บทที่ 242 ขอโทษ ข้าไม่อยากรู้! (ปลาย)
เยี่ยฉวน จี้อันซื่อและไป๋เจ๋อกลับเข้าไปที่หอโถงฉางหลาน เพราะมีโม่อวิ๋นฉีทำหน้าที่ดูแลการทดสอบคัดเลือก และเมื่อทั้งสามคนเข้านั่งประจำที่โต๊ะ ชายหนุ่มพลันหันไปทางจี้อันซื่อ “ข้าขอให้สำนักอัปสรเมรัยส่งพ่อครัวมาช่วยสองสามคน เจ้าช่วยดูแลเรื่องนี้ก็แล้วกัน!” หญิงสาวพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจ “ได้!”
ในตอนนั้นไป๋เจ๋อถามขึ้นว่า “เออนี่พี่หัวขโมยเยี่ย เจ้าหาคนงานมาทำงานบ้านงานซักล้างของศิษย์ใหม่หรือยัง?” คนถูกถามส่ายหน้า และตอบว่า “ข้าว่าไม่จำเป็น งานบ้านอย่างงานซักล้างและอะไรทำนองนี้ พวกศิษย์ใหม่ต้องดูแลเอง พวกเขาเข้ามาเพื่อศึกษาเล่าเรียนไม่ได้มาพักผ่อน” ไป๋เจ๋อผงกศีรษะรับ “จริงด้วย!”
เสียงเยี่ยฉวนพูดต่อไปว่า “ไป๋เจ๋อ สักพักคงจะมีพวกบัณฑิตผู้แก่เรียนเดินทางมา คนเหล่านี้แม้จะไม่ได้กล้าแกร่งทางพลังกาย แต่กล้าแกร่งในวิชาความรู้ เจ้าช่วยไปรับพวกเขามาทีและย้ำเจ้ากะล่อนโม่อวิ๋นฉีให้แจ้งศิษย์ทุกคนว่าต้องให้ความเคารพบัณฑิตเหล่านี้ ใครไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกไล่ออกและหมดสิทธิ์เข้าเป็นศิษย์ที่นี่อีกต่อไป! และไม่เฉพาะศิษย์เท่านั้น พวกเราก็ต้องให้ความเคารพเหล่าบัณฑิตเช่นกัน ห้ามแสดงกิริยาหยาบคายต่อพวกเขาเด็ดขาด!”
คนฟังพยักหน้ารับ “เข้าใจ!” เยี่ยฉวนพูดให้ได้ยินว่า “การฝึกฝนพลังให้ได้ดีต้องฝึกฝนจิตใจก่อน นี่ถือเป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนต้องยึดถือให้จงมั่น ซึ่งพวกอาจารย์อย่างเราก็เหมือนกัน”
คนตัวใหญ่มีท่าทางไม่แน่ใจบางอย่าง พลันเอ่ยถามว่า “พี่หัวขโมยเยี่ย เจ้าตั้งใจจะให้ฉางหลานเป็นสถานศึกษาที่ใหญ่ที่สุดแห่งโลกชิงฉางจริงหรือ?”
ชายหนุ่มตอบทันที “ถ้าอยากเป็นใหญ่ ต้องใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง!” ไป๋เจ๋อหันมามองแววตามุ่งมั่น “ตกลง เราจะต้องเป็นที่หนึ่ง!” จี้อันซื่อนั่งเงียบอยู่ตรงกันข้าม สายตาจับแน่วที่เยี่ยฉวน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานถึงเวลากลางคืนท้องฟ้ามืดสนิท ผู้สมัครทุกคนเข้าทำการทดสอบครบถ้วน! ผู้ที่ผ่านการประเมินมีเพียง 42 คน!
ณ ลานด้านหน้าหอโถงฉางหลาน
โม่อวิ๋นฉีเดินนำหน้าคนสี่สิบสองที่ผ่านการทดสอบเข้ามาหยุดตรงหน้าเยี่ยฉวน ทั้งหมดพร้อมกันค้อมกายแสดงคารวะและเปล่งวาจา “คารวะอาจารย์ใหญ่!”
