บทที่ 368 ฆ่าคนจนมือชาไร้ความรู้สึก! (ต้น)
……
ที่สถานศึกษาฉางมู่!……
……
ในเวลานั้น บรรดาอาจารย์และผู้อาวุโสมากหน้าหลายตา กำลังมาร่วมประชุมกันภายในหอโถงของสถานศึกษาฉางหลาน……
..
เท่าที่เห็นมีอยู่เก้าคนที่เป็นยอดยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์!
ตรงกลางห้องคนที่นั่งอยู่ในที่สูงเด่นกว่าทุกคนคือมู่ซ่วนชิง
เขามองกวาดไปทุกใบหน้าของคนที่อยู่ภายในหอโถง “ถ้าเจ้าเยี่ยฉวนใช้ความเร็วระดับนี้ คาดว่าไม่เกินครึ่งเดือนคงจะถึงเมืองหลวง ถึงตอนนั้น หากคนในขั้นผนึกยุทธ์ยังไม่ออกมาเคลื่อนไหว ไม่ว่าใครในเมืองหลวงก็คงไม่อาจหยุดยั้งคนผู้นั้น และถ้ามันมาถึงฉางมู่เมื่อใด ข้าคงทำได้แต่ยืนดูมันไล่ฆ่าศิษย์ของเราเป็นว่าเล่นเท่านั้น”
“แต่พวกคนวิชายุทธ์ถึงขั้นผนึกยุทธ์ ก็ไม่สามารถออกหน้าต่อสู้กับเยี่ยฉวน!”
คนในที่นั้นแต่ละคนมีสีหน้าเผือดลงทันควัน
กล่าวได้ว่า ทุกคนปรารถนาที่จะร่วมมือกันกำจัดเยี่ยฉวน ทว่าเพราะมีเซียนกระบี่ผู้อยู่เบื้องหลังเป็นก้างขวางคอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีใครกล้ากระทำการหุนหันพลันแล่น!
ตัวอย่างที่ดีที่สุด คือหลี่มู่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จากแผ่นดินใหญ่ผู้นั้น!
หลี่มู่เป็นยอดยุทธ์ขั้นควบยุทธ์สะท้านภพ ทว่ากลับต้องตายอย่างน่าอเนจอนาถ!
ไม่มีทางที่จะแก้ปัญหานี้!
ไม่มีหนทางออกสำหรับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่เป็นอยู่
ช่วงจังหวะนั้น ชายชราคนหนึ่งผุดลุกขึ้นยืน “ตอนนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนเราคงไม่สามารถฝากความหวังกับการยุติโดยสันติวิธีกับเยี่ยฉวน ในเมื่อการยุติโดยสันติไม่อาจเป็นไปได้ พวกเราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด”
จากนั้นคนพูดก็หันหน้าไปทางมู่ซ่วนชิง “สำนักใหญ่ส่งคำตอบรับมาไหม?”
“สำนักใหญ่!”
ทันทีที่ได้ยินทุกสายตาหันมามองมู่ซ่วนชิงเป็นตาเดียว
เวลานี้ความหวังเดียวที่มีคือสำนักใหญ่ฉางมู่!
มู่ซ่วนชิงผงกศีรษะ “ความช่วยเหลือของสำนักใหญ่กว่าจะมาถึงคงอีกสักพัก”
“อีกนานแค่ไหน?” ชาราผู้หนึ่งถามรวดเร็ว
คนตอบเสียงแห้ง “หนึ่งเดือนเป็นอย่างน้อย”
ชายชราคนถามนิ่วหน้า “เหตุใดจึงใช้เวลานานเช่นนั้น? หากพวกเขาใช้ค่ายกลพาหนะ ด้วยระยะทางจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถึงแผ่นดินชิงน่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน แต่นี่ทำไมจึงใช้เวลานานเช่นนี้?”
มู่ซ่วนชิงปรายตาชำเลืองไปที่อีกฝ่าย “เจ้าคิดว่าคนรุ่นใหม่ที่สำนักใหญ่ของเรา มีฝีมือแกร่งกล้าพอที่จะกำจัดเยี่ยฉวนได้อย่างนั้นหรือ?”
