บทที่ 897 : ล้างหนี้บัญชีเก่าในศึกนี้!
เมื่อได้ยินคำนั้นออกจากปากนายหญิง สาวงามงุนงงไปชั่วขณะ “นายหญิง…”
ทว่าหญิงสาวกลับส่ายหัว “พอเถอะ”
หลังจากนั้น นางหมุนตัวจากไป
ณ ที่นั้น สาวงามทำได้เพียงยิ้มแห้ง “นาง…”
ชายแก่พลันเอ่ยขึ้นมา “เด็กหนุ่มคนนั้นแข็งแกร่งขอรับ”
สาวงามหันไปมอง “แกร่งเพียงใดหรือ”
ชายแก่ตอบ “หากเขาจู่โจมขึ้นมา ไม่มีใครในหอวาณิชถงเป่าหยุดได้นอกจากนายหญิงเรา!”
ได้ยินเช่นนั้น สาวงามลนลานทันใด “เป็นไปไม่ได้…”
ชายเฒ่าถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหันหลังจากไป
นายหญิงเดินออกมาจากหอวาณิชถงเป่า เดินไปยังม้านั่งหินแล้วนั่งลง ไม่นานนัก สองชายเฒ่าโผล่ขึ้นมาด้านหลัง
หญิงสาวกระซิบ “ท่านยอดฝีมือ ได้โปรดช่วยข้าปกป้องน้องสาวเยี่ยฉวนด้วย”
สองคนนั้นพยักหน้า แล้วหมุนตัวหายจากไป
หญิงสาวเอ่ยต่อ “นายน้อยเยี่ย โปรดออกมาเถิด!”
หลังจากนั้น ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวออกมาไม่ไกลไม่ไกลนัก
เขาสาวเท้าไปยังหญิงสาวแล้วเอ่ยยิ้มๆ “นายหญิง เจ้าช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก!”
นางกระซิบ “ทักษะการแอบซ่อนของท่านยอดเยี่ยมเช่นกัน”
เยี่ยฉวนยิ้มแห้งกลับไป “แต่เจ้าพบข้าอยู่ดี!”
หญิงสาวถาม “เกรงว่าข้าจะวางแผนอะไรไว้หรือไร”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “เจ้าช่วยโดยไม่มีเงื่อนไข ข้าย่อมสงสัยอยู่แล้ว”
นางยิ้มออกมา “เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่หากให้เอ่ยตามตรง ข้าประเมินค่าการตอบแทนของท่านสูงกว่าเพชรน้ำค้างเซียนมากมายนัก”
เยี่ยฉวนมองนาง “ขอบคุณที่ประเมินข้าไว้สูง!”
ชายหนุ่มลังเลขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “ข้าอยากซื้อกระบี่จากเจ้า จะดีนักหากเป็นอาวุธเซียน”
นางถาม “ต้องการเท่าไรหรือ”
เยี่ยฉวนฉุกคิดก่อนจะเอ่ย “ยี่สิบเล่ม!”
นางนิ่งคิดไปเล็กน้อย “ท่านมีเงินไม่พอหรอก”
เยี่ยฉวนยิ้มเขิน “ห้าล้านเพชรน้ำค้างเซียนถือว่าไม่พอหรือ”
นางส่ายหน้า “อาวุธเซียนถือว่ามีประโยชน์ยิ่งสำหรับยอดฝีมือในขั้นพลังก่อเกิดชั้นเนรมิตร หากคนในขั้นนี้ได้ครอบครองอาวุธเซียนแล้ว พลังจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยสามในสิบส่วน และกระบี่ถือว่ามีค่ามากกว่าอาวุธเซียนทั่วไปนัก แม้แต่หอวาณิชถงเป่ายังไม่สามารถหาให้ได้ยี่สิบเล่มในครั้งเดียว!”
ใบหน้าชายหนุ่มหม่นลง หญิงสาวเอ่ยต่อ “แต่ว่า ทางเราค่อยๆ หาให้ได้ อีกทั้งจะปล่อยให้ท่านครอบครองมันก่อนด้วย”
เยี่ยฉวนมองหญิงสาว “เงื่อนไขล่ะ?”
หญิงสาวพยักหน้า “ข้าอยากเห็นสมบัติของท่าน!”
เยี่ยฉวนชะงักไปแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แค่นั้น?”
