บทที่ 301 คอยข้านะ! (ต้น)
แข่งความหนักแน่นและมั่นคง อย่างนั้นหรือ? เยี่ยฉวนไม่เคยกลัวใคร! และที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยพบคู่ต่อสู้เช่นนี้!
สตรีเสื้อเขียวชะงักนิ่ง ท่าทางของนางเองก็ตกตะลึงไม่น้อย เห็นได้ชัดว่านางไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้จากชายหนุ่มตรงหน้า พลันชั่วพริบตาหญิงสาวทะยานวาบมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า จากนั้นจึงเอื้อมมือใช้ปลายนิ้วชี้สัมผัสเชยคางของเยี่ยฉวนแผ่วเบา ริมฝากปากเรียวบางบิดยกยิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์อย่างไม่ปกปิด “เจ้าทำได้งั้นเหรอ? จริงๆ นะ?”
แน่นอนนางไม่คิดจะยอมแพ้! เยี่ยฉวนเบนหน้าไปทางลู่ป้านจวง ฝ่ายนั้นจึงตอบทันที “เอาเลย ข้าจะนั่งดูก็แล้วกัน”
เจอคำตอบทำเอาชายหนุ่มถึงกับอึ้ง “……”
คนเสื้อเขียวกระพริบตา นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ “หรือว่าเจ้าสนใจร่วมด้วยไหมล่ะ?” เยี่ยฉวนส่ายหัวดิก สตรีผู้นี้กล้าแกร่งนัก!
เขาตัดสินใจยุติการพูดจาสองแง่สามง่ามกับสตรีชุดเขียวทันที จากนั้นจึงทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นและควักโอสถเทพประสานมาโยนใส่ปาก
ยาสมานแผล! การต่อสู้แสนทรหดก่อนหน้าไม่เพียงบั่นทอนพลังกายให้ถดถอย ทว่ายังเกิดทิ้งรอยบาดแผลไปทั่วร่างโดยเฉพาะที่แขนซึ่งบวมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด! ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก่อนในตอนนี้คือการรักษาแผล! เพราะเยี่ยฉวนไม่อาจรู้ได้ว่าการจู่โจมรอบใหม่ของสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการจะเกิดขึ้นเมื่อใด!
ลู่ป้านจวงทรุดกายลงนั่งที่พื้นข้างๆ และเอนหลังพิงกับก้อนหินใหญ่ จากนั้นคนทำท่าเหมือนจะผล็อยหลับไปทันที……งีบหลับ!
หญิงสาวไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก คราวที่นางประมือกับชายวัยกลางคน ด้วยคู่ต่อสู้พยายามเอาชนะอย่างเต็มที่ทั้งคู่จึงต่อสู้กันอย่างดุเดือด เวลานั้นนางหมายสังหารอีกฝ่าย แต่ชายวัยกลางคนก็ไม่เปิดโอกาสให้นางกระทำได้สำเร็จ คู่ต่อสู้พยายามหลบหลีกได้จนแล้วจนรอด และเมื่อถึงคราวที่นางเป็นฝ่ายหลีกถอยบ้าง ชายคนนั้นก็รุกไล่จนทัน……
นางไม่ได้รับบาดเจ็บ แค่เหน็ดเหนื่อยและง่วงเท่านั้นเอง สตรีเสื้อเขียวมองลู่ป้านจวงพลางส่ายหน้า เสียงรำพึงกับตนเอง “เจ้าอาจทำผิดพลาดครั้งใหญ่กับตระกูลลู่ถึงได้ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่มันก็ทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น!” จากนั้นก็ทรุดตัวลงข้างๆ ก่อนจะเอนกายลงซบลู่ป้านจวง
อีกฟากหนึ่ง หลิงเยว่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดินและเปลือกตาปิดสนิทในท่าสมาธิกรรมฐาน คนที่นั่งอยู่ด้านหลัง หลิงฮั่นและคนอื่นๆ เริ่มมีแสงสว่างเป็นประกายกล้าแกร่งปรากฏออกเรื่อยๆ……
ภายในเมือง
ภายหลังจากย้อนกลับเข้าประตูเมือง เจียงจิ่วมุ่งหน้ากลับไปยังค่ายพักทันที และเมื่อคนเดินผ่านประตูค่ายพลันชายชราคนหนึ่งปรากฏขึ้นเงียบเชียบ ก่อนคนผู้เข้ามาแสดงคารวะต่อเจียงจิ่วก่อนจะเอ่ยว่า “แคว้นเย่วและแคว้นชูทำท่าจะถอยทัพ แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ กลายเป็นว่าทั้งสองแคว้นเพียงถอยไปตั้งค่ายห่างจากชายแดนไปไม่ไกลนัก ถึงตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนพลอีกพ่ะย่ะค่ะ!”
