บทที่ 361 ฆ่าผู้ชาย ปล่อยผู้หญิง! (ต้น)
……
อาณาจักรต้าอวิ๋น!……
……
ความจริงเยี่ยฉวนอยากไปเยือนเขตแดนต้าอวิ๋นสักครั้งมานานแล้วเพราะเขาไม่ชอบเป็นฝ่ายนั่งรออยู่กับที่ และที่ผ่านมามีแต่ฉางมู่กับดินแดนอันธการ ที่มักเคลื่อนไหวอยู่ฝ่ายเดียวทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายตั้งรับมาโดยตลอด!……
..
เยี่ยฉวนไม่อยากเป็นฝ่ายตั้งรับอีกต่อไปแล้ว!
เหตุที่เขาได้แต่ตั้งรับฝ่ายเดียวเพราะตอนนั้นยังพะวักพะวงเรื่องสถานศึกษาฉางหลาน หากเวลานี้ฉางหลานเริ่มเข้าที่เข้าทาง ต่อให้ไม่มีเขาสถานศึกษาก็จะยังดำเนินต่อไปได้
จึงเป็นทีของเยี่ยฉวนเป็นฝ่ายรุกบ้าง!
อย่างที่บอกการไปเหยียบเขตแดนต้าอวิ๋นครั้งนี้จุดมุ่งหมายของเขามิใช่เพื่อฝึกฝน ทรัพย์สมบัติ หรือความร่ำรวย เขาไปเพื่อสังหารคน!
สังหารคนที่เป็นศัตรู!
ขณะนี้ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือการฆ่า!
โม่อวิ๋นฉีได้แต่มองตามหลังคนที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ไกลจนลับตา คนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมต่อไปอีกครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาขยับยิ้มมุมปาก “คอยด้วยแล้วกัน!”
จากนั้นจึงได้หันหลังและกลับไปอีกทาง
ณ สถานศึกษาฉางหลาน
ในวันนี้ยากที่จะปฏิเสธได้ว่าสถานศึกษาฉางหลานกลายมาเป็นกลุ่มมหาอำนาจที่สุดในแคว้นเจียง ซึ่งแน่ชัดว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากความช่วยเหลือจากแคว้นเจียงและสำนักอัปสรเมรัย
ไร้ซึ่งความร่วมมือของสองมหาอำนาจที่ว่า ฉางหลานไม่มีทางพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็วอย่างที่เป็นอยู่นี้!
เหตุผลมีให้เห็นเด่นชัดว่าทำไมแคว้นเจียงและสำนักอัปสรเมรัยจึงเต็มที่กับความช่วยเหลือ……ก็เพราะคนที่ชื่อเยี่ยฉวนนั่นไงเล่า! ผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่ทำให้สามกลุ่มมหาอำนาจผูกพันเข้าด้วยกัน ซึ่งหากยังมีเหตุผลอื่นนอกเหนือจากเหตุผลข้างต้น ว่าทำไมแคว้นเจียงจึงยินดีที่จะร่วมมือให้ความช่วยเหลือฉางหลานเสียยกใหญ่ นั่นก็เพราะด้วยเวลานี้มีเจียงจิ่วเข้าร่วมกับฉางหลาน!
องค์หญิงเจียงจิ่วเข้ามาทำหน้าที่ผู้นำกองกำลังขุนศึกเต๋าแห่งฉางหลาน! ยิ่งกว่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงและเยี่ยฉวนนั้นพิเศษกว่าปกติ……ถ้าเยี่ยฉวนมีอำนาจ สถานศึกษาฉางหลานก็จะมีอำนาจตาม และแคว้นเจียงย่อมกลายเป็นแคว้นที่มีอำนาจไปด้วย!
เจียงหยวน ฮ่องเต้แคว้นเจียงทรงตระหนักในข้อนี้เป็นอย่างดี ด้วยเป้าหมายของทั้งเจียงจิ่วและเยี่ยฉวนกว้างไกลไปถึงระดับจักรวาล มิใช่อยู่แต่ในแคว้นเจียงเท่านั้น!