คำถามนั้นยังผลให้คนในหอโถงพากันหุบปากเงียบ!
ด้วยต่างตกอยู่ในภาวะตื่นตะลึง ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจดีว่าไม่มีคนรุ่นใหม่คนใดมีฝีมือทัดเทียมเยี่ยฉวน ไม่ว่าจะที่สถานศึกษาฉางมู่แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นหรือสำนักใหญ่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่
โดยในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยกเว้นคนที่ติดอันดับหนึ่งในสิบแห่งทำเนียบยอดคน คนอื่นที่เป็นคนรุ่นใหม่หามีใครสามารถกำจัดเยี่ยฉวนได้ไม่
เยี่ยฉวนบรรลุเป็นจ้าวกระบี่แล้ว!
ขณะที่คนอายุไม่เต็มยี่สิบขวบ ฝีมือระดับนี้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อาจได้รับการพิจารณาจัดอันดับเป็นหนึ่งในสิบได้ด้วยซ้ำไป!
ชายชราเอ่ยแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ “คนคนนี้ไร้ผู้เทียมทาน……ตั้งแต่แรกเพราะหลี่เสวียนชางอดีตอาจารย์ใหญ่ฉางมู่แห่งแคว้นเจียง ที่ทำเรื่องโง่ๆ ในตอนนั้น!”
ตั้งแต่ตอนนั้นจวบจนบัดนี้ คนในฉางมู่ต่างรู้สึกถึงความสูญเสียโศกเศร้า
ด้วยสถานศึกษาฉางมู่เป็นที่ที่เยี่ยฉวนต้องการเข้าร่วมมาตั้งแต่แรก! ถ้าเยี่ยฉวนได้เข้าฉางมู่ในเวลานั้น พวกเขาคงไม่ต้องตกที่นั่งลำบากอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
มู่ซ่วนชิงกล่าวเสียงเรียบ “เรื่องแล้วไปแล้วไร้ประโยชน์ที่พูดถึง ส่วนทางสำนักใหญ่พวกเขาหาคนมาช่วยแล้ว ถึงตอนนี้มีกลุ่มอำนาจที่ต้องการกำจัดเยี่ยฉวนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งนอกเหนือจากฉางมู่และดินแดนอันธกาล สถานศึกษาฉางมู่ได้ติดต่อกลุ่มอำนาจที่ว่าเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำในเวลานี้คือการยับยั้ง อย่าให้เยี่ยฉวนเดินทางไปถึงเมืองหลวงให้ได้ อย่างน้อยป้องกันไม่ให้เขาไปถึงเมืองหลวงก็เพื่อตัวของพวกเจ้าเอง”
ชายชราเอ่ยเสียงขรึมขึ้นมาว่า “การที่เขาได้ม้าเพลิงโลกันตร์มาใช้ครั้งนี้ ข้าเชื่อว่าต้องมีใครสักคนแอบให้ความช่วยเหลืออย่างลับๆ หรือจะเป็นคนของอาณาจักรต้าอวิ๋น? ต้องไม่ลืมว่าม้าเพลิงโลกันตร์ มีแต่ในอาณาจักรต้าอวิ๋นเท่านั้น!”
อีกฝ่ายส่ายหน้า “อาณาจักรต้าอวิ๋นก็ขุ่นเคืองใจกับเยี่ยฉวนไม่น้อย จึงไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะให้ความช่วยเหลือ อีกอย่างหากฮ่องเต้เกาซานปรารถนาที่จะรวมแผ่นดินชิงเป็นหนึ่งแล้วล่ะก็ นางต้องหาทางกำจัดเยี่ยฉวน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนของอาณาจักรต้าอวิ๋นจะส่งม้าให้เยี่ยฉวน”
เมื่อคนพูดจบประโยคพลันเขาทำท่านึกอะไรบางอย่าง แววตาเป็นประกายแปลกประหลาดฉายวาบวับ “ในทางกลับกัน บางทีคนที่ส่งม้าเพลิงโลกันตร์ให้เยี่ยฉวนอาจจะเป็นสำนักอัปสรเมรัย!”
