Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 698

Yi Jian Du Zun
BC

บทที่ 698 ยันต์ผนึกพิภพ ขวานสยบเวหา! (ปลาย)

C

บริเวณนอกเมือง

ชายชราอวิ๋นเซิงขอให้เยี่ยฉวนหยุดและวางตนลงกับพื้น ขณะสายตาที่มองมายังชายหนุ่มบ่งบอกความหมายหลายอย่าง

เยี่ยฉวนเอ่ยถามอีกฝ่ายน้ำเสียงห่วงใย “อาจารย์เป็นอะไรมากไหมขอรับ?”

อวิ๋นเซิงสั่นหน้าพลางถอนหายใจ “ข้าเป็นลูกชายคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องสามคนของตระกูลอวิ๋น ในสำนักเราข้าเป็นคนที่ดูว่ามีแววและประสบความสำเร็จที่สุด ข้าเองที่จริงแล้วควรได้เป็นประมุขแห่งตระกูลอวิ๋น โชคร้ายที่ข้าเอาแต่สนใจวิชาหล่อโลหะและไร้ซึ่งอำนาจ จนท้ายที่สุดตระกูลอวิ๋นก็ตกอยู่ในมือของพี่ใหญ่”

จากนั้นคนพูดหันมามองเยี่ยฉวนตรงๆ “เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดพวกเขาจึงปฏิเสธที่จะปล่อยข้าให้เป็นอิสระ?”

คนถูกถามตอบว่า “ตัดไฟเสียแต่ต้นลมงั้นหรือขอรับ?”

อวิ๋นเซิงหัวเราะหึ “เรื่องนั้นก็เป็นเหตุผลหนึ่งและมีเหตุผลอื่นด้วย เรื่องของเรื่องเขาต้องการเตาหลอมโลหะ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่ามรดกตกทอดของตระกูลอวิ๋นและแผนที่ศาสตราวุธเวทมนตร์ เตาหลอมโลหะนี้บรรพบุรุษของข้าได้รับมาโดยบังเอิญ งานทุกชิ้นที่ผลิตขึ้นจากเตาหลอมล้วนแต่เป็นผลงานชิ้นเอก และด้วยสิ่งต่างๆ มากมายจากเตาหลอมนี้เอง ตระกูลอวิ๋นของเราจึงได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่เยี่ยมยอดตระกูลหนึ่งในดินแดนสวรรค์”

ผู้พูดหยุดคิดนิดหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า “ส่วนแผนที่ศาสตราวุธเวทมนตร์ เป็นบันทึกสถานที่ มีศาสตราวุธจิตวิญญาณทั้งหมดสามชิ้น มีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล จึงมีสิทธิ์ที่จะได้ครอบครอง”

เยี่ยฉวนพึมพำถามออกไป “ศาสตราวุธจิตวิญญาณชนิดใดขอรับ?”

ชายชราตอบทันที “ส่งกระบี่ของเจ้ามาให้ข้ายืมที!”

ชายหนุ่มชะงักไป ครู่หนึ่งจึงส่งกระบี่เซียนหลิงให้กับอวิ๋นเซิง ชายชรารับกระบี่ไปถือไว้จากนั้นจึงประกบสองนิ้วเคาะลงไปบนกระบี่ จากนั้นกระบี่เซียนหลิงบังเกิดอาการสั่นน้อยๆ ก่อนที่กระบี่จะแยกออกจากกันทันที พลันปรากฏภาพวาดลอยออกมาจากกระบี่

เยี่ยฉวนนิ่งงัน “…”

อวิ๋นเซิงพึมพำเสียงแผ่ว “นี่ละศาสตราวุธเวทมนตร์ทั้งสามชิ้นที่ข้าเล่าให้ฟัง ผ้ายันต์ผนึกพิภพ อาวุธขวานสยบเวหา…”

จู่ๆ ผู้พูดเงียบเสียงลงกะทันหัน

เยี่ยฉวนจึงถามไปว่า “ชิ้นสุดท้ายคืออะไรขอรับ?”