นางผงกหัว
เยี่ยฉวนยิ้ม ก่อนจะนำหอคอยแห่งเรือนจำออกมา ยามหญิงสาวเห็นหอคอยเล็กจิ๋วเบื้องหน้า นางดูใคร่รู้ขึ้นมา ผ่านไปสักพักได้เอ่ยขึ้น “นายน้อยเยี่ย หอคอยนี้มีพื้นที่สำหรับคนหรือไม่?”
เยี่ยฉวนพยักหน้า
นางเอ่ยถาม “ข้าเข้าไปดูได้หรือไม่?”
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูด นางเอ่ยต่อทันที “ขออภัย เกรงว่าจะกะทันหันไปสักหน่อย”
เยี่ยฉวนยิ้มร่า “ไม่เป็นไร หากเจ้าอยากเข้าไปดู ข้าพาไปได้ทันที!”
ทันทีที่เอ่ยจบ ชายหนุ่มพาหญิงสาวเข้าไปในหอคอยแห่งเรือนจำทันที
ในหอคอยแห่งเรือนจำชั้นแรก หญิงสาวมองไปโดยรอบด้วยความอยากรู้ เห็นอาหลิงอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
เด็กสาวตัวจ้อยจับตามองนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หญิงสาวพึมพำ “ไม่น่าล่ะ…”
ข้างกายนาง เยี่ยฉวนเอ่ยถาม “ทำไมหรือ”
นางส่ายหน้าเล็กน้อย “สมบัตินี้ช่างโดดเด่น มิน่าหลายคนถึงอยากครอบครองนัก!”
เยี่ยฉวนยิ้ม “เจ้าไม่ต้องการหรือ”
นางส่ายหัว “หากข้าได้สมบัตินี้ไป ย่อมเป็นหายนะแน่!”
เยี่ยฉวนส่ายหัวยิ้มๆ “สำหรับข้ามันเป็นไปแล้ว!”
หญิงสาวยิ้ม “แล้วเหตุใดยังเก็บไว้”
เยี่ยฉวนยิ้มแห้ง “ข้าไล่มันไม่ไปด้วยซ้ำ!”
หญิงสาวพยักหน้าแล้วไม่ถามสิ่งอื่นอีก นางมองอาหลิงเบื้องหน้าแล้วกระซิบ “นางอาจเป็นหัวใจของแหล่งวัตถุพื้นฐานก็เป็นได้!”
เยี่ยฉวนหันขวับไปมองด้วยความตกใจ นางผู้นี้ไม่ใช่หญิงธรรมดา!
ทันใดนั้นเอง อาหลิงหยิบยื่นผลไม้ลูกหนึ่งให้นาง
หญิงสาวสวมผ้าพันตายิ้ม “ขอบคุณ!”
นางเก็บผลไม้กลับไป แอบลังเลเล็กน้อยก่อนจะหยิบจี้หยกยื่นให้อาหลิง “นี่อาจเป็นประโยชน์ต่อเจ้า!”
อาหลิงยื่นมือรับมา มันเปล่งแสงสีขาวแล้วหายเข้าไปในหว่างคิ้วของตัวเอง
เยี่ยฉวนถาม “นั่นอะไรน่ะ”
นางกระซิบ “ไม่ต้องเป็นห่วงไป เป็นจี้หยกคุมจิตวิญญาณ มันสามารถคุมพลังชี่ไม่ให้รั่วไหล ทำเช่นนี้แล้ว พลังชี่ของนางจะไม่เสียเปล่า”
“แบบนี้นี่เอง!”
เยี่ยฉวนมองไปยังอาหลิงก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ขอบคุณนางสักหน่อยหรือ?”
อาหลิงเงยหน้ามองหญิงสาวแล้วพูดเสียงใส “ขอบคุณเจ้าค่ะ!”
นางยกมือลูบหัวอาหลิงอย่างอ่อนโยน มองไปยังเยี่ยฉวน “กลับไปกันเถิด!”
ชายหนุ่มพยักหน้า จากนั้น ออกจากหอคอยแห่งเรือนจำพร้อมหญิงสาว
ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำ
เยี่ยฉวนมองหญิงสาว “นายหญิง…”
“ไป๋จื่อ!”
นางกระซิบ “ท่านเรียกข้าว่าไป๋จื่อก็ได้!”