ชายหนุ่มพยักหน้าหงึก “ตอนนี้พวกเจ้าเข้ามาเป็นศิษย์ฉางหลานแล้ว เราจึงเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เวลานี้ข้ายังไม่กำหนดกฎระเบียบชัดเจนแต่จะมีขึ้นในไม่ช้า เวลานี้สถานศึกษาฉางหลานมีอาจารย์สี่คน ก็คือพวกเราทั้งสี่ ในภายหน้าข้าจะคัดเลือกอาจารย์ด้วย ตอนนี้พวกเจ้าอยากฝึกอะไรก็ฝึกได้ตามสบาย”
เมื่อพูดมาถึงตอนนี้พลันเรียกเสียงหัวเราะดังเบาๆ จากกลุ่มศิษย์ใหม่ เยี่ยฉวนหันไปทางไป๋เจ๋ออีกด้านถามว่า “พวกบัณฑิตมาหรือยัง?” คนถูกถามขยับตัวตั้งท่าจะพูด ทันใดนั้นกลุ่มคนสามคนปรากฏตัวและเดินตรงเข้ามาช้าๆ
คนกลุ่มนี้เป็นชายชราสองและสตรีสวมชุดดำที่นั่งบนรถเข็น สำหรับสตรีชุดดำเยี่ยฉวนเคยพบนางมาก่อน ด้วยนางก็คือลู่จิ้วเก๋อ
เยี่ยฉวนชะงักกึก ก่อนจะรีบกระวีกระวาดออกมาต้อนรับ “อาจารย์ลู่ ไฉนจึงเป็นท่าน?” ลู่จิ้วเก๋อถามยิ้มๆ “ทำไม ไม่ต้อนรับข้าหรือ?”
ชายหนุ่มรีบสั่นศีรษะและคลี่ยิ้มกว้าง “ต้อนรับสิขอรับ! แต่……ท่านแน่ใจหรือว่าจะมาเป็นอาจารย์ของสถานศึกษาฉางหลาน? ข้าขอบอกก่อนว่าที่นี่ไม่มีปัญญาจ่ายค่าจ้างแก่ท่านหรอกนะ!”
สตรีชุดดำหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไร” จากนั้นก็หันไปด้านข้างพร้อมใช้นิ้วมือเรียวงามไปทางชายชราสองคนที่ยืนอยู่ “ข้าขอแนะนำ สองคนนี้ชื่อคือโม่หยวน และเฟิ่งหลาน เป็นสุดยอดบัณฑิต”
ได้ยินเช่นนั้นเยี่ยฉวนรีบสะกิดไป๋เจ๋อและคนอื่นให้แสดงคารวะต่อชายชราทั้งสองทันที เมื่อเห็นเยี่ยฉวนและคนอื่นแสดงความเคารพ ทั้งคู่จึงหันมายิ้มแก่กันก่อนจะคารวะตอบต่อเยี่ยฉวนและพวก
จากนั้นเยี่ยฉวนจึงพูดว่า “ผู้อาวุโสทั้งสองและอาจารย์ลู่ พวกท่านทั้งสามช่วยดูแลด้านวิชาการในชั้นเรียน ส่วนว่าจะสอนวิชาอะไรบ้างนั้น ขึ้นอยู่กับพวกท่านจะตัดสินใจขอรับ”
พลันมีเสียงของชายชราหนึ่งในสองคนที่ชื่อโม่หยวน เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ายังสงสัย” ชายหนุ่มรีบหันมา “เชิญถามได้เลย ขอรับ”
โม่หยวนถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงอยากให้มีการสอนวิชาการในชั้นเรียน? เท่าที่เคยรู้สถานศึกษาฉางมู่และสถานศึกษาฉางหลาน ได้ยกเลิกการเรียนการสอนวิชาการมาหลายร้อยปีแล้ว”
เมื่อได้ยินคนถาม เยี่ยฉวนนิ่งคิดชั่วขณะ “การจะวัดว่าคนเป็นคนโดยสมบูรณ์ หาใช่ตัดสินที่ความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงประการเดียว การมีชีวิตอยู่ในโลกในสังคมทุกวันนี้ ความกล้าแกร่งสำคัญ ข้าไม่เถียง แต่อุปนิสัยและความประพฤติก็สำคัญไม่แพ้กันน่ะขอรับ!” ได้ยินคำตอบแล้ว ชายชราโม่หยวนผงกศีรษะน้อยๆ “สมัยนี้หายากที่คนจะคิดอย่างเจ้า……หายากจริงๆ!”
