บทที่ 549 เฒ่าสถุลแซ่ลู่ แน่จริงมาเจอกับข้าตัวต่อตัว! (ต้น)
เหตุการณ์ที่ปรากฏว่ามีโลงศพจำนวนสิบโลงวางทิ้งไว้ที่เชิงเขาชางเจี้ยน ทำให้เกิดบรรยากาศตึงเครียดไปทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์……
สำนักชางเจี้ยนเป็นกองกำลังแบบไหนกันแน่?……
พันปีก่อนพวกเขาตามหลังสำนักผู้ตรวจการเขตแดน กระทั่งมาสูสีและในที่สุดก็ล้ำหน้ากว่า!
แม้แต่ขณะนี้สำนักนี้ยังคงเป็นกองกำลังอันดับต้นๆ แห่งโลกชิงฉาง ทว่าตอนนี้กลับมีคนเอาโลงศพมาวางที่เชิงเขาชางเจี้ยน และศพที่อยู่ข้างในก็ล้วนแต่เป็นศิษย์ชางเจี้ยนทั้งสิ้น
นี่หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีวันวางมือจากเรื่องนี้!
ในโถงใหญ่ที่ยอดเขาชางเจี้ยน
เฉินเป่ยฮั่นนั่งนิ่งหลับตาโดยไม่ได้พูดอะไร
ฉางเสวี้ยนและเยว่ฉียืนอยู่ที่พื้นซึ่งลดระดับลงไป
พลันมีเสียงคนเจ้าสำนักพูดขึ้นว่า “เรียกศิษย์รุ่นน้องกลับมาให้หมด……และส่งข่าวพี่บอกใหญ่ด้วย!”
พี่ใหญ่?
ฝ่ายฉางเสวี้ยนสีหน้าออกลังเล ก่อนจะทักท้วงว่า “ขะ……เขาจะกลับหรือขอรับ?”
เฉินเป่ยฮั่นยิ้มในหน้า “มา……มาแน่!”
อีกฝ่ายจึงไม่ว่าอะไรได้แต่พยักหน้าและเร่งไปดำเนินการตามคำสั่ง
เมื่อฉางเสวี้ยนคล้อยหลังไป คนเจ้าสำนักหันไปพูดกับเยว่ฉีอีกด้าน “เจ้ามีความเห็นอย่างไร?”
สตรีสั่นหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ “ท่านตัดสินใจเองก็แล้วกัน”
จากนั้นก็ผลุนผลันออกจากสถานที่ไปทันที
เฉินเป่ยฮั่นได้แต่มอง ส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้
ยอดเขาอวิ่นเจี้ยน
เยี่ยฉวนนั่งอยู่ที่ประตูทางเข้าหอโถง เขาได้ข่าวเหตุที่เกิดกับสำนักชางเจี้ยนทั้งหมดจึงกำลังคอยเยว่ฉีกลับมา!
พักใหญ่สตรีจึงปรากฏขึ้นที่ประตูทางเข้า เยว่ฉีทอดสายตามองตรงมายังเยี่ยฉวนขณะนั้นกำลังขยับลุกขึ้น “อาจารย์เยว่ ข้าได้ข่าวเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นข้างนอกนั่นแล้วขอรับ ฉะนั้นข้าตัดสินใจจะไปจากที่นี่แน่นอน สำนักชางเจี้ยนไม่ควรจะต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้เพราะข้า”
เยว่ฉีส่ายหน้า “เจ้าห้ามไปไหนทั้งนั้น!”
ชายหนุ่มค่อนข้างสับสน “ทำไมขอรับ?”