ชายชราสั่นศีรษะ “ชิ้นสุดท้ายเป็นศาสตราวุธนิรนามไร้ชื่อ”

พูดพลางเขาหันมามองหน้าชายหนุ่ม “เมื่อใดที่ศาสตราวุธเวทมนตร์ปรากฏอีกครั้ง เมื่อนั้นอันดับในทำเนียบขุมทรัพย์จักรดาราจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน”

คนตรงหน้าถามเสียงเร็ว “คนตระกูลอวิ๋นไม่มีใครค้นหาพบเลยสักชิ้นงั้นหรือขอรับ?”

อวิ๋นเซิงเหยียดยิ้มแห้ง “พวกเราไม่มีใครไปค้นหาได้ทั้งนั้น!”

เยี่ยฉวนถามด้วยความฉงน “เพราะเหตุใดขอรับ?”

อีกฝ่ายจึงว่า “บรรพบุรุษได้ตั้งกฎไว้ว่า ห้ามศิษย์ของตระกูลอวิ๋นทำการค้นหาศาสตราวุธเวทมนตร์ทั้งสามชิ้นโดยเด็ดขาด หากตระกูลอวิ๋นค้นพบชิ้นใดชิ้นหนึ่ง จะทำให้เกิดหายนะใหญ่กระทั่งสิ่งนั้นถูกทำลายไปในที่สุด”

ชายหนุ่มย้อนถามด้วยความสงสัย “ประมุขของท่านไม่ได้ออกตามหาจริงหรือขอรับ?”

อวิ๋นเซิงตอบทันที “ไม่มีอย่างแน่นอน ครั้งหนึ่งประมุขรุ่นที่ 17 เคยออกตามหา เคราะห์ร้ายนักที่เขาไม่ได้กลับมาอีกเลย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตระกูลอวิ๋นก็ไม่มีใครกล้าออกค้นหาศาสตราวุธเวทมนตร์ทั้งสามอีกเลย”

ในตอนนั้นเองชายชรายกด้ามกระบี่เซียนหลิงขึ้นและกระซิบอ่านกฎอยู่ครู่หนึ่ง พลันต่อมาวงแหวนสัมภาระสีดำทะยานวาบออกมาจากส่วนด้ามกระบี่เล่มนั้นทันที ชายชรายื่นวงแหวนสัมภาระและแผนที่ส่งให้กับเยี่ยฉวน

หากชายหนุ่มมิได้ยอมรับไว้ในทันที

อวิ๋นเซิงเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ “กลัวงั้นหรือ?”

เยี่ยฉวนสั่นศีรษะพลางตอบว่า “ท่านต้องเข้าใจนะว่าข้ามิใช่คนตระกูลอวิ๋น”

ชายชราหัวเราะอีก “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้บอกเจ้าว่าเก็บสองสิ่งนี้ไว้ในกระบี่ เพราะข้าเองเพิ่งนึกได้ ทว่าเวลานี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าตระกูลอวิ๋นทำอย่างไรกับข้าบ้าง เช่นนี้แล้วเจ้าว่าควรจะทำอย่างไร?”

ขณะนั้นคนพูดจ้องมองเยี่ยฉวนด้วยสายตาแน่วนิ่ง “ข้าขออย่างเดียว ต่อไปถ้าเจ้าคิดว่าแกร่งกล้าสามารถเพียงพอแล้ว จำไว้ว่าสังหารเฉพาะพี่ใหญ่ของข้าเท่านั้น แต่ละเว้นคนตระกูลอวิ๋น จัดการเขาคนเดียวก็พอ”

คนฟังนิ่งเงียบ

อีกฝ่ายจึงถามทันที “ไม่ได้งั้นหรือ?”

ชายหนุ่มไม่ตอบหากย้อนถามเสียงเร็ว “ท่านพูดอย่างนี้ได้อย่างไรขอรับ?”

