บทที่ 342 ข้าชื่อเยี่ยฉวน! (ต้น)
ขุนศึกเต๋า!
หลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับขุนศึกเต๋าของสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธกาล ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของเยี่ยฉวน ความคิดที่จะสร้างกองกำลังขุนศึกเต๋าของฉางหลาน และเมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพเพลิงโลกันตร์ครั้งล่าสุด เยี่ยฉวนจึงตัดสินใจได้ในอันที่จะทำให้เป็นจริงทันที
สถานศึกษาฉางหลานต้องมีขุนศึกเต๋าที่แข็งแกร่งเป็นของตัวเอง! ตอนนี้เขาก็มีกำลังทรัพย์……และแม้วันนี้จะไม่ได้มีมากมายนัก แต่เขาจะสามารถหาเพิ่มได้ในภายหลังขอแค่ให้มีกำลังคน! ส่วนมากแล้วคนที่จะเป็นขุนศึกควรคัดจากคนที่เป็นทหาร เพราะคนเหล่านี้มักมีประสบการณ์ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน หากได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มข้น มั่นใจได้ว่าต่อไปจะกลายเป็นกองกำลังฝีมือเยี่ยมอย่างแน่นอน เจียงจิ่วพยักหน้า “ได้ ข้าจะจัดการเรื่องคนให้เอง!”
ตอนนั้นเอง ลู่จิ้วเก๋อไสรถเข็นตรงมาทางเยี่ยฉวนและเจียงจิ่ว คนบนรถเข็นหยิบแผนที่ออกมากางต่อหน้าคนทั้งสองซึ่งหันมาดูด้วยความสนใจ “ข้าให้คนไปทูลฮ่องเต้ขอให้ส่งกองกำลังสนับสนุนไปเสริมทัพของนายพลหลินเซียว ซึ่งตอนนี้ได้เข้าโจมตีกองทัพแคว้นชูจนแตกพ่ายแล้ว ถ้าให้เดาคงอีกไม่นานแคว้นเย่วคงจะถอนทัพออกไป อีกทั้งเมื่อกองทัพเพลิงโลกันตร์ของต้าอวิ๋นมาถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น คิดว่าพวกมันคงไม่มารบกวนเราในระยะเวลาอันใกล้นี้แน่ โอกาสที่ดีของแคว้นเจียงมาถึงแล้ว”
เจียงจิ่วถามเสียงเข้ม “ท่านหมายถึงการจู่โจมแคว้นชูและแคว้นเย่ว อย่างนั้นหรือ?” ลู่จิ้วเก๋อหันมามอง “ถูกต้อง ถ้าไม่ทำตอนนี้แล้วจะทำเมื่อไร?” อีกฝ่ายส่ายหน้า “ถึงแม้ว่าในเวลานี้แคว้นเราจะได้รับชัยชนะ หากเป็นชัยชนะบนความทุกข์ยาก ถ้ายังออกรบอีก……” ขณะนั้น หญิงสาวทอดสายไปทางกองทหารที่อยู่ในลานกว้าง แต่ละคนมีสภาพบาดเจ็บไม่มากก็น้อย
คนบนรถเข็นบิดยกมุมปาก “ความกังวลขององค์หญิงข้าทราบดี ไม่ต้องส่งทั้งกองทัพออกไปหรอกเพคะ ส่งคนไปเพียงคนเดียวก็เหลือเฟือ!” คนเดียว! เจียงจิ่วขมวดคิ้วขณะหันไปมองเยี่ยฉวน ขณะที่คนพูดก็มองตรงมายังเยี่ยฉวนด้วยเช่นกัน “เวลานี้ ชื่อเสียงของผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นเยี่ยฉวนขจรขจายไปทั่วแผ่นดินชิง นับจากวันนี้เป็นต้นไป คนที่มีขั้นพลังเหนือกว่าผนึกยุทธ์ก็จะไม่กล้ามาทำร้ายเจ้า ฉะนั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์เยี่ยฉวนควรรีบใช้โอกาสนี้ไปจัดการพวกมันเสีย!
เยี่ยฉวนสั่นศีรษะดิก “ลำพังข้าคนเดียว ไม่อาจทำลายแคว้นสองแคว้นในเวลาเดียวกันได้!” ทว่าคนบนรถเข็นไม่พูดอะไรอีก ยังคงนั่งยิ้มนิ่งเฉยอยู่เช่นนั้น เพียงครู่เดียวเยี่ยฉวนเอ่ยขึ้นทันที “เข้าใจแล้ว” พลันเขาหันไปทางจี้อันซื่อและคนอีกสองคนซึ่งยืนอยู่แถวนั้น “เจ้าทั้งสามพาศิษย์กลับไปคอยข้าที่ฉางหลาน และช่วยดูแลสถานศึกษาแทนข้าที”
โม่อวิ๋นฉีเหยียดยกมุมปาก “หัวโขมยพี่เยี่ย เจ้าเพิ่งต่อสู้มาหมาดๆ ควรต้องพักบ้าง!” เยี่ยฉวนเดินไปหาคนพูดพลางยื่นมือข้างขวาออกไปตรงหน้า “อยากจะถูกแบกกลับไปแบบศิษย์ทั้งสิบเอ็ดงั้นหรือ?” โม่อวิ๋นฉีได้ยินเช่นนั้นจึงหุบปากลง “ได้ ได้ ถือว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน” ชายหนุ่มทำท่าขยับยกเท้าขณะโม่อวิ๋นฉีเผ่นแผล็วหลบได้ทัน “รีบไสหัวไปให้ไวเลย” เสียงตะโกนสั่งไล่หลังคนที่รีบออกไป
