บทที่ 296 ข้าอยากเด็ดหัวคน! (ต้น)
บรรยากาศทั่วบริเวณยามนี้ มีแต่ความสงัดเงียบ
เยี่ยฉวนยืนจังก้าในมือมีกระบี่หลิงซิ่ว ด้านหลังคือหลิงฮั่นและคนอื่น ขณะเดียวกันกระบี่หลิงซิ่งเปล่งลำแสงกระบี่ทอประกายเย็นยะเยือก คมกระบี่แวววาว!
ยามใดที่เยี่ยฉวนแสดงท่าจับกระชับกระบี่เช่นนี้ ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อผู้ที่ได้พบเห็น ปานประหนึ่งจะสามารถทะลวงฟ้าได้กระนั้น
อีกคนที่ยืนถัดไปทางด้านขวามือของเยี่ยฉวนคือลู่ป้านจวง ซึ่งบัดนี้เปลือกตาหรี่ปรือกึ่งปิดกึ่งเปิดชอบกล เสมือนหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีลอยู่ในสภาวะบำเพ็ญตบะก็ปาน……ทว่าในความเป็นจริง หญิงสาวกำลังเข้าสู่ภวังค์เพราะความง่วง อยากหลับเต็มทีแล้ว!
อีกด้านหนึ่ง เจียงจิ่วนำกำลังทหารหมู่หนึ่งขึ้นไปสังเกตการณ์อยู่บนกำแพงเมือง สตรีนางยังคงสวมเกราะเงิน สายตาจ้องจับลงมาที่คนทางเบื้องล่างคือเยี่ยฉวน ขณะที่ตามอง ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างเผลอไผล รอยยิ้มทำให้ใบหน้าเคร่งนั้นอ่อนโยนลงไปถนัดตา!
ใต้กำแพงด้านล่าง มีเพียงแสงเดือนสาดส่องเลือนลาง ร่างเงาประหลาดปรากฏวูบวาบพอให้มองเห็น เวลาเช่นนี้สำหรับเหล่ามือสังหารถือว่าได้เปรียบ
ข้อได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงด้วยสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย! อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาพวกมันกลับนิ่งเงียบอย่างน่าประหลาด หามีผู้ใดเริ่มจู่โจม ด้วยมันเองยังรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติของอะไรบางอย่าง!
ในขณะนั้น หลิงฮั่นและเพื่อนๆ กำลังเข้าสู่ขั้นตอนบรรลุขั้นพลัง ซึ่งทั้งเยี่ยฉวนและทหารแคว้นเจียงควรต้องออกมาคุมเชิงระวังภัย ทว่าบัดนี้ เยี่ยฉวนกลับสั่งให้คนทั้งหมดออกมานอกเมือง ทำการบรรลุขั้นพลังโดยเปิดเผยต่อสาธารณชนโดยมิได้มีทหารรักษาการณ์แม้แต่คนเดียว ช่างน่าแปลกนัก
ต้องมีบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น! ในขณะนั้นปราศจากมือสังหารที่เริ่มลงมือแม้แต่คนเดียว ขณะที่เวลาเคลื่อนคล้อยไปช้าๆ
ภายใต้แสงเดือนส่องสว่าง หลิงฮั่นและคนอื่นๆ ต่างฮึกเหิมในการบรรลุขั้นผสานเทพ โดยปราศจากสิ้นความหวาดกลัวทั้งมวล เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในเยี่ยฉวนและลู่ป้านจวง
กระบี่หลิงซิ่วยังคงกวัดแกว่งอยู่ในมือของเยี่ยฉวน และบางครั้งก็เปล่งประกายรัศมีกระบี่ออกมา ขณะที่เยี่ยฉวนหันไปมองรอบด้าน จึงพบว่าใครบางคนแอบแฝงอยู่ในมุมมืดรอบบริเวณ อย่างไรก็ตาม คนที่แอบแฝงพวกนั้นต่างไม่กล้าเข้ามาใกล้ จึงเข้าใจได้ว่านับตั้งแต่ที่เยี่ยฉวนสังหารขุนศึกเต๋าแห่งดินแดนอันธการ เหล่ามือสังหารล้วนเข็ดขยาดไปตามกัน!