ขณะที่สิ่งที่สำนักอัปสรเมรัยจะได้ เป้าหมายของสำนักก็มิได้หยุดแค่แผ่นดินชิงเท่านั้นเช่นกัน ทว่าไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์โน่นทีเดียว
พวกเขาคอยวันที่เยี่ยฉวนจะไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่
เรื่องที่เยี่ยฉวนจะไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ช้าหรือเร็วต้องเกิดขึ้นแน่ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีอนาคตไกล และสิ่งที่สำนักอัปสรเมรัยจะได้คืนมาย่อมมีมากกว่านั้น
สำนักอัปสรเมรัยมีจุดประสงค์ทางธุรกิจและมีการลงทุนกับคนมากมาย แน่ล่ะ คนมากมายเหล่านั้นจะต้องเป็นคนที่พวกเขาเลือกแล้วว่าสามารถก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงที่สุดให้กับทางสำนัก!
ณ หอโถงฉางหลาน
เวลานั้นโม่อวิ๋นฉี เจี้ยนชูชู โม่หยวนรวมทั้งคนอื่นมารวมกันพร้อมหน้าพร้อมตา โดยขณะนี้ลู่จิ้วเก๋อมีตำแหน่งรักษาการในสถานศึกษา!
สตรีนั่งบนรถเข็นเบนศีรษะไปทางคนรอบตัว “ทุกคนคิดว่าเยี่ยฉวนไปเขตแดนต้าอวิ๋นครั้งนี้เพราะอะไร?”
โม่อวิ๋นฉีปากไวกว่าคนอื่นตามเคยกล่าวว่า “คงเพราะนิสัยหุนหันพลันแล่นของเขานั่นแหละ!”
เฟิ่งหลานพยักหน้า “สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการพัฒนาให้สถานศึกษาฉางหลานแข็งแกร่งและเพิ่มสมรรถนะของตัวเองให้สูงขึ้น เขาไปเขตแดนต้าอวิ๋นรังแต่จะสร้างปัญหาให้ตัวเองไม่รู้จักจบจักสิ้นเท่านั้น!”
“ปัญหาไม่รู้จบ งั้นหรือ?”
ลู่จิ้วเก๋อเอ่ยพลางยกยิ้มมุมปาก “ถ้าเยี่ยฉวนไม่ไป จะไม่เกิดปัญหางั้นสิ?”
พลันทุกสายตาหันมามองคนพูด ซึ่งหยุดพูดและยกถ้วยน้ำชาร้อนขึ้นจิบจากนั้นจึงหัวเราะแผ่ว “ตอนนี้มีแค่ว่าไม่ฉางมู่และดินแดนอันธการต้องพังพินาศ หรือไม่ก็เป็นพวกเราที่ต้องตาย ถ้าอาจารย์ใหญ่จี้ยังอยู่ ข้าเชื่อว่าการเปิดห้องเจรจาปรองดองกันอาจเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามอาจารย์ใหญ่จี้ตายแล้ว อุปนิสัยของอาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันบ่งชัดว่าไม่ชื่นชอบการปรองดองเสียด้วย ซึ่งสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการมองออกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการปรองดองจะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
หลังจากพูดจบ นางเบนหน้าไปเอ่ยกับโม่หยวนและเฟิ่งหลาน “เจ้าทั้งสองอย่าได้คิดเรื่องการปรองดองให้เสียเวลา ไม่เช่นนั้นอีกหน่อยลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าและชีวิตของเขาอาจหดสั้นลงข้าไม่รู้ด้วย!”
โม่หยวนบิดมุมปาก “วางใจเถอะ เวลานี้ลัทธิของจื๊อไม่ได้วางกฎเกณฑ์และระเบียบแบบแผนเหมือนเมื่อก่อน ถึงเราจะชอบพูดด้วยเหตุและผล แต่ก็เวลาต่อสู้ก็ไม่ถอยเหมือนกัน!”
