บทที่ 343 ข้าชื่อเยี่ยฉวน! (ปลาย)
“องค์หญิง ชายคนนี้เขาสามารถพัฒนาไปได้เร็วมาก อีกไม่เกินหนึ่งปีเขาคงจะสามารถเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยตนเอง องค์หญิงจะยังได้ทรงใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาอยู่อีกหรือเพคะ?” ผู้ที่เป็นองค์หญิงหันมาถามด้วยความสงสัย “ท่านหมายความว่าอย่างไร?” สตรีนั่งรถเข็นถอนใจเบาๆ “องค์หญิงทรงพระปรีชาเฉลียวฉลาด ย่อมเข้าใจสิ่งที่ข้าพูด” ทว่าไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย
จากนั้น ลู่จิ้วเก๋อหยิบกระดาษซึ่งเย็บรวมเล่มหนายื่นส่งมาเบื้องหน้าเจียงจิ่ว “ตำราพิชัยสงคราม ในตำรากล่าวถึง 72 ยุทธวิธีทางทหาร รวมทั้งแบบจำลองการรบ เพียงแค่ทรงตั้งจิตรำลึก ยุทธวิธีรบจะปรากฏออกมาในความคิดของพระองค์เอง ซึ่งมีอยู่มากมายไม่มีวันหมดสิ้น อีกทั้งสิ่งหนึ่งที่มีในนี้คือวิธีฝึกยุทธ์ของลัทธิแสนยนิยม กฎยุทธวินัย และมีทักษะยุทธ์หลากหลาย รวมทั้งอื่นๆ อีกมากมาย……”
แววตาครุ่นคิดของหญิงสาวทอดมองลู่จิ้วเก๋อขณะที่มีเสียงพูดต่อไปว่า “เพียงแค่องค์หญิงรับที่จะเป็นผู้สืบทอดแนวคิดของลัทธิแสนยนิยม ข้าก็จะเป็นผู้พิทักษ์แห่งเต๋าประจำตัวพระองค์นับแต่นี้เป็นต้นไป!”
ผู้พิทักษ์แห่งเต๋า!
เจียงจิ่วเอ่ยถามอย่างข้องใจ “อะไรคือลัทธิแสนยนิยม?” สตรีบนรถเข็นยิ้มๆ “ลัทธิแสนยนิยม! ถ้าพระองค์ตกลงที่จะเข้าร่วมกับแนวคิดแสนยนิยม ต่อไปพระองค์จะทรงมีฐานะเป็นผู้นำแห่งขุนศึกเต๋า ขุนศึกเทวดา และขุนศึกเทพเจ้า หรือกลุ่มที่สูงกว่านั้น……”
เจียงจิ่วจ้องมองแน่วนิ่ง ขณะเอ่ยถามคนตรงหน้า “ท่านเป็นใครกันแน่?” คนถูกถามหันมาเผชิญหน้าพร้อมวางนิ้วมือลงบนขาทั้งสองข้างขณะตอบ “ข้าเป็นแค่คนพิการคนหนึ่ง ตามมาทางนี้!” ว่าแล้วจึงไสรถออกไป เจียงจิ่วยืนลังเลเล็กน้อย ทว่าเพียงครู่เดียวก็เดินตามออกไป
.
ข่าวการสู่รบที่เมืองไค่หยางแพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดินชิงในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้แก่คนที่รับรู้ข่าวไม่น้อย! กองทัพเพลิงโลกันตร์ถูกทำลายจนสิ้นซาก! เมื่อได้ฟังข่าวนี้ ผู้คนพลเมืองพากันแตกตื่น
นั่นคือกองทัพเพลิงโลกันตร์! กองทัพม้าที่ทรงพลังที่สุดในแผ่นดินชิง จบสิ้นแล้ว!
เยี่ยฉวน! นามของเยี่ยฉวนแพร่สะพัดไปทั้งแผ่นดินชิงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าโรคระบาด! แน่นอนข่าวลือที่แพร่ออกไปเพราะด้วยเหตุผลที่ว่าเยี่ยฉวนบรรลุเป็นจ้าวกระบี่! สำเร็จกลายเป็นจ้าวกระบี่ด้วยวัยเพียงยี่สิบปีเศษ! ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนเช่นนี้ถือเป็นอันดับต้นๆ ของคนที่ได้รับการยอมรับนับถือ อย่าว่าแต่ในแผ่นดินชิง!
