บทที่ 357 แปลกใจไหม? (ต้น)
……
ณ อาณาจักรต้าอวิ๋น……
……
อาณาจักรต้าอวิ๋นมีอาณาบริเวณกินพื้นที่หนึ่งในสามของแผ่นดินชิง จึงสมควรแล้วที่จะถูกกล่าวขานว่าเป็นอาณาจักรผู้นำในการรบ ซึ่งนับว่ามีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ยาวนานยิ่ง จนวังหลวงสามารแผ่ขยายความยิ่งใหญ่ไพศาลเหนือกลุ่มอำนาจอื่นในแผ่นดินชิง แม้แต่สถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการยังต้องยอมก้มหัวให้……
..
ถึงกระนั้น มีคำโบราณที่กล่าวถึงสรรพสิ่งว่ามีขึ้นย่อมมีลง
เช่นเดียวกับอาณาจักรที่เป็นสุดยอดจอมบัลลังก์ ที่ ณ ตอนนี้เริ่มตกต่ำลง ภายหลังจากการใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายของฮ่องเต้หลายยุคหลายสมัย จนทำให้อาณาจักรผู้นำแห่งนี้แทบจะย่อยยับอับปาง เมื่ออาณาจักรต้าอวิ๋นเริ่มใกล้ถึงจุดดับ ฮ่องเต้เกาซานจึงปรากฏตัว
เหลียนว่านหลี่!
ต้องขอบพระทัยฮ่องเต้เกาซานในพระปรีชาชาญอย่างยิ่งของพระองค์ อาณาจักรโบราณแห่งนี้จึงอยู่รอดปลอดภัย
ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งจะไม่พุ่งทะยานถึงขีดสุดอย่างที่เคยเป็น หากทว่าก็ไม่มีใครสามารถดูถูกอาณาจักรต้าอวิ๋นในแผ่นดินชิงได้
ณ ตำหนักไท่เหอ วังหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น
ในเวลานี้มีบุคคลเพียงสองคนเท่านั้นภายในตำหนัก เด็กชายอายุประมาณสิบเอ็ดขวบนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ผ้าคลุมที่สวมทับเครื่องแต่งกายปักด้วยลวดลายมังกรและที่บนศีรษะของเด็กน้อยสวมมงกุฏงดงาม ท่าที่นั่งหลังตรงและกำลังแสดงสีหน้ากับแววตาอย่างเคร่งเครียด
สตรีนางหนึ่งยืนอยู่บนที่ต่ำกว่าเยื้องออกมาทางเบื้องหน้า ชุดสีดำค่อนข้างพอดีตัวแต่งแต้มลวดลายนกเฟิ่งหวงสีสันฉูดฉาด ท่วงท่าสยายปีกและส่วนหัวเชิดสูง แววตาเมินเฉยและสูงส่ง
เด็กน้อยมองสตรีตรงหน้าก่อนจะเอ่ยปากพลันชะงัก “ท่านพี่.”
เมื่อพูดถึงตอนนี้พลันเขาทำท่าเหมือนจะนึกได้บางอย่างจึงรีบเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกคนตรงหน้า “ขุนนางเหลียน แคว้นเจียงตั้งอยู่ไกลจากอาณาจักรต้าอวิ๋นมาก อีกทั้งไม่เคยมีเรื่องขัดผลประโยชน์กับอาณาจักรต้าอวิ๋นของเรา เหตุใดจึงต้องทำเหมือนเขาเป็นศัตรูกับเราด้วย? ไม่เห็นว่าอาณาจักรต้าอวิ๋นจะได้ประโยชน์อะไรเลยสักนิด”
สตรีนางนั้นเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเด็กชายตัวน้อย จากนั้นนางชี้มือไล่ไปบนแผนที่ที่กางอยู่เบื้องหน้า “ทอดพระเนตรบนแผนที่สิเพคะ พระองค์คิดว่าใครคือภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรต้าอวิ๋นเวลานี้?”