อวิ๋นเซิงทำเสียงแค่นหัวเราะ “เจ้าโง่เอ๊ย คิดว่าข้าจะรอดหรือไง? รู้ไหมว่าโซ่เหล็กที่มัดข้านั่นคืออะไร? มันคือตรวนกระชากวิญญาณ มันจะกัดกินวิญญาณของข้าอย่างหิวกระหาย ตอนที่เจ้าพบข้านั้นวิญญาณของข้าใกล้จะดับอยู่แล้ว”

ขณะที่พูดเขาวางวงแหวนสัมภาระและแผนที่ศาสตราวุธเวทมนตร์ลงตรงหน้าเยี่ยฉวน “ข้ามอบการเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวในชีวิตนี้ให้แก่เจ้าแล้ว ที่เหลือเจ้าต้องสานต่อเอาเอง รับปากข้าสิว่าเจ้าจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการหล่อโลหะ…ไม่สิ เจ้าคงจะไม่ล้มเลิก ด้วยในดินแดนสวรรค์แห่งนี้ แล้วเจ้าจะค้นพบเองว่าการเป็นช่างหล่อที่มีชื่อเสียงโด่งดังนั้นจะเป็นอย่างไร และจะเกิดประโยชน์มากมายมหาศาลเกินบรรยายเลยทีเดียว!”

เสียงพูดค่อยๆ แผ่วลงเรื่อยๆ

ชายหนุ่มหน้าเสีย พลันรีบบอกอีกฝ่ายเสียงเร็ว “ผู้อาวุโสขอรับ ข้าจะพาท่านกลับไปที่สถานศึกษาเต๋าอี้ ที่นั่นจะ…”

อวิ๋นเซิงส่ายหน้าช้าๆ พลางพูดเสียงอ่อนเบา “ไม่มีประโยชน์ เมื่อวิญญาณจะดับสูญไม่มีสิ่งใดสามาถเหนี่ยวรั้งได้…”

พลันจิตสัมผัสของเยี่ยฉวนดำดิ่งสู่ภวังค์ “ยอดยุทธ์ชั้นที่สองขอรับ…”

“ไร้ประโยชน์!” เสียงของยอดยุทธ์ที่ชั้นสองสวนกลับมาทันที “เว้นเสียแต่ว่านางจะอยู่ที่นี่ จึงสามารถใช้พลังกอบกู้เอาดวงวิญญาณที่กระจัดกระจายไปแล้วของเขากลับคืนมา…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเยี่ยฉวนเข้าใจได้ทันทีว่าบุคคลที่ยอดยุทธ์ที่ชั้นสองกล่าวถึงก็คือ สตรีสวมชุดเรียบ

ในขณะนั้นมีเสียงแผ่วเบาของอวิ๋นเซิงพูดขึ้นว่า “หลังจากที่ข้าตายแล้ว เจ้าก็ฝังข้าไว้แถวนี้ล่ะ!”

ชายชราพูดพลางมองไปรอบๆ ด้วยแววตาสิ้นหวัง “ชั่วชีวิตของข้าฝันไว้ว่าวันหนึ่งจะสามารถสร้างอาวุธซึ่งติดอันดับทำเนียบขุมทรัพย์จักรดาราสักครั้ง โชคร้ายนักที่ไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว…”

หลังจากนั้นเขาค่อยหลับตาลงจนปิดสนิท

ณ สถานที่นั้นเยี่ยฉวนนั่งเงียบงันอยู่เป็นนาน จนในที่สุดจึงจัดการฝังศพอวิ๋นเซิงไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะทำการร่ำลาผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย “พระคุณของท่านที่เคยสั่งสอนข้าจะตอบแทนให้ ขอให้วางใจข้า…เยี่ยฉวนวันหน้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้ท่านให้จงได้”

หลังจากนั้นจึงจัดการเก็บวงแหวนสัมภาระและแผนที่ให้เรียบร้อย เตรียมจะออกจากสถานที่ไป พลันเขาทำท่าราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ จึงหยิบแผนที่ออกมาเปิดดู ทันใดนั้นเองเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าถึงกับตะลึงงัน

สมบัติล้ำค่าชิ้นที่สามอยู่ในหอคอย… …

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!