เมื่อเยี่ยฉวนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เรื่องราวหนหลังที่เกิดขึ้นอย่างเรื่องที่เยี่ยฉวนถูกปฏิเสธจากสถานศึกษาฉางมู่ ได้ถูกนำมาพูดถึงอีกครั้ง……ณ เวลานี้สถานศึกษาฉางมู่กลายเป็นตัวตลกในสายตาของผู้คนบนแผ่นดินชิงไปเสียแล้ว! ในขณะที่เจ้าตัวต้นเรื่อง เยี่ยฉวนปรากฏกายขึ้นที่เมืองหลวงของแคว้นชู!
ช่วงเวลานี้ชาวเมืองแคว้นชูพากันตระหนกอกสั่น ด้วยกองทัพทหารกว่าแสนนายที่ออกไปรบกลับเหลือรอดมาไม่ถึงสามหมื่นเท่านั้น! บัดนี้ แคว้นชูต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และขวัญกำลังใจแทบไม่เหลือ ยิ่งกว่านั้น สถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย! เมื่อปราศจากกำลังสนับสนุนจากสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการเสียแล้ว แคว้นชูจะต้านทานกองทัพแคว้นเจียงได้อย่างไร? แคว้นเจียงจะยอมเลิกราหรือไม่? ทั่วทั้งแคว้นตกอยู่ในความวิตกกังวล!
ณ วังหลวงแห่งแคว้นชู ในบริเวณโถงท้องพระโรงผู้เป็นฮ่องเต้ประทับเหนือบัลลังก์เศียรมังกร ด้านล่างเป็นเหล่าขุนนางอำมาตย์นั่งประชุมรวมกลุ่มกัน เสียงกังวานของฮ่องเต้ดังขึ้น “หึ พวกเจ้าเป็นใบ้กันไปหมดแล้วหรือไง?” หากยังไร้เสียงตอบรับจากกลุ่มคนทางด้านล่าง
ในที่สุดฮ่องเต้ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ชี้หน้าพลางตวาดเสียงปานกัมปนาทอย่างโกรธจัด “เจ้าพวกขี้ขลาดตาขาว! แคว้นเจียงมันน่ากลัวตรงไหน? พวกเจ้าจึงได้กลัวจนหัวหดถึงเพียงนี้?” พลันทหารองครักษ์ผู้หนึ่งเดินอย่างเร็วจี๋เข้ามาภายในท้องพระโรง “ฝ่าบาท เวลานี้มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวที่หน้าประตูวังหลวง อ้างว่าชื่อเยี่ยฉวน พ่ะย่ะค่ะ!”
เยี่ยฉวน! ทุกคนในที่นั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนทันทีเมื่อได้ยิน! องค์ฮ่องเต้เองถึงกับอ่อนแรงผงะถอยหลังทรุดฮวบลงบนที่นั่ง พระพักตร์ซีดเผือดปราศจากสีซับโลหิต บรรดาขุนนางทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณหน้าตาเหยเก สภาพแทบไม่ต่างกัน ด้วยกำลังตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแคว้นถังว่าเป็นฝีมือของเยี่ยฉวนมาแล้ว กระทำการดุจผีห่าซาตาน!
เขาตามมาสังหารคนในราชสำนักแคว้นชูอย่างนั้นหรือ? หากยังไม่ทันไรชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นที่ปากทางเข้าสู่ท้องพระโรง คนผู้ที่ดวงตาสองข้างเปลือกตาปิดสนิท สวมเสื้อคลุมสีขาวมีร่องรอยหยดโลหิตกระเซ็นเปรอะไปทั่ว มือข้างหนึ่งถือกระบี่ยาว ส่วนปลายกระบี่ชี้ลงและหยาดโลหิตหยดไหลลงสู่พื้น เยี่ยฉวน!
ทันทีที่เดินทางมาถึงแคว้นชู เยี่ยฉวนไม่รอช้าตรงดิ่งมาที่วังหลวงเป็นที่แรก แต่ระหว่างทางที่มานั้นเขาต้องสังหารคนตลอดเบี้ยบ้ายรายทาง เมื่อทหารแคว้นชูได้ยินว่าเขาชื่อเยี่ยฉวน พวกมันไม่มีใครกล้าขวางทางแม้สักคนเดียว ดังนั้นจึงทำให้เยี่ยฉวนสามารถตรงมายังท้องพระโรงได้อย่างสะดวก!
