บทที่ 371 มาตีข้าเลย! (ต้น)
……
มู่ซ่วนชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดอีกทั้งเขายังปลดปล่อยพลังชี่ลงในน้ำเสียง ดังนั้นอย่าว่าแต่เยี่ยฉวน ต่อให้ใครก็ตามที่อยู่ในรัศมี 150 จั้ง ก็สามารถได้ยินเสียงนั้นได้อย่างถนัดชัดเจน……
……
เห็นได้ชัดว่ามู่ซ่วนชิงจงใจพูดให้เยี่ยฉวนและคนอื่นได้ยิน……
..
พวกเขาจะทำร้ายผู้คนที่อยู่ในแคว้นเจียง!
ทั้งยังจะทำกับคนที่ฉางหลานด้วย!
ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของมู่ซ่วนชิงในเวลานี้
เพราะเขาพบแล้วว่าทำกับเยี่ยฉวนมีแต่จะไร้ประโยชน์ และไม่ว่าจะเป็นยอดยุทธ์หรือมือสังหารที่เคยส่งไป ไม่มีใครสามารถยับยั้งคนผู้นั้นไม่ให้เดินหน้าต่อได้แม้แต่คนเดียว
หนทางเดียวที่จะบังคับให้เยี่ยฉวนหันหลังกลับ มีแต่พวกเขาต้องพุ่งเป้าไปที่แคว้นเจียงและสถานศึกษาฉางหลาน!
ในความมืดแห่งราตรีกาล สายตาของมู่ซ่วนชิงยังคงจ้องจับไปที่เยี่ยฉวนซึ่งอยู่ไกลออกไป อย่างไรก็ตามชายคนนั้นยังนอนนิ่ง มิหนำซ้ำยังมีเสียงกรนดังลอดออกมาให้ได้ยิน
ฝ่ายที่มองดูไม่ปริปากพูดอะไรอีก จากนั้นไม่นาน ทั้งเขาและจ้าวทมิฬจึงหันหลังให้และหายลับไป
ราวหนึ่งชั่วยามถัดจากนั้น เรือเหาะห้าลำบินลัดฟ้าออกจากเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นมุ่งหน้าสู่แคว้นเจียง ซึ่งเรือเหาะทั้งห้าลำแต่ละลำล้วนมีผู้โดยสารเป็นชั้นหัวกะทิของศิษย์สถานศึกษาฉางมู่และคนของดินแดนอันธการอยู่ภายใน
ด้านคนที่นอนเอ้เต้อยู่บนหลังม้าเพลิงโลกันตร์ เยี่ยฉวนผุดลุกขึ้นนั่งและล้วงเอาศิลาถ่ายทอดสัญญาณออกมา……
ครึ่งก้านธูปจากนั้น มีเสียงของลู่จิ้วเก๋อดังออกมาจากศิลาถ่ายทอดสัญญาณ “ไม่ต้องห่วง ถ้ามันยังกล้ามาเหยียบที่นี่ รับรองพวกมันไม่มีโอกาสได้กลับออกไปแน่”
ไม่นานต่อมา เยี่ยฉวนเก็บศิลาถ่ายทอดสัญญาณกลับที่เดิม ก่อนจะเอนหลังนอนหลับต่อไป
ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่อาทรร้อนใจใดๆ เป็นเพราะสถานศึกษาฉางหลานวันนี้ไม่เหมือนอย่างที่แล้วมา แม้สถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการจะส่งคนชั้นหัวกะทิมาหาเรื่อง ยกเว้นสำนักใหญ่ฉางมู่จะส่งขุนศึกเต๋า ก็เป็นการยากที่จะทำร้ายพวกเขาได้ เพราะฉะนั้นสถานศึกษาฉางหลานจึงไม่เกรงกลัวต่อฉางมู่และดินแดนอันธการอีกต่อไป!
ตอนที่เยี่ยฉวนเริ่มออกเดินทาง ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มสาง
จุดหมายปลายทางของเขายังคงเป็นที่เมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น!
ในเวลานั้น ข่าวของเยี่ยฉวนได้เข้าสู่เขตแดนต้าอวิ๋นแล้วกำลังแพร่สะพัดไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ชายหนุ่มเพียงลำพังต่อสู้ทหารม้าหนึ่งกองพันที่เมืองผิงหยางนั้น ได้ถูกนำไปกล่าวขานเติมแต้มสีสันจนเป็นที่เร้าใจ
เริ่มต้นจากคนนำไปเล่าว่าเขาขับไล่ศัตรูนับพันด้วยตัวเอง ทว่ากลับถูกนำไปบอกต่อออกไปว่าเยี่ยฉวนคนเดียวสามารถเด็ดชีพทหารม้าราวหมื่น หากต่อมาได้มีข่าวลือว่าตัวของเขานั้นต่อสู้กับศัตรูถึงแสนนายเพียงลำพัง……
จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าเพียงชั่วระยะเวลาไม่นาน เยี่ยฉวนได้กลายเป็นคนที่เปล่งประกายเจิดจรัสที่สุดในแผ่นดินชิง!
