บทที่ 364 ค่ายกลผนึกวิญญาณ! (ปลาย)
……
หลังจากนั้น ชายหนุ่มทำการคิดคำนวณคร่าวๆ และพบว่า ตนเองเวลานี้มีเงินมากถึงหนึ่งพันล้านเหรียญทองแล้ว อีกทั้งยังมีสุดยอดศิลาจิตวิญญาณหลังหักส่วนที่เปิดใช้งานมนุษย์ทองคำแล้วเบ็ดเสร็จจำนวนสองล้านชิ้น……
……
ในขณะที่สุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณและอาวุธขั้นประกายแสงที่เคยใช้งาน เขาทิ้งไว้ที่สถานศึกษาฉางหลาน!……
..
สถานศึกษาฉางหลานมีความจำเป็นต้องใช้มันมากกว่าตัวเขาเอง!
และเชื่อมั่นว่าฉางหลานต้องมีสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน! ด้วยชายหนุ่มเคยรับปากกับอาจารย์ใหญ่จี้ว่า วันหนึ่งจะทำให้ฉางหลานเป็นสถานศึกษาที่ดีที่สุดในโลกชิงฉาง ดังนั้นเขาจึงต้องทำให้สำเร็จ!
ตอนนั้นเองมีเสียงดังขึ้นข้างตัว หัวหน้าเรือเหาะพูดขึ้นว่า “ผู้เยี่ยมยุทธ์เยี่ย ท่านจะทำอย่างไรกับเรือเหาะสามลำนั่นขอรับ?”
เรือเหาะสามลำ!
เมื่อได้ยินเยี่ยฉวนนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะหันมาถามว่า “เรือเหาะแต่ละลำมีราคาเท่าไร?”
หัวหน้าเรือเหาะหยุดคิดสักเดี๋ยวก่อนจะรีบตอบว่า “เรือเหาะลำหนึ่งราคาประมาณร้อยล้าน หากผู้เยี่ยมยุทธ์เยี่ยต้องการจะขายล่ะก็ สำนักอัปสรเมรัยอาจรับซื้อขอรับ”
สามร้อยล้าน!
เยี่ยฉวนไม่เสียเวลาคิดจึงพยักหน้าทันที “ตกลงขาย และท่านช่วยแลกเงินเป็นสุดยอดศิลาจิตวิญญาณพร้อมกับส่งไปให้จ้าวหอชั้นห้าที่แคว้นเจียงด้วย แจ้งเขาว่าเป็นค่างวดผ่อนจ่ายของข้า”
หัวหน้าค้อมกายคารวะ “ได้ขอรับ!”
ขณะที่เขาทำท่าจะพูดอะไรต่อไป ยามรักษาการณ์คนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ “รายงานหัวหน้าอู๋ เวลานี้เรือเหาะเข้าสู่เขตแดนต้าอวิ๋นแล้วขอรับ!”
เขตแดนต้าอวิ๋น!
เยี่ยฉวนเบนหน้าไปในทิศทางที่เรือเหาะกำลังมุ่งหน้าไป ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยนัยน์ตา เขาก็ยังสัมผัสได้ทุกสิ่ง ที่ห่างไกลออกไปภาพเค้าโครงของเมืองกำลังค่อยๆ ปรากฏเด่นชัดขึ้นเบื้องหน้า เผยให้เห็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ ใหญ่กว่าเมืองหลายเมืองในแผ่นดินชิงที่เยี่ยฉวนเคยเห็นสองถึงสามเท่า!
“นี่คือเมืองหลวงของอาณาจักรต้าอวิ๋นอย่างนั้นหรือ?” เขาเอ่ยถามคนข้างๆ
หากทว่าหัวหน้าเรือเหาะกลับสั่นศีรษะปฏิเสธพลางอธิบายว่า “ผู้เยี่ยมยุทธ์เยี่ย ที่นี่มิใช่เมืองหลวงของอาณาจักรต้าอวิ๋นขอรับแต่เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่แนวชายแดนของอาณาจักรต้าอวิ๋น เมืองนี้มีชื่อว่าเมืองหนานหมิง มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณห้าล้านคนเท่านั้น”
เมืองเล็กๆ!
