บทที่ 360 กระบี่จะขึ้นสนิมเสียก่อน! (ปลาย)
……
ภายนอกเมื่อเยี่ยฉวนขึ้นมาบนพื้นดิน โม่อวิ๋นฉีพลันเดินตรงรี่เข้ามาหาพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ข้าจัดการเก็บกวาดทั่วบริเวณนี้แล้ว ของล้ำค่าที่ได้ก็มีสุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณสี่สิบชิ้น เงินทองอีกสามร้อยล้านเหรียญทองกับสุดยอดศิลาจิตวิญญาณเกือบสามแสนชิ้น ยังมีของล้ำค่าอีกหลายอย่าง” ……
……
จากนั้นคนพูดมองกวาดไปทั่วตัวเยี่ยฉวน “เจ้าได้มันมาไหม?” ……
..
อีกฝ่ายไม่ตอบแต่พยักหน้าพลางบอก “ไป!”
ต่อมาไม่นานทั้งคู่ได้หายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เยี่ยฉวนและโม่อวิ๋นฉีจากไปไม่นาน มู่ซ่วนชิงพร้อมด้วยจ้าวทมิฬได้ปรากฏกายบนอากาศเหนือศีรษะของพวกเขา ทันทีที่เห็นสภาพร่างไร้วิญญาณของพวกตนในบริเวณลาน สีหน้าของคนทั้งสองเคร่งเครียดทันควัน พลันมู่ซ่วนชิงรีบรุดลงไปที่ชั้นใต้ดินอย่างรวดเร็ว จึงได้พบเพียงแท่นบูชาที่ว่างเปล่าอยู่ภายใน!
ว่างเปล่า!
วินาทีนั้นใบหน้าของคนพลันหมองคล้ำจนสุดจะบรรยาย เขากำมือแน่น ตัวสั่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางสุขุมเยือกเย็นและสง่าผ่าเผยอันตรธานไปจนสิ้น
หายไปแล้ว!
กระบี่สวรรค์หายไป!
มู่ซ่วนชิงแทบกระอักโลหิตตายให้รู้แล้วรู้รอด!
กระบี่อันเป็นของล้ำค่าที่เขาขอยืมมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นั่นหมายความว่าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นสมบัติของสถานศึกษาฉางมู่
มันได้หายไปเสียแล้ว!
เขาไม่มีปัญญาชดใช้คืนได้แน่ ต่อให้ต้องขายสถานศึกษาฉางมู่ในเขตแดนต้าอวิ๋นไปแล้วก็ตาม!
ในตอนนั้นเสียงของจ้าวทมิฬพูดขึ้นว่า “กระบี่มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่มิใช่หรือ?”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามมาเช่นนั้น พลันเขาจึงกลับเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง มู่ซ่วนชิงค่อยปิดเปลือกตา ขณะเดียวกันก็เคลื่อนไหวฝ่ามือเพื่อร่ายเวทย์ ครู่หนึ่งถัดมา บริเวณอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าบังเกิดสั่นไหวน้อยๆ
คนเงียบงันไปพักใหญ่ ต่อมาหัวคิ้วของมู่ฉ่งซ่วนขมวดจนเป็นร่องลึก สีหน้ากลับหมองคล้ำหนักขึ้นกว่าเดิม “ข้ารับรู้ร่องรอยอะไรไม่ได้เลย”
จ้าวทมิฬพูดเสียงเคร่ง “ตอนนี้เขาคงยังไม่สามารถควบคุมกระบี่ได้ ถ้าได้เมื่อไร รับรองเขาจะต้องนำออกมาใช้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเจ้าจะต้องร่ายเวทย์กระบี่ เมื่อเขาถูกธาตุไฟย้อนกลับจะทำให้สังหารมันง่ายขึ้น”
อีกฝ่ายส่ายหน้า แววตาปรากฏร่องรอยบางอย่างซึ่งยากจะเข้าใจ “พวกเราประมาทคนผู้นี้เกินไป”
ขณะนั้น เขาย้อนกลับไปยังสถานที่ใต้ดิน พลางสายตากวาดมองซากศพที่เกลื่อนอยู่ตามพื้น เนิ่นนานถัดมาเสียงเขาพูดว่า “คนผู้นี้มองกับดักที่เจ้าและข้าได้วางไว้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ถ้าไม่มีค่ายกลขวางเอาไว้ ในแผ่นดินชิงนี้เขาจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในบรรดาคนในขั้นต่ำกว่าผสานเทพเลยทีเดียว!”
ไร้เทียมทาน!
จ้าวทมิฬถึงนิ่งเงียบพูดไม่ออก
เพราะคำกล่าวเป็นความจริง
มู่ซ่วนชิงมองตามร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นพลับแววตาเริ่มขุ่นมัวเล็กน้อย “เซียนกระบี่ผู้เป็นอาจารย์ของเจ้านั่น ทำให้กลุ่มอำนาจของพวกเราไม่กล้าที่จะส่งยอดยุทธ์ที่มีขั้นเหนือกว่าสุดยอดผนึกยุทธ์และขั้นผนึกยุทธ์มา หากไม่มียอดยุทธ์ผนึกยุทธ์เหล่านั้น เยี่ยฉวนจะเป็นผู้ไร้เทียมทานที่กล้าแกร่งที่สุดในแผ่นดินชิง ตอนนี้สถานศึกษาฉางหลานรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ถ้าขืนยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่เกินหนึ่งปีสถานะของแผ่นดินจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อถึงตอนนั้นทั้งสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธกาลคงไร้ที่ยืนบนแผ่นดินชิง!”
มองทะลุปรุโปร่ง!