คนฟังนิ่วหน้าหรี่นัยน์ตาอย่างใช้ความคิด “เป็นเพราะอาณาจักรต้าอวิ๋นมีความเคลื่อนไหวสินะ” ชายชราพยักหน้า “ฮ่องเต้ก็ทรงคิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ แม้อาณาจักรต้าอวิ๋นจะอยู่ห่างจากแคว้นเรามาก แต่ถ้าพวกมันจะจู่โจมขึ้นมาจริงๆ เกรงว่า……” เมื่อพูดถึงตอนนี้ คนพูดชะงักหยุดกระทันหันจากนั้นจึงเงยหน้ามองเจียงจิ่ว และไม่เอ่ยวาจาต่อไปอีก
หญิงสาวทรุดลงบนม้านั่ง นัยน์ตาวาบวับแฝงรอยเศร้า อาณาจักรต้าอวิ๋น! อาณาจักรยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินชิง! ถ้าอาณาจักรต้าอวิ๋นต้องการเข้าร่วมสงครามต่อต้านแคว้นเจียงจริงแล้วล่ะก็ ชะตากรรมของแคว้นเจียง……
ณ แคว้นหนิง
ภายในโถงท้องพระโรงวังหลวง ทัวป้าเหยียนสวมฉลองพระองค์เสื้อคลุมขนปุยพองฟู กำลังนั่งพิงพนักบัลลังก์ศีรษะมังกร บนโต๊ะมีอนุสรณ์เตือนความจำวางเรียงรายอยู่เบื้องหน้า
ครู่ต่อมา เงาดำร่างหนึ่งทะยานเข้ามาที่กลางโถงท้องพระโรง ทันทีที่เงาดำลอยผ่านทางเข้าออก พลันวูบเข้าหามุมมืดแห่งหนึ่งภายในโถงนั้น ทัวป้าเหยียนเงยหน้าหันไปทางมุมมืด “มีความคืบหน้ายังไงบ้าง?”
เสียงพูดดังมาจากเงาดำ “ทูลฝ่าบาทแคว้นถังพ่ายแล้วเพคะ ตอนนี้แคว้นเจียงควบคุมตัวฮ่องเต้ถังมู่และแม่ทัพใหญ่เป่ยเสี่ยวหู่นำไปกุมขังที่แคว้นเจียง ข้าคิดว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการเจรจาแต่อย่างใด ถึงอย่างไรการที่คนสำคัญสองคนถูกจับ แคว้นถังจึงเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือนั่นเอง ทางที่ดีเราน่าจะแค่จับตาดูอยู่เฉยๆ ว่าแคว้นเจียงจะเขมือบมันเมื่อไรจะดีกว่าเพคะ”
ทัวป้าเหยียนกล่าวเสียงเบา “พูดแต่ประเด็น!” ร่างเงาค้อมกายคารวะก่อนรายงานต่อไป “คนชื่อเยี่ยฉวนเป็นคนออกต้านทานการจู่โจมของฉางมู่และดินแดนอันธการเพคะ!” ทัวป้าเหยียนถามเสียงเรียบ “พวกเจ้าได้เข้าช่วยเหลือปะทะไหม?”