เมื่อมองเห็นคนที่ยืนตรงปากประตู เหล่าขุนนางต่างพากันล่าถอยไปทีละคนสองคน สีหน้าสีตาของแต่ละแสดงความหวาดกลัวสุดขีด มีนายทหารเพียงไม่กี่คนที่ไม่ยอมถอย ทว่าแววตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเช่นเดียวกัน ฮ่องเต้ประทับนั่งบนบัลลังก์เศียรมังกรจ้องมองเยี่ยฉวนแน่วนิ่ง มือสองข้างกุมเท้าแขนเกร็งแน่นขณะที่ร่างกายสั่นน้อยๆ ในตอนนั้นชายหนุ่มถือกระบี่เดินช้าๆ ตรงมาทางฮ่องเต้บนที่ประทับนั่ง ใบหน้ามองตรงพลันพูดว่า “ขอแนะนำตัวก็แล้วกัน ข้าชื่อเยี่ยฉวน มาจากแคว้นเจียงและเป็นอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษาฉางหลาน!”
“บังอาจ!” ทันใดนั้น นายทหารคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลระเบิดเสียงตวาดดังสนั่น “เยี่ยฉวน เจ้าเข้ามาในท้องพระโรงแคว้นชูต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ กล้าแสดงกิริยาหยาบกระด้างต่อหน้าพระพักตร์อย่างนั้นหรือ? เจ้า……” เสียงตวาดลั่นของนายทหารพลันหยุดลงกระทันหัน ด้วยเวลานั้นมีกระบี่ยาวปักคาที่จุดกึ่งกลางระหว่างหัวคิ้วของคนพูด!
นายทหารเคราะห์ร้ายอ้าปากค้าง นัยน์ตาเหลือกลาน ขณะเดียวกันโลหิตสาดกระเซ็นจากบาดแผลหว่างคิ้ว ไม่นานต่อมาใบหน้าคนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำและทันใดนั้นร่างก็ล้มหงายฟาดลงไปกับพื้น เหตุการณ์ที่เกิดกับภาพที่ปรากฏ ทุกคนในที่นั้นต่างอยู่ในภาวะตกตะลึง!
เยี่ยฉวนเผยฝ่ามือออกไปข้างหน้า ขณะนั้นกระบี่จึงทะยานออกไป และเมื่อปรากฏมาอีกครา กระบี่มันกลับทะยานมาตกลงบนฝ่ามือคนเช่นเดิม ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ “ข้านับถือในความกล้าหาญและมุ่งมั่นของพวกเจ้า แต่……ตอนนี้ถึงตาข้าขอพูดบ้าง พวกเจ้าจงให้ความเคารพและช่วยฟังในสิ่งที่ข้าจะพูดให้จบ มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกต่อไป!”
หลังจากนั้นเขาเดินตรงไปหยุดลงเบื้องหน้าฮ่องเต้ พลันจู่ๆ มีชายชราผู้หนึ่งปรากฏออกมายืนเยื้องไปทางด้านหลังของพระที่นั่งฮ่องเต้! ยอดยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์! เมื่อเห็นคนที่เข้ามาใหม่เยี่ยฉวนชี้กระบี่ใส่หน้ายอดยุทธ์ผู้นั้น “ถ้าไม่อยากให้แคว้นชูต้องพินาศย่อยยับละก็ จงไสหัวไป!”
ชายชรายืนจ้องหน้าเยี่ยฉวนนิ่งเงียบ สายตาแฝงความหวาดกลัวอย่างไม่ปกปิด! เพราะการตายของหลี่มู่ได้แพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดินชิง! เยี่ยฉวนหันไปทางผู้เป็นฮ่องเต้ พลันอีกฝ่ายเผยอปากเหมือนจะพูด ทันใดนั้น เยี่ยฉวนตวัดกระบี่ยาวในมือรวดเร็ว ฮ่องเต้ปากอ้าค้างขณะที่สายตาจ้องจับใบหน้าของเยี่ยฉวน……
ซึ่งขณะนั้นเขาเอื้อมคว้าศีรษะฮ่องเต้ไว้ด้วยมือข้างซ้าย ก่อนจะค่อยยกมือขึ้นช้าๆ เห็นได้ว่าในมือข้างนั้นมีศีรษะติดขึ้นมาด้วยอย่างง่ายดาย พลันเขาโยนร่างนั้นออกไปอีกทาง ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งบนพระที่นั่งเศียรมังกร จากนั้นจึงหยิบศีรษะขึ้นมาวางลงบนโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้า “เอาล่ะ มาพูดเรื่องเงินเยียวยาดีกว่า โดยเฉพาะเงินเยียวยาความสูญเสียทางจิตใจ เรื่องสำคัญแบบนี้พวกเราเห็นทีจะต้องหันมาจับเข่าคุยกัน”
ทุกคน “……”