เยี่ยฉวนเอ่ยยิ้มๆ “นายหญิงไป๋ ข้าจะรอฟังข่าวดีเรื่องกระบี่บินก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มเอ่ยจบดีดนิ้วดังเปาะ แหวนสัมภาระพลันถูกวางลงตรงหน้าไป๋จื่อ
ไป๋จื่อเก็บแหวนสัมภาระลงและเอ่ย “ท่านสามารถมาหาข้าได้ที่นี่ในสามวัน!”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ขอบคุณเจ้ามาก! ข้ามีธุระอื่นต่อ ดังนั้นขอลา!”
หลังจากนั้น เยี่ยฉวนหันหลังเตรียมตัวจากไป
เวลานั้นเอง ไป๋จื่อพลันเอ่ยขึ้น “นายน้อยเยี่ย”
เยี่ยฉวนหยุดชะงักแล้วหันไปมองไป๋จื่อ นางถาม “เหตุใดถึงเชื่อใจข้าเพียงนี้?”
เยี่ยฉวนยิ้ม “หากให้บอกตรงๆ ล่ะก็……ข้าอยากเป็นเพื่อนกับเจ้า”
ไป๋จื่อพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นเราคือสหายกัน”
เยี่ยฉวนรีบถาม “ข้าจะได้รับส่วนลดเท่าไรหรือหากซื้อของจากเจ้าอีกในอนาคต?”
ไป๋จื่อชะงักเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวยิ้มๆ “นี่เป็นความตั้งใจท่านรึ?”
ชายหนุ่มหัวเราะร่าแล้วหมุนตัวจากไป
ไป๋จื่อยืนอยู่เช่นนั้น เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ช่างน่าสนใจยิ่ง”
ตอนนั้นเอง คัมภีร์พลันปรากฏขึ้นมาบนโต๊ะหินตรงหน้านาง
ทุกอย่างเกี่ยวกับเยี่ยฉวนถูกบันทึกเอาไว้ในนี้
ปกติแล้ว นางย่อมไม่ยื่นมือช่วยเยี่ยฉวนโดยไร้เงื่อนไข เนื่องจากมันช่างน่ารำคาญยิ่งหากจะช่วยคนไม่รู้คุณคน
ทันใดนั้น สาวงามปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังไป๋จื่อ นางมองไปยังทิศทางที่เยี่ยฉวนจากมา “นายหญิงเจ้าคะ!”
ไป๋จื่อกระซิบ “ท่านปู่กำลังจะจากไป หลายกองเตรียมจู่โจมเราในความมืด เมื่อท่านปู่สิ้นชีพลง พวกมันจะเริ่มการโจมตีหอวาณิชถงเป่าแน่นอน”
สาวงามเอ่ยเสียงเข้ม “พวกเราขอความช่วยเหลือกับทางสถาบันฝึกยุทธหรือสำนักกระบี่ก็ได้นี่เจ้าคะ หรือคนอื่นก็…”
ไป๋จื่อส่ายหน้า “คนอ่อนแอไปขอความช่วยเหลือจากคนแกร่งกว่า ย่อมมีจุดจบอันโหดร้ายเสมอ”
นางเอ่ยจบแล้วหันหลังจากไป
…
หลังออกจากหอวาณิชถงเป่าได้ เยี่ยฉวนกลับไปยังสำนักกระบี่ ทันทีที่ไปถึง เด็กหนุ่มคนหนึ่งพลันมาขวางหน้าเอาไว้
เขามองเยี่ยฉวนตั้งแต่หัวจรดเท้า “เจ้าคือเยี่ยฉวนใช่หรือไม่”
เยี่ยฉวนพยักหน้า
เด็กหนุ่มเอ่ยต่อ “ข้ามาจากสถาบันฝึกยุทธ”
เยี่ยฉวนเอ่ยเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เด็กหนุ่มเย้ย “เจ้าสังหารคนของสถาบันเรา คิดหรือว่าข้าจะ…”
ทันใดนั้นเอง กระบี่บินพลันยกขึ้นจ่อหว่างคิ้วของเขา
เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว หาไม่แล้วหัวอาจโดนกระบี่สวนแทงจนทะลุ
เยี่ยฉวนสาวเท้าเดินไปหาเขา “มีอะไรหรือ?”