ร่างเงาสั่นหน้า “พวกเราไม่ได้เข้าจู่โจมเพคะ เพราะตอนนั้นมีสองสุดยอดฝีมือจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เข้าจู่โจมเสียก่อน อย่างไรก็ตามความเห็นของข้าคิดว่า ดินแดนอันธการอันธการและฉางมู่จะไม่ยอมวางมือ อีกทั้งส่งคนแฝงเข้าไปทางชายแดนแคว้นเจียง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีคนของอาณาจักรต้าอวิ๋นรวมอยู่ด้วยเพคะ”
อาณาจักรต้าอวิ๋น! เมื่อนึกได้เช่นนี้นัยน์ตาคู่งามหรี่ลงเล็กน้อย แววตาเย็นเยียบทอประกายวาววับ “อาณาจักรต้าอวิ๋น……เหตุใดฮ่องเต้เกาซานจึงยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้……”
จากนั้นคนที่นั่งบนบัลลังก์นิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ ทันใดนั้นอะไรบางอย่างฉายวาบในแววตา “เขาอาจต้องการฉวยโอกาสนี้รวมแผ่นดินชิงเป็นหนึ่งเดียวก็ได้?”
แผ่นดินชิงหนึ่งเดียว!
ทันใดนั้นทั่วทั้งโถงพระโรงพลันเงียบกริบ!
สักพักใหญ่ ทัวป้าเหยียนหันไปออกคำสั่งต่อร่างเงาในมุมมืด “คอยจับตาดูแคว้นเจียงและเยี่ยฉวนให้ดี ถ้าเกิดอันตราย พวกเจ้าต้องเข้าไปช่วยทันที”
เสียงคนในเงามืดรับคำสั่งอย่างลังเล ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท ถ้าฝ่ายเราจู่โจมข้าเกรงว่าจะสร้างความขัดเคืองให้กับสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการ การสร้างศัตรูซึ่งเป็นสองมหาอำนาจเพียงเพื่อคนที่ไม่ใช่คนแคว้นเรา ข้าเกรงว่าเรื่องนี้……”
ฉับพลันนั้น สายตาคมกริบปานใบมีดตวัดขวับไปทางเงามืด “อะไรนะ นี่คิดจะสอนข้าหรือ?” คนในเงามืดเข่าอ่อนทรุดฮวบลงไปนั่งคุกเข่าลงกับพื้นทันที “มิบังอาจเพคะ!”
ทัวป้าเหยียนเหลือบมองไปทางด้านข้าง “ท่านป้าเจียง!” สิ้นเสียงทรงอำนาจ สตรีสูงวัยคนหนึ่งและชายชราปรากฏตัวขึ้นภายในท้องพระโรง
สตรีสูงวัยก้าวออกมาเบื้องหน้าก่อนค้อมกายแสดงคารวะต่อทัวป้าเหยียน “ฝ่าบาทเป็นความผิดของข้าเอง ที่ไม่ได้สั่งสอนนางให้ดีกว่านี้”
คนบนที่นั่งบัลลังก์จับตามองก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าห่วงใยแคว้นหนิงจึงกล้าออกความเห็น ฉะนั้นสมควรจะได้รางวัล จงไปที่หอตำรายุทธ์ และเลือกคัมภีร์ทักษะยุทธ์ไปหนึ่งเล่ม” เมื่อได้ยินรับสั่งเช่นนั้น คนที่แฝงกายในเงามืดพลันกล่าวรวดเร็ว “ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท”
จากนั้นมีเสียงของทัวป้าเหยียนกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นมือสังหารอีกทั้งเป็นนักรบพญายม แต่ไม่ใช่ขุนนาง ข้าต้องการคนที่เป็นเสมือนกระบี่สังหารคนเพื่อปกป้องข้าและแคว้นหนิง มิใช่คนปากมาก เมื่อได้คัมภีร์ทักษะยุทธ์แล้วจงไปลาออกจากหน่วยองครักษ์เงา ย้ายไปทำหน้าที่เฝ้าระวังแทน!”
ทันทีที่ได้ยินพระประสงค์ของทัวป้าเหยียน ร่างเงาสะดุ้งเฮือกและทรุดฮวบลงไปคุกเข่าที่พื้นทันที ขณะที่คนทำท่าอ้าปากจะเอ่ยวาจา พลันท่านป้าเจียงซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งส่งเสียงตวาดดังปานฟ้าผ่าขึ้นก่อน “ไสหัวไป!” คนในเงามืดตัวสั่นงันงก รีบถอยกลับก่อนจะหายวับไป ท่านป้าเจียงหันมามองทัวป้าเหยียน ก่อนจะค่อยค้อมกายลงคารวะขอให้อภัย “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง”