เพียงได้ฟังทำเอาเยี่ยฉวนยืนตัวแข็ง เมืองหลวงของแคว้นเจียงยังไม่ใหญ่เท่านี้! เห็นทีเขาคงประมาทอาณาจักรต้าอวิ๋นต่ำเกินไปเสียแล้ว
อย่าว่าแต่อาณาจักรต้าอวิ๋น ดินแดนอันธการและสถานศึกษาฉางมู่ของที่นี่ย่อมไม่ธรรมดา ถึงกระนั้นก็ไม่น่าแปลกใจ กลุ่มมหาอำนาจเหล่านี้ล้วนดำรงอยู่มาเป็นเวลานานหนักหนา ดังนั้นจึงย่อมไม่ธรรมดาเช่นนี้เอง!
หัวหน้าอู๋พูดมาอีกว่า “ผู้เยี่ยมยุทธ์เยี่ย เรือเหาะจะหยุดพักที่เมืองนี้สักระยะเพื่อเติมเชื้อเพลิง! ด้วยเมืองหนานหมิงอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก นอกจากนั้นเมืองหลายเมืองในอาณาจักรต้าอวิ๋นยังต้องเสื่อมโทรมจากการทุจริตมาหลายปี จนหลายแห่งเกิดความชุลมุนวุ่นวายโดยเฉพาะเมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกล ในเมืองนี้จึงค่อนข้างสับสนวุ่นวาย ถ้าผู้เยี่ยมยุทธ์เยี่ยจะลงจากเรือเหาะ โปรดใช้ความระมัดระวังด้วยนะขอรับ!”
เยี่ยฉวนผงกศีรษะรับคำ “ตกลง!”
พลันเหมือนฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาจึงเอ่ยถามอีกฝ่าย “เมืองนี้มีสถานศึกษาฉางมู่หรือไม่?”
หัวหน้าอู๋พยักหน้า “มีขอรับ สถานศึกษาฉางมู่ ดินแดนอันธการและตระกูลเก่าแก่มีแทรกซึมไปทั่วทุกเมืองของอาณาจักรต้าอวิ๋น บางเมืองยังได้ถูกยึดครองโดยสถานศึกษาฉางมู่และตระกูลเก่าเสียด้วยซ้ำ หากมิใช่เพราะพระปรีชาสามารถของฮ่องเต้เกาซานแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น แผ่นดินอาณาจักรแห่งนี้คงถูกแบ่งแยกโดยกลุ่มอำนาจทั้งหลายไปนานแล้ว”
ฮ่องเต้เกาซาน!
ชายหนุ่มนิ่งฟังทุกถ้อยคำราวกับจะบันทึกไว้ในความทรงจำ ก่อนกล่าวลา “ข้าพอจะเข้าใจแล้ว!”
จากนั้นไม่นาน หัวหน้าอู๋คารวะอำลาแล้วจึงแยกออกไป
เมื่อมาถึงเมืองหนานหมิง เรือเหาะค่อยๆ ร่อนลงจอดเป็นที่เรียบร้อย
เยี่ยฉวนไม่ได้นั่งคอยอยู่กับที่ เขาจึงลงจากเรือเหาะและเดินตรงไปยังถนนที่อยู่ไกลออกไป
หัวหน้าอู๋ส่งคนของสำนักอัปสรเมรัยสองสามคนติดตามไปคอยคุ้มกันห่างๆ
ถึงจะเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ หากภายในสภาพเศรษฐกิจดูซบเซามีผู้คนเดินไปมาบนท้องถนนเพียงไม่กี่คน เพียงเห็นแว่บแรกเยี่ยฉวนให้รู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก
เพื่อตัดปัญหาที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น เยี่ยฉวนจึงปลดกระบี่หลิงซิ่วซึ่งทำให้ดูว่าเขาเป็นผู้ฝึกกระบี่ออกเสีย