ในตอนนั้นเยี่ยฉวนตัดสินใจเดินเข้าไปหาลู่ป้านจวง เมื่อถึงที่หญิงสาวซึ่งยืนตัวตรงไม่กระดิกกระเดี้ย หากศรีษะตกพับลงมาเบื้องหน้าเล็กน้อย และเมื่อฟังให้ดีมีเสียงกรนแผ่วเบาดังลอดมาให้ได้ยินอีกต่างหาก……
เมื่อเยี่ยฉวนเห็นคนตรงหน้าถึงกับตะลึงงัน พลันค่อยเอื้อมมือไปกระตุกแขนเสื้อ “อย่าเพิ่งหลับ จริงจังหน่อยสิ!” ลู่ป้านจวงขยับแลบลิ้นเลียริมฝีปาก แต่ไม่สนใจคนตรงหน้าขณะเสียงกรนเบาดังมาเข้าหูเยี่ยฉวน
ชายหนุ่มหน้ามุ่ยพูดไม่ออกได้แต่กรอกตา เฮ้อ ผู้หญิงคนนี้พึ่งพาไม่ได้เลยสินะ! เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร เยี่ยฉวนจึงได้แต่หันหลังเดินกลับไปอย่างเซ็งๆ จากนั้นจึงเริ่มฝึกฝนทักษะกระบี่! กระบี่เคลื่อนไหวเรียบง่าย-พุ่งออก ยก แทง ฟัน……เคลื่อนไหวง่าย แต่เป็นการโจมตีที่รับมือไม่ง่ายเลย
ตอนนี้เยี่ยฉวนเป็นปรมาจารย์กระบี่ ประกอบกับมีความเข้าใจในกระบี่อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา! ทักษะหนึ่งกระบี่ชี้ชะตาคือทักษะแห่งความเชื่อในสิ่งกั้นขวางกระบี่ การออกปะทะมีจุดหมายคือสังหารศัตรู! ควบคุมอย่างไร? ผู้ฝึกกระบี่ต้องมีความเชื่อมั่นอย่างไร? การออกปะทะตรงไปตรงมานั่นคือความเชื่อมั่น!
หากผู้ฝึกกระบี่ขาดความมั่นใจในตนเอง พลังปะทะจะกลับกลายอ่อนเบาและไม่ทำให้ถึงตาย ฉะนั้น ความมั่นใจจึงเป็นหนทางแห่งกระบี่โดยแท้จริง หรือเป็นส่วนหนึ่งของหนทางแห่งกระบี่!
เมื่อคิดเช่นนั้น เยี่ยฉวนรู้สึกเสมือนร่างกายได้ถูกปลดปล่อย พลันกระบี่หลิงซิ่วสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทันใดนั้นกระบี่สลัดหลุดออกจากอุ้งมือและพุ่งทะยานโดยฉับพลัน! ยามนี้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณ ต่างพุ่งสายตาไปยังกระบี่หลิงซิ่วเป็นจุดเดียว!
กระบี่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งไปพร้อมสายลำแสงกระบี่! กระบี่เข้าใจคน! จิตสำนึกภายในใจของเยี่ยฉวนสามารถมีอำนาจเหนือกระบี่หลิงซิ่ว
ผู้ฝึกกระบี่! ภาพของกระบี่ได้ความตื่นเต้นตื่นตาให้แก่ผู้พบเห็น ไม่เว้นแม้แต่คนที่อยู่บนกำแพง! นี่คือผู้ฝึกกระบี่แห่งแคว้นเจียง! เจียงจิ่วนัยน์ตาเป็นประกายขณะจับตามองภาพอันน่าตื่นเต้น
ในขณะนั้น เยี่ยฉวนแบมือยื่นออกไปข้างหน้า ขณะเดียวกัน กระบี่หลิงซิ่วพุ่งลงมาจากเบื้องบนอากาศมองเห็นเพียงแสงแล่บแปล๊บปล๊าบ และในที่สุดก็มาสะดุดหยุดนิ่งลงบนฝ่ามือของเขา
ชายหนุ่มฉวยกระบี่หลิงซิ่วจับกระชับแน่น พลันส่ายหน้าไปรอบตัว จากนั้นจึงส่งเสียงกร้าว “มีใครกล้าพอจะออกมาสู้กับข้าไหม?”