เด็กน้อยก้มลงมองดูสักครู่ จึงเงยหน้าขึ้นตอบว่า “แคว้นเจียงอย่างนั้นหรือ?”
สตรีสั่นศีรษะพลางว่า “ไม่ใช่เพคะ”
เด็กชายตรงมองคนตรงหน้า แววตาแสดงความสงสัยใคร่รู้ “ถ้าเช่นนั้นเป็นใคร?”
อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ “สถานศึกษาฉางมู่ ดินแดนอันธการและตระกูลผู้ดีเก่าทั้งหลายอย่างไรเล่าเพคะ!”
ผู้ฟังนิ่วหน้าเล็กน้อย “เพราะเช่นนั้นท่านจึงคิดว่าเราควรจู่โจมแคว้นเจียงอย่างนั้นหรือ?”
หญิงสาวหันมามองเด็กน้อยหากนิ่งเงียบมิได้เอ่ยวาจาต่อไป
ฝ่ายเด็กชายนิ่งงันท่าทีครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดดูเหมือนเขาจะนึกขึ้นได้บางอย่าง พลันนั้นก็หันขวับไปมองคนตรงหน้าสายตาเขม็งแน่แน่ว “ท่านคิดจะยืมมือแคว้นเจียง ไม่สิ จะยืมมือเยี่ยฉวนทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นอ่อนกำลังลง!”
เมื่อฟังคนตัวน้อยตรงหน้าพูดเช่นนั้น แววตาของหญิงสาวจึงเผยความพึงพอใจออกมา
เด็กชายน้อยกล่าวเสียงขรึมว่า “แต่อาณาจักรต้าอวิ๋นของข้าสูญเสียทหารกองทัพเพลิงโลกันตร์ไปไม่น้อย”
สตรีจึงทรุดกายลงนั่งเคียงข้างกับเด็กน้อย ซึ่งอีกฝ่ายรีบขยับถอยเล็กน้อยเพื่อเว้นที่ว่างสำหรับหญิงสาวจากนั้นนางฉวยมือเล็กๆ ของเขาขึ้นมาจับไว้ “ตอนนี้กองทัพเพลิงโลกันตร์มิใช่กองกำลังทหารม้าแห่งราชสำนักอีกต่อไปแล้ว พวกเขาต้องแปดเปื้อนไปเพราะน้ำมือของสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการ รวมทั้งตระกูลเก่าแก่ทั้งหลาย หาได้จงรักภักดีอย่างจริงใจต่อราชสำนักแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นไม่ ดังนั้นเท่ากับเรามิได้สูญเสียสิ่งใด ในทางกลับกันยังได้กำจัดพวกกาฝากที่ไม่เอาไหนออกไปด้วย”
เด็กชายหันมามองคนพูดที่นั่งข้าง “แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นอาณาจักรต้าอวิ๋นอาจต้องเผชิญกับความทุกข์ยากใหญ่หลวง”
หญิงสาวส่ายหน้าเป็นเชิงคัดค้าน “ตระกูลใหญ่ทั้งหลาย สำนักและกองกำลัง รวมทั้งสถานศึกษาฉางมู่ พวกเขาทำทีว่าให้การสนับสนุนอาณาจักรต้าอวิ๋น แต่ความจริงแล้วพวกมันมีแต่กัดกร่อนทำลายอาณาจักรของเราเสียมากกว่า ตอนนี้พวกนั้นมิได้เพียงส่งคนแทรกซึมเฉพาะในหน่วยงานของทางการเท่านั้น แต่มีทั้งภายในกองทัพและราชสำนัก อีกสักสิบปีอาณาจักรต้าอวิ๋นคงถูกกลืนหายไปหมดสิ้น”
หญิงสาวหยุดพูดนิดหนึ่งจากนั้นจึงผายมือข้างซ้ายไปข้างหน้า “กองกำลังพวกนี้เป็นเสมือนเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของเรา ทั้งยังสัมพันธ์กับกระดูกและโลหิตในร่างกาย จะตัดทิ้งเสียก็ต้องเจ็บ แต่ถ้าไม่ตัดวันข้างหน้าเราอาจจะเจ็บปวดเจียนตายเลยก็เป็นได้”
อีกฝ่ายฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ในที่สุดเขาเอื้อมมือไปหยิบเอาสมุดบันทึกจารึกที่วางบนโต๊ะขึ้นมา ด้านหน้ามีตัวอักษรอยู่สองคำ : เยี่ยฉวน
เขาค่อยเปิดสมุดเล่มนั้นออกอ่าน ซึ่งข้างในเนื้อความบรรยายทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเยี่ยฉวน ตั้งแต่จากเมืองชิงจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลทุกอย่างถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด
ครู่ใหญ่ต่อมา เด็กชายน้อยผ่อนลมหายใจแผ่วเบา “เยี่ยฉวนเต็มใจที่จะตายเพื่อปกป้องแคว้นเจียง อนิจจา ถ้าอาณาจักรเรามียอดฝีมืออย่างเขาสักคนจะดีแค่ไหน!”