ใครต่อใครต่างเป็นที่รู้กันว่าเป้าหมายของเยี่ยฉวนคือการเอาชนะศัตรูคู่อาฆาตซึ่งเป็นกองกำลังมหาอำนาจสองฝ่ายแห่งแผ่นดินชิง สถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการ!
ช่วงบ่ายของวันนั้นเอง เยี่ยฉวนมาถึงเมืองเก่าอีกแห่ง
เมืองหลงซื่อ!
จากบนกำแพงเมือง ชายวัยกลางคนมองลงมาด้านล่างที่เยี่ยฉวนซึ่งกำลังผ่านเข้าสู่ประตูเมือง มุมปากยกยิ้ม พลางถามคนข้างๆ “บุรุษหนุ่มผู้นั้นคือเยี่ยฉวน อย่างนั้นหรือ?”
คนที่ยืนใกล้กับคนพูด ยามรักษาการณ์หันมาตอบว่า “น่าจะใช่แน่ขอรับ”
ชายวัยกลางคนได้ฟังแล้วก็อมยิ้มมากขึ้น “สมแล้วที่เป็นจ้าวกระบี่ที่อายุน้อยที่สุดในแผ่นดินชิงของเรา แผ่นดินของเราเวลานี้น้อยนักที่จะเห็นคนรุ่นใหม่ที่มีความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกับเยี่ยฉวน”
เสียงขลาดๆ ของยามรักษาการณ์ท้วงว่า “ท่านเจ้าเมืองสถานศึกษาฉางมู่ให้คนส่งหนังสือมาแจ้งว่า พวกเขาหวังให้ทางเราขัดขวางคนผู้นี้ไว้ก่อนน่ะขอรับ”
“เขาจะให้ทางเราขัดขวางเยี่ยฉวนอย่างนั้นหรือ?”
รอยยิ้มเมื่อครู่จืดจางไปทันทีที่ได้ยินคำกล่าวนั้น “พวกเขาจะให้เราเสียสละกำลังคนเพื่อขัดขวางเยี่ยฉวนอย่างนั้นหรือ? ช่างเป็นแผนต่อรองที่เอื้อประโยชน์แก่ฉางมู่เท่านั้น!”
ยามคนเดิมแย้งเสียงอ่อย “แต่ถ้าพวกเราไม่ส่งกองกำลังออกไปขัดขวางเยี่ยฉวน ข้าเกรงว่าสถานศึกษาฉางมู่จะ……”
ชายวัยกลางคนชำเลืองมองคนที่ยืนข้าง “สถานศึกษาฉางมู่งั้นหรือ? ข้ารับคำสั่งจากฮ่องเต้เกาซานเพียงพระองค์เดียว ประกาศออกไปถ้าผู้ใดในเมืองออกมาขัดขวางเยี่ยฉวน เท่ากับฝ่าฝืนคำสั่งต้องโทษประหารโดยไม่มีละเว้น!”
ยามรักษาการณ์ค้อมตัวลงรับคำสั่ง “ขอรับ!”
จากนั้นจึงรีบถอยออกไปทันที
คนที่ยังยืนอยู่บนกำแพงเจ้าเมืองวัยกลางคนหันหลังกลับ ซึ่งในขณะนั้นเยี่ยฉวนเดินเข้าช่องประตูเมืองผ่านเข้าสู่ภายในแล้ว
เขายืนมองตามเยี่ยฉวนไปจนสุดปลายถนนตราบกระทั่งชายหนุ่มลับสายตา ชายวัยกลางคนก็ยังไม่ยอมขยับไปไหนและนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน
ภายในเมือง
เยี่ยฉวนใกล้จะออกจากเขตเมือง พลันเหลือบเห็นชายชราสวมผ้าคลุมสีเทายืนจังก้าอยู่ที่หน้าประตูทางออก คนแปลกหน้าซ่อนมือข้างขวาไว้ในชายแขนเสื้อ และในมือข้างซ้ายถือลูกบอลโลหะสองลูก
ชายชราคนนี้มีพลังยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์!
ณ หัวมุมถนน เจ้าเมืองหลงซื่อซึ่งมองเห็นเหตุการณ์นิ่วหน้าทันที “คนของฉางมู่ พลังขั้นผนึกยุทธ์เขาคิดจะลงมืองั้นหรือ?”
คนที่กำลังยืนประจันหน้าฝั่งตรงข้าม มองจ้องเขม็งตรงมายังเยี่ยฉวน “เยี่ยฉวน ข้าเป็นอาจารย์ของฉางมู่ อยากจะบอกเจ้าว่าเวลานี้สถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการได้ส่งคนชั้นหัวกะทิไปใกล้ถึงแคว้นเจียงในไม่ช้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่รีบกลับไปช่วย ข้าเกรงว่าศิษย์ฉางหลานและราชสำนักแคว้นเจียงคงต้องล้มตายอย่างน่าอนาถ!”