สำนักอัปสรเมรัย!
ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ตามย่อมรู้ว่าสำนักอัปสรเมรัยกระตือรือร้นในการช่วยเหลือเยี่ยฉวนมาโดยตลอด!
ฉับพลันนั้นพื้นที่ว่างเบื้องหน้ามู่ซ่วนชิง อากาศบังเกิดการสั่นกระเพื่อม ต่อมาราวครึ่งก้านธูปให้หลังเขารีบหันมากล่าวกับทุกคน บางอย่างในน้ำเสียงบ่งบอกว่าตื่นเต้นยินดี “เมื่อเป็นเช่นนี้เยี่ยฉวนคงไม่รอดแน่ แจ้งคำสั่งออกไป ทำทุกวิถีทางสกัดกั้นเยี่ยฉวนอย่าให้ไปถึงเมืองหลวง ถ่วงเวลาไว้จนกว่ากำลังสนับสนุนจะมาถึง!”
“รับทราบ!”
ภายในหอโถงทุกคนตอบรับพร้อมกันเป็นเสียงเดียว จากนั้นได้ทะยอยล่าถอยออกไปทีละคนจนหมด
.
แคว้นเจียง ณ สถานศึกษาฉางหลาน
หอโถงฉางหลาน โม่หยวนกำลังนั่งบนขั้นบันไดหินด้านหน้า คนที่นั่งข้างคือเฟิ่งหลาน
คนแรกท่าทางจดจ่อกับกระดาษที่ถืออยู่ในมือ พักใหญ่ต่อมากระดาษบนฝ่ามือกลายเป็นเปลวเพลิงลุกไหม้
“เกิดอะไรขึ้น?” เฟิ่งหลานถามด้วยความสงสัย
อีกฝ่ายหันมาสบตา “เขาเข้าเขตแดนต้าอวิ๋นแล้ว เพียงแต่ถูกสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการพยายามยับยั้งไม่ให้ไปถึงเมืองหลวงของอาณาจักรต้าอวิ๋น ข้าคิดว่าสถานการณ์ของเขาตอนนี้ไม่สู้ดีนัก”
เฟิ่งหลานนิ่งฟัง จากนั้นจึงเอ่ยถามเสียงขรึม “เราจะตามไปช่วยเขาหรือไม่?”
โม่หยวนสั่นศีรษะ “คนของลัทธิขงจื๊อของข้าไปช่วยเขาได้อยู่แล้ว แต่กลับจะยิ่งทำให้ปัญหาบานปลายมากขึ้น แจ้งแม่นางลู่ เตรียมกองกำลังขุนศึกเต๋าให้พร้อมบุกเขตแดนต้าอวิ๋นได้ตลอดเวลา”
เฟิ่งหลานแย้งเสียงต่ำ “ขุนศึกเต๋าฝึกฝนเคล็ดลมปราณแห่งลัทธิแสนยนิยมก็จริง แต่พวกเขาเพิ่งฝึกได้เพียงไม่นาน ข้าเกรงว่าสมรรถนะในการสู้รบของกองกำลังขุนศึกเต๋ายังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับพวกนั้นได้!”
หากอีกฝ่ายคลี่ยิ้มขณะตอบว่า “กองกำลังขุนศึกเต๋าไม่อาจพัฒนาฝีมือถ้าพวกเขาขาดประสบการณ์จากการปฏิบัติ”
เฟิ่งหลานนิ่งไป ท่าทางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ที่เจ้าพูดก็ถูก!”
หลังจากนั้นจึงกระวีกระวาดลุกออกไป
โม่หยวนแหงนหน้ามองแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ ริมฝีปากขยับรำพึงเสียงแผ่วเบา “สถานศึกษาฉางมู่ ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะหัดมีเมตตาเสียบ้าง.”