ขณะที่เยี่ยฉวนกำลังเดินเอื่อยๆ ไปตามถนน ทันใดนั้นเองมีเสียงกรีดร้องดังมาจากทางขวามือ ชายหนุ่มหันขวับไปทางที่มาของเสียง บนถนนนั้นเองมีกลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งไล่กวดหญิงสาวซึ่งกำลังพยายามหนีอย่างสุดชีวิต นางมีท่าทางตื่นกลัวและวิ่งตรงมาทางเยี่ยฉวนที่ยืนอยู่บนถนน กลุ่มชายท่าทีคึกคะนองวิ่งตามหญิงสาวราวกับฝูงแมวกำลังไล่ตะครุบหนู ด้วยทุกคนหัวเราะเอะอะเสียงลั่น
ทันทีที่หญิงสาววิ่งมาหยุดลงเบื้องหน้า พลันนางทรุดลงนั่งคุกเข่าขณะปากส่งเสียงละล่ำละลัก “ช่วย ช่วยข้าด้วย……”
เยี่ยฉวนก้มตัวลงและใช้มือข้างซ้ายเอื้อมไปจับแขนของอีกฝ่าย ทำท่าจะช่วยพยุงตัวให้ลุกขึ้น ฉับพลันนั้นขณะหญิงสาวเงยหน้าขึ้น ชั่วกระพริบตาต่อมามีดสั้นในมือพรวดเข้าที่เป้าหมายคอหอยของชายหนุ่มทันที ทว่ามีดกลับชะงักกลางครัน ด้วยกระบี่ของเยี่ยฉวนแทงสวนเข้าที่ลำคอของหญิงสาวตรงหน้าเสียก่อน
ความเงียบงันเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ!
นัยน์ตาเบิกโพลงของหญิงสาวจ้องเขม็งเยี่ยฉวน ขณะนั้นอาการตื่นกลัวเมื่อแรกพลันมลายสิ้น เหลือไว้เพียงแววตาประสงค์ร้าย “เจ้า……ทำไมจึงรู้ว่า……”
เยี่ยฉวนส่ายหน้าน้อยๆ มุมปากบิดยก “ข้อแรกมันบังเอิญเกินไป ข้าเพิ่งมาถึงก็มีโอกาสช่วยเหลือสาวงามเลยหรือ? ข้าไม่เชื่อว่าเป็นความจริง ข้อสอง เวลาที่วิ่งหนีเจ้ามีท่าทางปกติธรรมดามาก ถ้าเป็นปกติวิสัยป่านนี้ฝ่าเท้าของเจ้าคงแตกยับเยินไปแล้ว แต่นี่ยังเป็นปกติ ข้อสาม แววตาของเจ้าตื่นตระหนกแต่ไม่ถึงกับสิ้นหวัง ข้อสี่ซึ่งสำคัญที่สุด ข้าเดาเอาและแค่ตอบสนองตามสัญชาตญาณเท่านั้น!”
อั่ก!
หญิงสาวสำลักโลหิตออกมาพรวดหนึ่ง ก่อนที่ร่างจะทรุดฮวบลงไปที่พื้น……
เยี่ยฉวนหันหลังขวับ บนถนนปรากฏอักขระประหลาดขึ้นเบื้องหน้า ต่อมาคลื่นพลังอะไรสักอย่างโถมเข้าล้อมรอบตัวคนอย่างรวดเร็ว
ค่ายกล!
ที่ไม่ไกลออกไปเท่าใด ชายชราผู้หนึ่งเคลื่อนกายออกมา ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนจากเรือเหาะ หัวหน้าอู๋! พร้อมด้วยชายสวมชุดดำอีกเจ็ดคนทางเบื้องหลัง
ทั้งหมดขั้นพลังสุดยอดผสานเทพ!
หัวหน้าอู๋เขม้นมองเยี่ยฉวนพลางว่า “แปลกใจละสิ? ค่ายกลผนึกวิญญาณนี่เตรียมไว้เพื่อเจ้าโดยเฉพาะ ตอนนี้เจ้าจะใช้พลังชี่ก็ได้ ดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”
เยี่ยฉวนพยายามผลักออกพลัง ทว่าพลังชี่ภายในกลับนิ่งสนิทประหนึ่งพลังนั้นสูญสิ้นไปแล้ว จนเขาไม่สามารถใช้การได้
อีกฝ่ายแสยะแยกเขี้ยว “เยี่ยฉวน เจ้าคิดประมาทดินแดนอันธการและสถานศึกษาฉางมู่เกินไป!!”