โม่อวิ๋นฉีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำอะไรไม่ได้ จึงทำหน้าเยาะเย้ยหลอกล่อก่อนจะหันหลังวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจี้อันซื่อมองหน้าเยี่ยฉวนก่อนพูดว่า “ระวังตัวด้วย” จากนั้นนางก็หันหลังเดินไป ทว่าเดินไปเพียงสองสามก้าวพลันคนหันขวับและย้อนกลับมาตรงหน้าเยี่ยฉวน จากนั้นจึงหยิบวงแหวนสัมภาระออกมาและยัดใส่มือเยี่ยฉวนซึ่งรับไว้ด้วยสีหน้างงงัน เสร็จแล้วหญิงสาวจึงหันกลับออกไปโดยไม่เหลียวหลังอีก
เยี่ยฉวนยกสัมภาระในมือขึ้นมาดู หากเขาต้องตกตะลึงทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน มีทั้งหมั่นโถว! ซาลาเปา! น่องไก่! อัดแน่น ในห่อสัมภาระมีแค่สามสิ่งนี้จริงๆ และมีจำนวนมากมายก่ายกอง ทั้งซาลาเปาและหมั่นโถวมีไม่ต่ำกว่าร้อยชิ้น และสิ่งที่มิได้กล่าวเกินจริงเลยคือน่องไก่ ที่มีเป็นหมื่นน่อง……
เฮ้ย! เยี่ยฉวนอ้าปากค้าง ด้วยความตกใจต่อสิ่งที่ถืออยู่ในมือ จากนั้นไป่เจ๋อเดินเข้ามาตบไหล่เบาๆ “รีบไปรีบกลับ!” พูดจบคนรีบหันหลังออกไปทันที จากนั้นศิษย์ฉางหลานเดินรวมกลุ่มกันเข้ามาแสดงคารวะอำลาพร้อมกัน “อาจารย์ใหญ่ โปรดระวังตัวด้วยขอรับ!” กล่าวจบพวกเขาก็ทยอยกลับไป
เหลือเพียงคนเดียวที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน! เยี่ยซิน! เด็กสาวเดินเข้ามาตรงหน้า ก้มศีรษะต่ำจนคางเกือบชิดอก ท่าทางเหมือนพยายามรวบรวมความกล้าในที่สุดจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับเยี่ยฉวน “ข้า ข้าสังหารศัตรูไป 41 คน มากที่สุดเท่าที่ข้าเคยทำได้เจ้าค่ะ!” คนพูดหยุดชะงักราวกับรอฟังคำตอบ มือสองข้างกำแน่น แววตาเปล่งประกายตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
เยี่ยฉวนคลี่ยิ้มมุมปาก “ทำได้ดีมาก” พูดจบชายหนุ่มเผยฝ่ามือ ในขณะนั้น สุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณชิ้นหนึ่งปรากฏออกต่อหน้าเด็กสาวเยี่ยซิน “เอ้าข้าให้เป็นรางวัล!” สาวน้อยเบิกตากว้างนิ่งงันไป เยี่ยฉวนอมยิ้ม “อ้าวไม่ชอบหรือไง?” เด็กสาวได้ยินดังนั้นจึงฉวยอาวุธตรงหน้ามาถือไว้โดยเร็ว มีดสั้นเล่มเล็กทว่าเหมาะกับนางมากที่สุด!
สายตาแสดงความชื่นชมมองมีดสั้นในมือไม่วางตา ขณะนิ้วเรียวลูบไล้อย่างเบามือ เสียงอ่อนเบาของชายหนุ่มพูดขึ้นว่า “เมื่อกลับฉางหลานแล้วเจ้าต้องหมั่นฝึกฝนให้จงหนัก คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงอยู่รอด” เยี่ยซินเงยหน้าขึ้นพลางผงกศีรษะรับคำ สีหน้าลังเลบางอย่างก่อนเอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว ข้าเรียกท่านว่าญาติผู้พี่ ได้ไหมเจ้าคะ?”
ญาติผู้พี่! ทันทีที่ได้ยินวาจาของคนที่อยู่ต่อหน้าเยี่ยฉวนถึงกับชะงักนิ่ง ครู่หนึ่งจึงเหยียดยิ้มมุมปากออก “ได้สิ!” คราวนี้เยี่ยซินเป็นฝ่ายชะงักบ้าง เห็นได้ว่านางออกจะตกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยไม่คิดว่าเยี่ยฉวนจะยินยอมง่ายๆ เช่นนั้น ทันใดนั้น เด็กหญิงผวาเข้ากอดเยี่ยฉวนและเริ่มร้องไห้ต่อมามีเสียงสะอื้นฮักๆ “ญาติผู้พี่เจ้าคะ……” ทำเอาเยี่ยฉวนตกใจทำตัวไม่ถูก จึงได้แต่นิ่งงัน
ตระกูลเยี่ย! ยิ่งนับวันเขากับตระกูลเยี่ยยิ่งมีแต่จะเหินห่าง พักใหญ่ต่อมาเยี่ยซินพร้อมด้วยศิษย์ฉางหลานพากันกลับไปจนหมด ส่วนเยี่ยฉวนเองก็ออกจากเมืองไปด้วยเช่นกัน หลังจากกล่าวอำลากับเจียงจิ่วเป็นที่เรียบร้อย เขาก็ออกเดินทาง ส่วนคนที่ยืนเหม่อมองตามหลังเยี่ยฉวนไปจนลับตา เจียงจิ่วจึงขยับหันกลับมาหลังจากนั้น
เสียงของลู่จิ้วเก๋อพูดขึ้นลอยๆ “คนคนนี้ เป็นคนใช้ได้ทีเดียว!” เจียงจิ่วเหลือบมองผู้พูด หากมิได้ว่าอะไรเพียงแต่มีรอยยิ้มบางๆ ปรากฎขึ้น