ลู่จิ้วเก๋อผงกศีรษะ จากนั้นจึงเบนหน้าไปทางด้านพวกโม่อวิ๋นฉี “นอกจากเจี้ยนชูชูแล้ว ข้าคิดว่าพลังของพวกเจ้ายังไม่กล้าแกร่งพอ อีกทั้งยังห่างไกลจากเยี่ยฉวนชนิดทียบกันไม่ติด ถ้าเจ้ายังไม่เร่งปิดช่องว่างนี้เสีย พวกเจ้าก็ต้องอยู่ให้ห่างเขาไว้เป็นดีที่สุด ข้าพูดอย่างนี้หวังว่าพวกเจ้าคงจะเข้าใจ?”
โม่อวิ๋นฉีเหยียดมุมปาก ขณะพูดเสียงแค่นๆ “เขาก้าวหน้าเร็วเกินไป พวกเราจะตามทันได้ยังไง?”
คนบนรถเข็นส่ายหน้าน้อยๆ “นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าสองคนต้องเข้าร่วมกับขุนศึกเต๋าและฝึกไปพร้อมกันกับพวกเขา ส่วนอันซื่อและชูชู พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อมเป็นกำลังเสริม”
โม่อวิ๋นฉีมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย พลันแย้งขึ้นทันทีว่า “พวกเราสองคนไม่เห็นต้องฝึกขนาดนั้นหรอก”
ลู่จิ้วเก๋อเลิกหัวคิ้ว “เจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งแล้วอย่างนั้นสิ?”
อีกฝ่ายยิ้มเผล่ “ถึงแม้ว่าข้ากับเจ้าไป่เจ๋อจะไม่สามารถเทียบเคียงหัวขโมยพี่เยี่ย แต่เมื่อเทียบกับคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ที่มีอยู่ ข้าเป็นรองแค่เขาเท่านั้น”
สตรีนั่งรถเข็นได้ยินจึงไม่พูดอะไรอีก แต่เอียงหน้าไปทางด้านนอกหอโถง “จอมพลังจู้!”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ร่างพร่าเลือนร่างหนึ่งของชายวัยกลางคนก้าวเข้ามาจากด้านนอกและมองไปทางโม่อวิ๋นฉี
เมื่อเห็นเช่นนั้นโม่อวิ๋นฉีผุดลุกขึ้นจากที่นั่งและเข้าไปใกล้คนที่มีชื่อเรียกว่าจอมพลังจู้ พลันร่างคนกลับหายวับไปทันที และภายในหอโถงปรากฏหลายเงาวูบวาบไปมา
คนว่องไวเป็นเลิศ!
ทว่า–
ตู้ม!
เสียงอึกทึกดังทั่วหอโถงคลี่คลายลงพร้อมกับโม่อวิ๋นฉีถอยกลับมายังที่เดิมก่อนหน้า โดยมีร่างของคนที่ถูกเรียกว่าจอมพลังจู้ยืนหน้าง้ำอยู่เบื้องหน้า!
เมื่อเห็นคนที่ปรากฏตัวออก ทั้งโม่อวิ๋นฉีทั้งไป่เจ๋อสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันใด
เจ้าจอมพลังจู้หันหน้าไปทางลู่จิ้วเก๋อและเจียงจิ่วก่อนที่จะค้อมตัวลงคารวะ จากนั้นจึงหันหลังให้คนในที่นั้นและเดินออกไป
ภายในหอโถงกลับมาเงียบสงบดังเดิม
ต่อมาเป็นสตรีนั่งรถเข็นเอียงหน้าไปทางโม่อวิ๋นฉีแล้วพูดว่า “หลังจากวันนี้ข้าจะพาทหารในกองกำลังไปฝึกในสถานที่ลับ เจ้ากับไป่เจ๋ออยากมาร่วมก็เชิญได้เลย……อ้อ ข้ามีเรื่องจะแจ้งให้ทุกคนรู้อีกเรื่อง ในเร็ววันนี้ สถานศึกษาฉางหลานจะตบเท้าไปเขตแดนต้าอวิ๋นกัน!”