คนเป็นอาจารย์หันมามองศิษย์ตรงหน้าเต็มตา ก่อนจะพูดว่า “ถ้าเจ้าหนีไปทุกคนจะเชื่อสนิทว่าสำนักชางเจี้ยนเกรงกลัวอำนาจของสำนักผู้ตรวจการเขตแดน! สำหรับพวกเราถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าการที่สำนักไม่เหลือใครกระทั่งล่มสลายไปด้วยซ้ำ! ต่อให้เจ้าอยากหนีก็ไม่ใช่เวลานี้ ยิ่งกว่านั้น ในฐานะที่เจ้าก็เป็นศิษย์สำนักชางเจี้ยน จะต้องอยู่และเผชิญหน้าสู้พร้อมกับทุกคน”
ชายหนุ่มยิ้มแห้ง “ถ้าข้าไม่หนี สำนักผู้ตรวจการเขตแดนจะไม่ยอมจบลงแต่โดยดีแน่ขอรับ”
เยว่ฉีขยับเข้าใกล้ จากนั้นจึงตบฝ่ามือลงบนบ่าของคนตรงหน้า “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หรือไม่ อย่างไรเสียพวกเราก็หนีไม่พ้นการเผชิญหน้าไม่วันใดก็วันหนึ่ง เจ้าเป็นแค่คนลั่นไก ไกปืนที่ลั่นออกไปเป็นสัญญาณเริ่มการต่อสู้ต่างหาก”
นางเดินหายเข้าไปในหอโถงชั้นในแล้ว
เยี่ยฉวนยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
เดิมทีเยี่ยฉวนเข้าใจว่าสำนักผู้ตรวจการเขตแดนพุ่งเป้าหมายที่ตัวเขาเท่านั้น ซึ่งคงจะใช่ ทว่าสิ่งที่เขาคาดผิดถนัดก็คือสำนักชางเจี้ยน……บางทีสำนักชางเจี้ยนได้เตรียมพร้อมปฏิบัติการมาก่อนหน้านานแล้วก็เป็นได้
ด้วยชายหนุ่มมั่นใจหนักหนาว่าสำนักชางเจี้ยนไม่ยอมขัดแย้งกับสำนักผู้ตรวจการเขตแดน เพียงเพราะเรื่องตัวเขาเป็นอันขาด
เว้นเสียแต่ว่าเขาสำเร็จเป็นยอดฝีมือเซียนกระบี่และมีอำนาจมหาศาล มากพอที่จะทำให้สำนักชางเจี้ยนทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขาเอาไว้!
อีกทั้งเจตนาที่สำนักชางเจี้ยนรั้งเขาเอาไว้ เพียงเพราะไม่ต้องการให้คนภายนอกคิดว่าสำนักชางเจี้ยนหวาดกลัวสำนักผู้ตรวจการเขตแดนเท่านั้น จริงหรือ?
จะต้องมีเหตุผลอื่น!
หลังจากนั่งอยู่พักใหญ่ เยี่ยฉวนสบัดศีรษะเบาๆ สลัดความคิดในหัว ในเมื่อสำนักชางเจี้ยนอยากให้อยู่ เขาก็จะอยู่!
ฝึกบ่มเพาะพลัง!
ชายหนุ่มหมุนตัวหันหลังกลับทันทีและเดินตรงไปทางด้านหลังภูเขา เขามีเป้าหมายสำคัญซึ่งเร่งด่วนที่สุดก็คือฝึกบ่มเพาะพลังและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง
เยี่ยฉวนบรรลุขั้นพลังผนึกยุทธ์ได้ระยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้นหากใช้ความทุ่มเทอย่างเต็มที่เขาอาจบรรลุขั้นควบยุทธ์สะท้านภพได้!
นอกจากนั้นเมื่อได้มีเวลาทำความเข้าใจกระบี่แห่งเต๋า ถ้ามีโอกาส เขาก็น่าจะบรรลุขึ้นไปอีกขั้นได้ด้วย!
เซียนกระบี่!
เมื่อใดที่เขาบรรลุเป็นเซียนกระบี่ สมรรถนะด้านพลังจะแตกต่างไปจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง! ถึงตอนนั้นเขาอาจประมือกับผู้ทรงเกียรติลู่ได้แน่!
เยี่ยฉวนมาถึงยังสถานที่แห่งหนึ่งด้านหลังภูเขา จากนั้นจึงหย่อนกายนั่งลงบนพื้นดิน เขาผลักฝ่ามือข้างขวาออกไปข้างหน้า เมื่อกระบี่เล่มหนึ่งปรากฏพลันหายวับไปในทันที ในช่องอากาศที่ว่างเปล่ากระบี่ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กระบี่เล่มแล้วเล่มเล่า ช่างน่าแปลกเหลือเกิน
กระบี่อสนีบาต……
เพลงกระบี่อสนีบาตปลดปล่อยกระบี่ได้อย่างน้อยๆ ร้อยเล่มในคราวเดียว มากมายอะไรเช่นนี้ เพลงกระบี่ชนิดนี้ทั้งปราดเปรียวและรู้ทัน!
ฝึกบ่มเพาะพลัง!
ฝึกการบ่มเพาะพลังอย่างเอาเป็นเอาตาย!
ช่วงบ่ายของวันถัดมา โลงศพอีกสิบโลงถูกนำมาทิ้งไว้ที่หน้าประตูทางเข้าสำนักชางเจี้ยน ด้านในเป็นศพของศิษย์สำนักชางเจี้ยนอีกเช่นเคย
อย่างไรก็ตามใกล้ๆ กับโลงศพมีร่างคนตายอีกสิบคนเกลื่อนกลาด และมีอยู่สองหรือสามคนเป็นคนยอดฝีมือขั้นควบยุทธ์สะท้านภพ
นอกนั้นเป็นคนขั้นพลังผนึกยุทธ์
และคนที่ตายมิใช่คนของสำนักชางเจี้ยนทั้งหมด!