จากนั้นเขาหันหน้าไปมองสตรีที่นั่งใกล้กัน “ท่านพี่ ท่านว่าเขาเป็นคนอย่างไร?”
หญิงสาวชำเลืองมองสมุดบันทึกพลางคลี่ยิ้มขณะตอบว่า “พระองค์คิดว่าอย่างไรเพคะ?”
เด็กชายชะงักนิดหนึ่งและพูดว่า “ข้าอยากรู้ว่าท่านคิดอย่างไร!”
หากอีกฝ่ายมิได้ตอบถ้อยวาจาทันที ทว่ากลับดึงมือเด็กน้อยและพาเดินออกไปภายนอกตำหนัก ขณะที่นางกำลังทอดสายตาไปที่สุดขอบฟ้า จึงมีเสียงพูดแผ่วเบา “ถ้าในฐานะมิตรเขาคู่ควรที่พระองค์จะมอบความไว้วางใจ ถ้าในฐานะศัตรูเขาจำเป็นต้องถูกกำจัดทิ้ง”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองผู้พูด “ท่านพี่ ท่านเห็นเขาเป็นมิตรหรือศัตรูเล่า?”
สตรีแตะมือลงบนศีรษะเล็กๆ ของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “ทรงเป็นฮ่องเต้แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น แล้วแต่พระองค์จะตัดสินใจ เพคะ!”
เด็กชายคิดนิดเดียวพลันตอบรวดเร็ว “มิตร”
เสียงถามทันควันดังมาจากสตรี “เหตุใดเพคะ?”
อีกฝ่ายตอบด้วยสุ้มเสียงจริงจัง “อาณาจักรต้าอวิ๋นของเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเขามาก่อน อีกทั้งไม่เคยขัดผลประโยชน์ต่อกัน การเป็นศัตรูกับคนผู้นี้ไม่ได้เกิดประโยชน์กับทางเราเลยแม้แต่น้อย แต่การเป็นมิตร บางทีเราจะได้มิตรที่ไว้เนื้อเชื่อใจและทำคุณประโยชน์กับเรา!”
หญิงสาวจับตามองคนตัวน้อย แววตาแสดงความพึงพอใจอยู่ในที พลันคนหันไปอีกด้านหนึ่ง “แจ้งคำสั่ง ให้ทุกกลุ่มผนึกกำลังกันและเดินทางไปยังสุดเขตตอนใต้ เร่งสังหารเยี่ยฉวนให้ได้!”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงของใครบางคนจากมุมมืดตอบรับทันควัน
“ท่านพี่?” เด็กชายเบิกตากว้าง จ้องมองสตรีด้วยความตกตะลึง
อีกฝ่ายคลี่ยิ้มน้อยๆ “เรากำลังช่วยเขาเพคะ”
ขณะนั้น หญิงสาวเหม่อมองไปยังท้องฟ้า มือลูบกลุ่มเส้นผมข้างใบหูขาวสะอาด “หากแต่ใครบางคนจะต้องรับเคราะห์!”



