่นด้วยภาพอุ้งเท้า! เมื่อเห็นเช่นนั้น เยี่ยฉวนสีหน้าหม่นหมองลงเล็กน้อย “นี่มันหมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
เพี๊ยะ! ทันทีที่เสียงดังก้อง ร่างของเยี่ยฉวนกระเด็นไปกระแทกกับผนังด้านหลังของหอคอยอย่างแรง ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืน มือกุมใบหน้าซีกหนึ่งซึ่งปรากฏรอยอุ้งเท้าแดงเถือก พลางลูบคลำป้อยๆ
พลันมีกระดาษอีกแผ่นปลิวลงมาจากชั้นที่สอง บนกระดาษยังคงมีรูปรอยอุ้งเท้าประทับมาจนเต็มหน้ากระดาษ ครานี้เยี่ยฉวนย่นหัวคิ้ว หน้ายู่ยี่ด้วยความสับสนใจยิ่ง “ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่า……”
เพี๊ยะ! คำพูดไม่ทันจบประโยค ร่างคนกระเด็นหวือไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย……ขณะที่เยี่ยฉวนค่อยขยับพยุงกายลุกขึ้น กระดาษอีกแผ่นลอยลงมาตกอยู่เบื้องหน้า ซ้ำบนหน้ากระดาษก็ยังเป็นเช่นเคย เต็มไปด้วยอุ้งเท้า!
เสียงคนชักมีน้ำโห “ปั้ดโธ่เว้ย อย่างนี้ใครจะไปตรัสรู้เล่า ขอรับ?! ท่านเขียนมาสักคำสองคำไม่ได้หรือ?!! มีแต่รอยอุ้งเท้าแบบนี้ ใครที่ไหนจะเข้าใจ ท่าน……”
เพี๊ยะ! เยี่ยฉวนปลิววืด……
“ผู้ยิ่งใหญ่ หยุดตีข้าเสียที……”
“…”
ณ เขตแดนต้าอวิ๋น ในแผ่นดินชิง
ในบริเวณสถานศึกษาฉางมู่ เบื้องหน้าศาลเจ้าฮ่าวหรัน ร่างของบุรุษสองคนยืนนิ่งเงียบไม่มีเสียงพูดจา คนหนึ่งสวมชุดขาว อีกคนสวมชุดดำ ทว่าทั้งสองคนกลับดูคล้ายคลึงกัน!
ด้วยท่าทางที่กำลังแหงนมองขึ้นไปที่หลังคาของศาลเจ้า ที่ซึ่งกระบี่สีเขียวปักตรึงอยู่เช่นนั้น
มีคนอีกกลุ่มยืนเยื้องไปทางเบื้องหลังคนชราทั้งสอง เป็นมู่ซ่วนชิงและคนของเขา
ต่อมามีเสียงคนชราสวมชุดสีขาวเอ่ยขึ้น “ถึงแม้กระบี่เล่มนั้นจะทั้งคมและดุดัน ทว่าไร้ซึ่งปณิธานกระบี่ หรือว่าปณิธานกระบี่จะสลายไปแล้ว……หากปณิธานกระบี่สามารถสลายได้จริง ย่อมหมายความว่าคนผู้นี้ไม่ใช่เซียนกระบี่! อาจเป็นราชันกระบี่!
ไม่ใช่เซียนกระบี่! เสียงนั้นสามารถดึงสายตาของมู่ซ่วนชิงและคนอื่น ให้หันไปทางคนชราสวมชุดขาว มองด้วยความฉงนสงสัย
พลันชายชราสวมชุดดำซึ่งยืนเคียงกับชายชราชุดขาวอีกด้านหนึ่งพยักหน้าช้าๆ “สถานศึกษาฉางมู่คุ้นเคยกับเซียนกระบี่ทุกคนที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ แต่ไม่เคยรู้จักเซียนกระบี่คนนี้ ฉะนั้นนางอาจจะไม่ใช่เซียนกระบี่ก็เป็นได้!”
ชายสวมชุดขาวส่งเสียงสำทับสนับสนุน “ในเมื่อไม่ใช่เซียนกระบี่ งั้นพวกเราจงสังหารนางเสีย!”
ชายสวมชุดดำพยักหน้าหงึก “ใช่แล้ว ฆ่ามัน!”
— จบตอน —