แต่มีคนของสำนักผู้ตรวจการเขตแดนปะปนอยู่ด้วย!
หลังจากที่มีข่าวว่าเป็นศพของสำนักผู้ตรวจการเขตแดน ทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เกิดการตื่นตัวขึ้นมาทันที
สำนักผู้ตรวจการเขตแดนและสำนักชางเจี้ยนจะเปิดศึกแล้วสินะ
ไม่ว่าเหตุผลคืออะไร ผู้คนภายนอกรู้แต่เพียงว่าเบื้องหลังมีความสลับซับซ้อนมากกว่านั้น
ห้าวันให้หลัง โลงศพมากกว่า 30 โลงตั้งเรียงรายอยู่บริเวณเชิงเขาที่ตั้งสำนักชางเจี้ยน อย่างไรก็ตามรอบๆ โลงศพเหล่านั้นมีซากศพอีกนับสิบๆ ร่างด้วย
ทั้งสองฝ่ายลอบกระทำการอย่างไม่ยอมน้อยหน้ากัน!
ในวันหนึ่งมีชายหนุ่มปรากฏกายที่เชิงเขาสำนักชางเจี้ยน เขาสวมผ้าคลุมสีดำ รองเท้าทำด้วยผ้าลินินและผมยาวประบ่า
ชายคนมาใหม่กวาดตามองไปยังโลงศพที่ตั้งเรียงรายและร่างหลายร่างบนพื้น จากนั้นก็ละสายตามองขึ้นไปบนยอดเขา “ศิษย์สำนักชางเจี้ยน โผล่หัวออกมาสู้กับข้า!”
โผล่หัวออกมาสู้กับข้า……
ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศของเจ้าคนนั้น บังเกิดเสียงคำรามด้วยความโกรธดังกระหึ่มจากในสำนักชางเจี้ยน
ทันใดนั้นกลุ่มผู้ฝึกกระบี่พุ่งทะยานลงจากยอดเขาทันที ทว่าฉับพลันต่อมามีเสียงตวาดห้ามมาจากบนยอดเขา “ทุกคนถอย!”
ขณะเดียวกันกับเสียงที่ตวาดดังมานั้น พลันกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศลงมาจากท้องฟ้า จากนั้นจึงลดระดับลงลอยตัวนิ่งอยู่ต่อหน้าชายคนนั้น
บนกระบี่เป็นร่างของชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอ้าน และในมือถือฝักกระบี่
“เฮ้ยนั่น ศิษย์พี่หนานข่ง!”
เสียงใครคนหนึ่งอุทานดังมาจากบริเวณลานโล่ง
ในกระบวนศิษย์รุ่นหนุ่มสาวของสำนักชางเจี้ยน มีอยู่สองคนซึ่งฝีมือเข้าขั้นอัศจรรย์และเป็นเลิศที่สุด หนึ่งในนั้นคือซางเยว่ และอีกคนคือหนานข่ง
สองยอดฝีมือแห่งหุบเขาชางถูกเรียกตัว!
หนานข่งชำเลืองมองชายหนุ่มแปลกที่หน้าสวมผ้าคลุม “เจ้าเป็นใคร?”
คนตรงข้ามตอบเสียงเรียบ “ไม่แน่ว่าเป็นเจ้าหรือข้าที่ต้องตาย ไยมัวมาเสียเวลาแนะนำตัวอยู่อีก?”
จบคำพูดประโยคนั้น ทวนยาววาบเข้ามาอยู่ในมือข้างขวาของคน ฉับพลันต่อมาชายหนุ่มแปลกหน้าก็พุ่งตรงเข้าหา ทวนลำยาวเคลื่อนไหวดุจมังกรทะยานมีทั้งบินขึ้นและร่อนลง พร้อมกันนั้นเขาก็เสือกลำทวนพรวดเข้าใส่หนานข่งตรงๆ
ทว่าหนานข่งหาได้แสดงปฏิกิริยาไม่ ทันใดนั้นเขาก็ตวัดมือขวาหมุนควงสว่าน ชั่วขณะเดียวลำแสงกระบี่จำนวนมากและเงื้อมเงาก็ปรากฏออกรอบกาย และกดให้ทวนลำยาวจมในแสงกระบี่นั้นเอง ในเวลาเดียวกันร่างทะมึนของเงาอสูรดุร้ายทะยานวาบออกจากทวนยาวในมือของชายหนุ่ม ทันใดนั้นเสียงคำรามดุจสัตว์อสูรดังสะท้านกังวานไปทั่วทั้งหุบเขาชา
ตูมม!!!