เยี่ยฉวนค้อมกายพลางห่อกำปั้นคารวะคนทั้งสาม “ผู้อาวุโส สถานศึกษาฉางหลานเพิ่งบูรณะฟื้นฟูขึ้นใหม่ ยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก หากพวกข้าต้อนรับขาดตกบกพร่องไปบ้าง ขอได้โปรดให้อภัย!”
โม่หยวนพูดยิ้มๆ “นั่นไม่สำคัญหรอก ว่าแต่พวกตำรับตำรา……” ชายหนุ่มรับตอบทันที “โปรดวางใจ ข้าขอให้สำนักอัปสรเมรัยช่วยจัดหาตำรามาให้แล้วขอรับ ยังไงข้าต้องรบกวนท่านเป็นธุระดูแลเรื่องตำราด้วย!” อีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบเครายาว “ดี!”
ในตอนสุดท้ายเยี่ยฉวนจึงเดินนำคนทั้งสามออกมาเบื้องหน้ากลุ่มศิษย์ สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักอาจารย์ของเราทั้งสามท่าน ซึ่งจะรับผิดชอบการเรียนการสอนด้านวิชาการ และจะมีการประเมินผลการเรียนเช่นกัน ถ้าใครสอบตกสองครั้งติดกัน คนคนนั้นจะต้องถูกไล่ออกอีกทั้งยังหมดสิทธิ์ในการสมัครเป็นศิษย์ฉางหลานอีกต่อไป!”
การเรียนวิชาการ? พลันศิษย์ใหม่ทั้งหมดเมื่อได้ยินคนพูด พากันสีหน้าสลดวูบ เสียงเยี่ยฉวนดังต่อมาอีก “ใครมีคำถามอีกไหม? ถ้ามี ก็ออกมาสู้กันตัวต่อตัว!”
ทุกคนนิ่งงัน “……”
โม่อวิ๋นฉีเหยียดมุมปาก เจ้าพี่หัวขโมยเยี่ย นี่มันช่าง……
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตั้งข้อสงสัย เยี่ยฉวนพยักหน้าและทำท่าอ้าปากจะพูด ทว่าทันใดนั้นพลันมีเสียงตะโกนเจือเสียงหัวเราะดังมาแต่ไกล “พวกเรามีคำถาม!”
ทุกคนพากันหันไปทางที่มาของเสียง ไม่ไกลนักคนสี่คนปรากฏตัวเดินตรงเข้ามาช้าๆ คนนำหน้าสวมผ้าคลุมหรูหราในมือถือพัดพับและที่เอวมีหินหยกขาวแผ่นเรียบเหน็บไว้
ชายคนสวมผ้าคลุมหรูหรามองตรงมาที่เยี่ยฉวน ริมฝีปากคลี่ยิ้มเย้ยหยัน “เหอะ อาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางหลานเป็นคนตาบอด อ้อจริงสิเมื่อกี้เจ้าถามว่าใครมีคำถามนี่นา เผอิญข้ามี……”
ขณะนั้นร่างของเยี่ยฉวนหายไปจากที่เฉียบพลัน ทันทีที่คนปรากฏอีกครา เขาก็ได้ออกเผชิญหน้าชายที่สวมผ้าคลุมแล้ว ทำให้สีหน้าของผู้มาใหม่แปรเปลี่ยนถึงกับซีดเผือด..ทว่าเพียงแค่คิดว่าจะล่าถอยเท่านั้น กระบี่หนึ่งก็พุ่งปักเข้าตรงกลางหว่างคิ้วของมันพอดี!!
นัยน์ตาทุกคู่ที่มองดูเหตุการณ์ เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง!
ขณะที่เยี่ยฉวนเก็บกระบี่คืนสู่ฝัก เสียงพูดแผ่วผ่านจากริมฝีปากพอให้ได้ยิน “มีคำถามเหรอ? ขอโทษที่ข้าไม่อยากรู้!”
— จบตอน —



