บทที่ 652 เจ้ามันจิตใจโหดเหี้ยมสิ้นดี! (ต้น)
ชักจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้วสิ!
ความคิดอย่างหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเยี่ยฉวนทันควัน
ด้วยเป็นที่แน่ชัดว่าคนที่สองมาที่นี่เพื่อต้องการจะมีเรื่อง ทว่าเขาไม่เคยรู้จักพวกนี้มาก่อนเลยนี่น่ะสิ
โลกนี้ไม่มีใครเกลียดใครโดยที่ไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน สองคนตรงหน้าต้องมาด้วยความประสงค์บางอย่าง
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเยี่ยฉวนจึงชักกระบี่ออกมาและฟาดลงไปตรงหน้าอย่างรุนแรง
เขาไม่คิดซักถามสองคนเบื้องหน้าว่ามาหาเรื่องด้วยเหตุใด หากรู้เพียงว่าเมื่อเผชิญหน้ากับคนพวกนี้ มีหนทางเดียวคือต้องสู้เท่านั้น!
ทันทีที่เห็นชายหนุ่มเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจม ทั้งสตรีสวมชุดขาวและชายหนุ่มสวมผ้าคลุมปักดิ้นทองสีหน้าพลันฉายความประหลาดใจ แน่ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าเยี่ยฉวนจะกล้าลงมือต่อสู้ด้วย
ทว่าทั้งสองคนมีปฏิกิริยาตอบโต้ฉับไว้มากโดยเฉพาะหญิงสาวสวมชุดยาวสีขาว เมื่อเยี่ยฉวนเสือกกระบี่แทงพรวด นางก็ผลักฝ่ามือข้างขวาออกเกือบในทันทีและปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าพุ่งวาบออกมา
ตูม!
เสียงระเบิดดังสนั่นอันเกิดจากการปะทะ ร่างสองร่างผงะเงิบถอยห่างจากกันพลันแต่ละคนถอยหลังไปไกลจากกันนับร้อยจั้งในคราวเดียว
สตรีสวมชุดยาวสีขาวตั้งตัวได้ขณะที่นางทำท่าจะจู่โจมเข้ามาอีกครา และเกือบจะทันใดนั้นเสียงตวาดแสดงความโกรธเกรี้ยวของใครคนหนึ่งดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ฉับพลันต่อมา เบื้องหน้าเยี่ยฉวนปรากฏชายชราคนหนึ่ง
เขาคือหวังเชี่ยนหยา รองอาจารย์ใหญ่สาขานอกนั่นเอง
เมื่อเห็นผู้ที่เพิ่งเข้ามา สตรีสวมชุดยาวสีขาวจึงหยุดชะงักไปด้วย
หวังเชี่ยนหยากวาดตามองคนทั้งสามแววตาขุ่นเคืองยิ่ง “ที่นี่คือลานไป้กั๋ว ถือเป็นสถานที่สำคัญเสมอเท่าชีวิตของคนในสถานศึกษาเต๋าอี้ พวกเจ้าลงมือต่อสู้กันในนี้ อยากตายกันนักใช่ไหม?”
พลันชายหนุ่มสวมผ้าคลุมปักดิ้นทองซึ่งยืนข้างหญิงสาวชี้นิ้วไปทางเยี่ยฉวน “เขาเป็นคนลงมือก่อนขอรับ”
ชายชราเบนหน้าหันไปมองฝ่ายที่ถูกกล่าวหา ว่าแล้วเยี่ยฉวนจำต้องงัดศิลาถ่ายทอดสัญญาณออกมา พลันบทสนทนาของสตรีสวมชุดยาวสีชาวและบุรุษสวมผ้าคลุมปักดิ้นก่อนออกมาปรากฏต่อหน้าทุกคน
ศิลาถ่ายทอดสัญญาณชิ้นนี้แสดงผลเสียงที่ถูกบันทึกเอาไว้นั่นเอง!