“กล้าก็ออกมาสู้กัน!” รอบข้างไร้สรรพเสียง ไร้ความเคลื่อนไหว!
เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เยี่ยฉวนยกกระบี่และชี้ปลายไปทางมุมมืดมิดห่างออกไป พลางกล่าวเสียงเหี้ยมเกรียม “ข้าขอท้าประลอง วันนี้อยากจะเด็ดหัวคนเล่นเสียหน่อย!”
ทหารและคนบนกำแพงสีหน้าตื่นตะลึง “……” ถึงกระนั้นก็เถอะ ที่เชิงกำแพงหาได้มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย!
ทันใดนั้น กระบี่หลิงซิ่วสะบัดออกจากอุ้งมือของเยี่ยฉวน ปรากฏเป็นแสงเป็นลำสว่างเจิดจ้าพุ่งปักลงตรงพื้นดินไม่ห่างจากคนนัก จากนั้น ชายหนุ่มสาวเท้าออกไปราวสี่จั้งและผายมือไปข้างหน้า “นี่ไง ข้าไม่ใช้กระบี่ก็ได้ วอนพวกเจ้าออกมาเจอกันหน่อย!”
สิ้นเสียงพูด ร่างคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากเงามืดฟากตรงข้าม เขาเป็นคนรุ่นหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่า สวมผ้าคลุมสีขาว ใบหน้าจัดว่าหล่อเหลาพอใช้ ขณะที่คนซึ่งเพิ่งเผยตนเดินตรงมาทางเยี่ยฉวน สายตาเหลือบมองอย่างประเมินพลางพูดว่า “ข้าเป็นทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแผ่นดินชิง……” ทันใดนั้น เยี่ยฉวนร่างหายวาบ
ชายหนุ่มคนใหม่สังเกตเห็นเข้า เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะเดียวกันได้ผลักฝ่ามือเหวี่ยงออกไปข้างหน้า ลำแสงประหลาดแผ่กระจายออกจากฝ่ามือพุ่งออกปะทะข้างหน้าทันที ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หมัดของเยี่ยฉวนโผล่พุ่งกระแทก
ปะทะรุนแรง! ตู้ม!
พลังฝ่ามือปะทะพลังหมัด ส่งให้ร่างของชายชุดขาวและเยี่ยฉวนผงะถอยหลังออกไปในเวลาเดียวกัน และหยุดลงพร้อมกันอย่างรวดเร็ว สายตาของคนชุดขาวจ้องเขม็งเยี่ยฉวน เพียงครู่เดียว ร่างคนกลับกลายพร่าเลือน ในพริบตาเดียวเงาปริศนาได้ทะยานวาบตัดข้ามลานกว้างพุ่งเข้าหาเยี่ยฉวน!
อีกด้านหนึ่งเยี่ยฉวนค่อยๆ กำหมัดขวาเกร็งกำปั้น เปรี๊ยะ! พื้นดินใต้ฝ่าเท้าเหยียบยืนเริ่มปริแตกทันที ทันใดนั้น แขนเสื้อข้างเดียวกับหมัดค่อยฉีกขาดออกจากกัน บัดนี้แขนขวาของเยี่ยฉวนพองขยายใหญ่ขึ้น ความเกร็งเขม็งของกล้ามเนื้อจนกระทั่งมองเห็นเส้นเลือดดำซึ่งปูดโปนอยู่ใต้ผิวหนังอย่างชัดเจน สร้างความหวาดหวั่นแก่ผู้พบเห็นไม่น้อย