ความจริงเขาพอจะมองออกอยู่แล้ว เพราะอย่างนี้อุบายค่ายกลจึงถือว่าเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายของเขา
โชคร้ายที่เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้!
เยี่ยฉวนไม่หลงกลเหยื่อที่นำมาหลอกล่อ ในทางตรงกันข้ามคนที่ต้องเสียหายยับเยินกลายเป็นฉางมู่และดินแดนอันธการ!
ครู่ต่อมาจ้าวทมิฬถามเสียงเร็ว “สำนักใหญ่ตอบรับมาหรือยัง?”
มู่ซ่วนชิงสั่นศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาคิดอะไร แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ไม่มีทางจบได้ด้วยการประนีประนอมเป็นอันขาด ถึงแม้เยี่ยฉวนจะเป็นฝ่ายเรียกร้องสันติ……ทว่าพวกเขาย่อมไม่ตกลง ตราบใดที่ชายคนนั้นยังอยู่ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถึงตอนนั้นสำนักใหญ่จะต้องเผชิญหน้ากัยภัยคุกคามที่มีความอันตรายร้ายแรงอย่างยิ่ง ตอนนี้ถ้าพวกเขาคิดสังหารเยี่ยฉวนก็มิใช่เรื่องง่าย ข้าว่าพวกเราคอยดูดีกว่าว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป”
จ้าวทมิฬพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ดินแดนอันธกาลก็คิดเช่นเดียวกัน ตอนนี้พวกเรามาเริ่มเป็นฝ่ายที่จะนิ่งเฉยบ้าง ถ้าพวกเขายังไม่มีความเคลื่อนไหวอีก พวกเราจะถอนกองกำลังออกจากแผ่นดินชิงให้หมด ถ้าเป็นอย่างนั้นทั้งเยี่ยฉวนและฉางหลานจะพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็วโดยไร้อุปสรรค ย่อมจะยิ่งน่าหวาดกลัวเพิ่มขึ้นอีก”
มู่ซ่วนชิงผงกศีรษะพลางว่า “คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป ส่วนกระบี่……ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นเป็นไปตามแผน ถึงแม้ข้าจะฆ่าเขาไม่ได้ แต่ก็จะบาดเจ็บหนักหนาสาหัสทีเดียว”
หลังจากนิ่งฟังจ้าวทมิฬพยักหน้าช้าๆ “ถ้าเป็นเช่นนั้น การจัดการกับเขาจะง่ายขึ้น คนผู้นี้……มีใจกล้าหาญและรู้จักวางกลยุทธ์ นอกจากนั้นยังมีความเป็นปริศนา อีกทั้งเป็นจ้าวกระบี่ และที่ต่างกันลิบคือพวกเราไม่มีข้อมูลของนางเลย……”
เสียงพูดขาดหาย มีเพียงเสียงถอนหายใจ
ความจริงความเป็นมาแต่หนหลังดินแดนอันธกาลไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อนกับเยี่ยฉวน เคราะห์ร้ายที่ดินแดนอันธการตัดสินใจผิดพลาดจนทำให้ตัวเองต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวพัวพันและเดือดร้อนไปด้วย กระทั่งเดินมาถึงทางตันด้วยการเป็นศัตรูกับเยี่ยฉวน ถ้าบอกว่าไม่เศร้าใจเลยกับการติดสินใจที่ผิดพลาดก็คงไม่ถูกนัก น่าเสียดายดินแดนอันธการจะต้องตกที่นั่งเดียวกับฉางมู่ ถอยหลังกลับไม่ได้!
ราวครึ่งก้านธูปให้หลังคนทั้งสองจึงกลับออกจากสถานที่
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เยี่ยฉวนซึ่งควบเจ้าสุนัขป่ายักษ์กลับหยุดชะงักกึก เขาหันไปพูดกับโม่อวิ๋นฉีที่ด้านข้าง “เจ้าขนของพวกนี้ไปเมืองหลวงและมอบให้กับท่านที่ปรึกษาลู่แทนข้าที บอกนางให้ช่วยดูแลจัดการของเล่านี้ด้วย”
“เจ้าจะไปไหน?” โม่อวิ๋นฉีถามเสียงกังวล
ชายหนุ่มอีกฝ่ายบิดยกมุมปาก “เขตแดนต้าอวิ๋น!”
ได้ยินเขาว่าเช่นนั้น โม่อวิ๋นฉีนิ่วหน้าเล็กน้อย “นี่หัวโขมยพี่เยี่ย อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น! เวลานี้เจ้าควรเร่งพัฒนาขั้นพลังเพิ่มความกล้าแกร่งจะดีกว่า!”
เยี่ยฉวนสั่นศีรษะเชิงปฏิเสธ “จนถึงตอนนี้พวกมันพยายามล่อลวงเพื่อสังหารข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุใดพวกมันจึงกล้าอย่างนั้นหรือ? ก็เพราะมันคิดว่าข้าเป็นหมูในอวยน่ะสิ! มันคงคิดว่ายังไงข้าก็ต้องอดทน! แต่ตอนนี้ข้าอดทนอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะข้าอดทนมานานมากแล้วและกลัวว่ากระบี่จะขึ้นสนิมเสียก่อน”
รอยยิ้มเย้ยผุดขึ้นมุมปาก “ข้าไม่ได้จะไปเขตแดนต้าอวิ๋นเพื่อหาของมีค่าทรัพย์สิน แต่จะไปเพื่อสังหารเพียงอย่างเดียว!”
เสียงพูดสิ้นสุดลง ร่างคนทะยานไปบนหลังสุนัขยักษ์ เพียงไม่นานก็หายลับไปจากสายตาของโม่อวิ๋นฉี