ภายหลังจากนิ่งฟังเสียงที่ถูกบันทึกไว้ในศิลาถ่ายทอดสัญญาณ สีหน้าของหวังเชี่ยนหยาจึงแปรเปลี่ยนเย็นเยียบ ชายชราเอี้ยวศีรษะไปมองสตรีสวมชุดยาวสีขาวและชายหนุ่มสวมผ้าคลุมปักดิ้นทองซึ่งยืนเยื้องห่างออกไป ขณะที่ทั้งคู่สีหน้าเผือดวูบเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าเยี่ยฉวนจะใช้ลูกเล่นไม้นี้
ฝ่ายสตรีหันไปเอ่ยวาจาอาฆาตต่อคนตรงข้าม “คราวหน้าเจ้าไม่โชคดีอย่างนี้แน่”
จากนั้นสองคนจึงหันหลังและทำท่าจะกลับออกไป
เสียงเยี่ยฉวนตะโกนไล่หลังไปทันทีว่า “ไม่ต้องรอคราวหน้าหรอก มาสู้กันให้รู้แพ้รู้ชนะเดี๋ยวนี้แหละ!”
พูดแล้วชายหนุ่มเดินอาดๆ พร้อมถือกระบี่ในมือตรงเข้าหาสตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
หญิงสาวชะงักฝีเท้าหมุนตัวขวับ หันมองเยี่ยฉวนด้วยแววตาเยือกเย็น “คิดว่าที่นี่คือสำนักชางเจี้ยนหรือไง? ไร้เงาหัวพวกชางเจี้ยนคอยช่วยเหลือ ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะแน่สักแค่ไหน”
เสียงพูดขาดคำนางขยับเตรียมที่จะเคลื่อนที่ออกไป
ทว่าหวังเชี่ยนหยาตวาดเสียงกร้าวมาจากอีกทาง “อะไร? พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ายังยืนอยู่นี่?”
เยี่ยฉวนขยับอ้าปาก หากหวังเชี่ยนหยาหันขวับมาพลางร้องสั่ง “กลับไปทำงานรดน้ำต้นไม้ของเจ้า ไป!”
ชายหนุ่มจะทำอะไรได้ จึงได้แต่ยักหัวไหล่ จากนั้นก็ก้มลงเก็บผลไม้ทองคำสามลูกที่กลิ้งอยู่บนพื้นขึ้นมาก่อนจะหันกลับออกไป
คำสั่งของรองอาจารย์ใหญ่หวังเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเชื่อฟัง!
เมื่อหวังเชี่ยนหยาเห็นว่าเยี่ยฉวนยอมล่าถอยไปโดยไม่ทำท่าจู่โจมอีก เขาค่อยรู้สึกเบาใจขึ้น ด้วยถ้าทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะต่อสู้กันจริง ชายชราเองก็ไม่ว่าจะสามารถห้ามปรามพวกเขาไว้ได้
ขณะนั้นเองชายสวมผ้าคลุมปักดิ้นตะโกนบอกอีกฝ่ายน้ำเสียงแสดงความไม่พอใจนักว่า “ผลไม้ทองคำนั่นของพวกเรา เจ้าจะ……”
เยี่ยฉวนไม่หันกลับหลังไปมองด้วยซ้ำพลางยกนิ้วเป็นสัญลักษณ์หยาบคาย ก่อนจะหายวับไปในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
เมื่อเห็นเช่นนั้น พลันสีหน้าของชายสวมผ้าคลุมปักดิ้นทองและสตรีสวมชุดยาวสีขาวแปรเปลี่ยนถมึงทึงน่ากลัวยิ่ง
ทันใดนั้นเสียงสตรีสวมชุดยาวสีขาวบอกคนข้างๆ ว่า “กลับกันเถอะ!”
คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายหันมามองด้วยแววตาเย็นชา “พวกเราจะกลับไปง่ายแบบนี้หรือ?”
ฝ่ายหญิงบิดมุมปากตอบเสียงเบาว่า “ยังไม่ถึงเวลาสนุกๆ จะรีบร้อนไปทำไม?”