เยี่ยฉวนรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย อีกทั้งม้าเพลิงโลกันตร์ที่เขาขี่อยู่นั้น ก็ยังเหยาะย่างตรงไปข้างหน้าอย่างปกติ!
ท่าทางเพิกเฉยไม่เดือดร้อน ทำให้ชายชราสวมผ้าคลุมเทาถึงกับชักสีหน้า ขณะนั้นมือซ้ายกำเข้าหากันจนลูกโลหะกลางฝ่ามือกระทบดังกริก
ความรู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือใคร่ออกปะทะกับเยี่ยฉวน!
ชายชราปรารถนาจะบดขยี้เขาให้แหลกลาญ!
ถ้าประมือกับเยี่ยฉวน มั่นใจได้เลยว่าเขาจะไม่รอดชีวิตแน่ นอกจากนั้นเขามีพลังยอดยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์ ขณะที่เยี่ยฉวนเพิ่งสำเร็จขั้นสันโดษ ระหว่างคนทั้งสองระดับพลังห่างกันถึงสองขั้น!
ทว่าปัญหาคือชายชราไม่กล้าออกจู่โจม!
หลี่มู่เป็นถึงยอดฝีมือขั้นควบยุทธ์สะท้านภพ กลับต้องมาตายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยฝีมือของเยี่ยฉวน……
เมื่อคิดได้เช่นนั้น มือข้างซ้ายของชายชราจึงค่อยๆ คลายออก
แต่แล้วเยี่ยฉวนพลันชะงักหยุดกึก เขาเอียงศีรษะหันมาทางชายชราซึ่งยืนนิ่งงัน “อยากประมือกับข้าไม่ใช่หรือ? มาตีข้าสิ! เข้ามาเลย!”
มือข้างซ้ายซึ่งคลายออกแล้วเมื่อครู่ของชายชรากลับขยับกำแน่นอีกครั้ง เขาหันขวับมาทางคนพูดสายตาจ้องแน่วราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ประสาทสัมผัสทั้งห้าบิดเป็นเกลียวเขม็ง
ฉับพลันนั้นเองชายหนุ่มดีดตัวจากหลังม้าเพลิงโลกันตร์ลงมาบนพื้น จากนั้นก็สาวเท้าเดินตรงเข้าหาชายชราขณะเดียวกันใช้นิ้วจิ้มที่หน้าอกของตัวเอง “มาตีข้าเลย!”
คนที่มุมถนน เจ้าเมืองบิดยกมุมปาก “เยี่ยฉวนคนนี้……”
หากฝ่ายที่ยืนประจันหน้าชายชราโกรธจนมือสั่น ซึ่งแสดงถึงความโมโหฉุนเฉียวที่อัดแน่นอยู่ภายใน
เมื่อเห็นว่าชายชราต้องใช้พยายามยิ่งยวดในการข่มสติยับยั้งตัวเองไม่ให้ออกปะทะ เยี่ยฉวนเหยียดมุมปากยิ้มเย้ยหยัน แต่ชายหนุ่มไม่คิดกระตุ้นให้เกิดการต่อสู้ในตอนนี้ เขาจึงหันหลังกลับไปขึ้นหลังม้าเพลิงโลกันตร์ ต่อจากนั้นเพียงไม่นานทั้งคนทั้งม้าก็ลับไปจากสายตาของคนที่อยู่ข้างหลัง
เมื่ออยู่ตามลำพัง ชายชราผลักออกฝ่ามือกระแทกใส่พื้นดิน
ตู้ม!
แรงอัดส่งผลให้พื้นดินแตกระเบิดจนเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่
สีหน้าของคนบ่งบอกอารมณ์เคียดแค้นอย่างยากจะอธิบาย!
ความคิดเมื่อแรกที่เคยคิดว่าคนขั้นพลังสันโดษอย่างชายคนนั้น เปรียบไปก็เหมือนมดตัวกระจิ๊ดริดที่มากัดตนจนเกิดความรำคาญขัดเคือง แต่นี่มัน……เขากลับทำอะไรมันไม่ได้!
ความหดหู่จู่โจมรุนแรง!
เขาไม่เคยต้องทุกข์ทรมานกับความหดหู่เช่นนี้เลย! ความคิดแวบหนึ่งทำให้เขาเกือบฟาดใส่เยี่ยฉวน ทว่ายังสามารถสงบสติอารมณ์ไว้ได้ทันการ!
ด้วยเมื่อใดที่เขาเริ่มจู่โจมเยี่ยฉวน เท่ากับแหย่เท้าหาความตายเข้าแล้ว! ยิ่งกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าเยี่ยฉวนมีเจตนาที่จะก่อกวนให้เขาเกิดความกระคายเคือง!
แม้แต่ยอดฝีมืออย่างหลี่มู่ยังไม่มีปัญญารับมือกับเซียนกระบี่ นับประสาอะไรกับตัวเขา!
ชายชราสูดลมหายใจลึก ก่อนจะหันกลับออกจากสถานที่ไป