ว่าแล้วคนพูดไม่รอช้าหันหลังกลับออกไปทันที
ชายหนุ่มสวมผ้าคลุมดิ้นทองเหลือบตามองตามหลังเยี่ยฉวนแววตาขุ่นเคืองหนัก ก่อนจะหันกลับตามไปอย่างไม่เต็มใจ
ในเขตคิมหันตกาล ชายชราหวังเชี่ยนหยาตามมาพบเยี่ยฉวน
ขณะทอดสายตามองชายหนุ่มตรงหน้าครู่หนึ่งจึงพูดว่า “สองคนนั้น ฝ่ายหญิงชื่อว่าไป่หลิงและฝ่ายชายชื่อเสี่ยวเซียน ทั้งสองคนเป็นศิษย์สาขาใน
เยี่ยฉวนเปล่งหัวเราะหึ “ข้าไม่เคยรู้จักพวกเขามาก่อนจริงๆ”
หวังเชี่ยนหยาจึงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงต่ำพร่า “ทั้งสองคนติดตามมากับชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าหนานซาน ซึ่งมาจากโลกชิงฉาง เท่าที่รู้เจ้าก็เป็นคนที่มาจากโลกชิงฉาง ใช่หรือไม่เล่า?”
โลกชิงฉาง!
สำนักผู้ตรวจการเขตแดน!
พอได้ยินอีกฝ่ายพูดทำให้เยี่ยฉวนนึกถึงชื่อของกองกำลังนี้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนที่จะมาเขาเคยได้ยินฉางเสวี้ยนบอกว่าสำนักผู้ตรวจการเขตแดนเคยส่งคนมาฝึกฝนอยู่กับสถานศึกษาเต๋าอี้เหมือนกัน
แสดงว่าหนานซานน่าจะเป็นคนของสำนักผู้ตรวจการเขตแดน
ทว่าเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์เหนือหัวแห่งสำนักผู้ตรวจการเขตแดนจึงถูกฆ่าตาย……
ไม่สิ!
พลันชายหนุ่มสำนึกได้ในทันทีว่ามีคนเพียงไม่กี่คนที่จะรู้ว่าองค์เหนือหัวแห่งสำนักผู้ตรวจการเขตแดนนั้นหามีชีวิตไม่เสียแล้ว! ถ้าจะว่าไปนอกจากฉางเสวี้ยนและคนอีกไม่กี่คน คนที่เหลือถูกสตรีลึกลับสังหารจนเกือบหมด เพราะฉะนั้นมีคนอีกมากนักที่ไม่รู้ว่าองค์เหนือหัวสำนักผู้ตรวจการเขตแดนถูกฆ่าตายแล้ว
ถ้างั้นคนที่ตามมาหาเรื่องเขาถึงที่นี่ พวกมันคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่โลกชิงฉาง
ถ้าพวกมันรู้จักความน่าเกรงขามของสตรีลึกลับ คงไม่กล้าตามมาราวี
ปัญหาคือยังมีคนอีกหลายคนที่ไม่ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของสตรีลึกลับสวมชุดเรียบผู้นั้น……
คิดแล้วเยี่ยฉวนหันไปถามคนอีกฝ่ายตามตรงว่า “ผู้อาวุโสท่านพอจะทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกชิงฉางบ้างไหมขอรับ?”
หวังเชี่ยนหยาพยักหน้าเนิบช้า “ข้าพอจะรู้มาบ้าง ได้ยินว่าคนของสำนักผู้ตรวจการเขตแดนถูกสตรีลึกลับสังหารเสียเกือบหมด ส่วนเหตุผลนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับสำนักชางเจี้ยน แต่ข้าไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดนัก”
คนฟังพยักหน้าอย่างเข้าใจ!
ยามนี้เยี่ยฉวนเข้าใจกระจ่างแจ้ง!
สำนักชางเจี้ยนและสำนักผู้ตรวจการเขตแดน!