เด็กหนุ่มโมโห “เยี่ยฉวน เจ้าคิดหรือว่า…”
คมกระบี่ที่จ่ออยู่แทงเข้าไปประมาณครึ่งชุ่น เลือดไหลออกมาจากหว่างคิ้ว
เด็กหนุ่มรีบเอ่ย “ขะ……ข้าเพียงมาดูเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด!”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “มาดูหรือ แล้วเตรียมของขวัญมาด้วยหรือไม่”
เด็กหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก
เยี่ยฉวนทวนถาม “ไม่มีของขวัญหรือ”
เด็กหนุ่มรีบเอ่ย “มีสิมี!”
เขารีบควักแหวนสัมภาระออกมาแล้วยื่นให้เยี่ยฉวนทันทีที่เอ่ยจบ
เยี่ยฉวนมองแหวนไป รวมแล้วมีเพชรน้ำค้างม่วงมากกว่าสามล้านชิ้น ซึ่งถือว่าเป็นโชคหล่นทับที่ไม่เลวเลยทีเดียว!
เยี่ยฉวนเก็บแหวนสัมภาระที่ได้รับมาแล้วยิ้มร่า “น้องชาย เจ้าไม่จำเป็นต้องมอบของขวัญเยอะขนาดนี้ให้ก็ได้… ช่างใจดียิ่งนัก!”
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มแข็งค้างเสียยิ่งกว่าสิ่งใด “ไม่เลย นั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว!”
เยี่ยฉวนเก็บกระบี่กลับไปพร้อมรอยยิ้ม “หากมีเวลาก็มาหาข้าอีกสิ!”
หลังจากนั้น ชายหนุ่มหมุนตัวจากไป
ณ ตรงนั้น เด็กหนุ่มพลันถอนหายใจโล่งอก ผ่านไปไม่นานนัก เขากลับหลังหันแล้ววิ่ง!
เมื่อเด็กหนุ่มกลับมายังสถาบันฝึกยุทธ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเลือด!
ข้างหน้ารูปปั้นสถาบันฝึกยุทธ เหล่าลูกศิษย์ต่างล้อมรอบเด็กหนุ่มเอาไว้ เขาตะคอกอย่างโมโห “เยี่ยฉวนบังอาจรังแกพวกเราหนักไปแล้ว ไม่เพียงทำให้ข้าอับอายเท่านั้น ยังบังอาจดูถูกว่าสถาบันเรามีแต่พวกขี้แพ้ ถึงขั้นประกาศว่าเห็นหน้าเมื่อไรจะกระทืบมันทุกครั้ง!”
เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มเอ่ยเช่นนั้น คนอื่นในบริเวณต่างบันดาลโทสะ คนหนึ่งถึงขั้นเอ่ยเสียงโมโห “เยี่ยฉวนคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้บังอาจถ่มน้ำลายใส่สถาบันฝึกยุทธเช่นนี้”
“กัวเฟย เจ้าไปท้าเยี่ยฉวนสู้แล้วแพ้มา ก็เลยจงใจปลุกปั่นพวกเรางั้นสิ?”
“จะบ้าเหรอ! จำไม่ได้หรืออย่างไรว่าเยี่ยฉวนฆ่าคนของเราไปด้วย ตอนนี้พวกสำนักกระบี่ต่างพากันหัวร่องอหายกันเป็นแถวแล้ว ว่าสถาบันเรามีแต่พวกขี้ขลาดตาขาว!”
“ใช่! ตอนนี้แม้แต่พวกเรายังรู้สึกด้อยค่าตอนเห็นพวกคนจากสำนักกระบี่เลย ชักจะน่ารำคาญเกินไปแล้ว!”
“ฆ่าเยี่ยฉวนซะ!”
ตอนนั้นเอง มีใครบางคนเอ่ยขึ้น
ทุกอย่างพลันเงียบกริบ แต่ในเวลาถัดมา ผู้คนมากมายพลันตะโกนกระหึ่มด้วยความโกรธแค้น “ฆ่าเยี่ยฉวน!”
“จะฆ่าข้ารึ?”
ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นมาจากฟากหนึ่ง
พวกเขาต่างหันไปมองทิศทางของเสียงแล้วพบชายคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก เป็นเยี่ยฉวนนั่นเอง!
ยามเห็นเยี่ยฉวน เด็กหนุ่มซึ่งหนีออกมาดูหวาดกลัวยิ่งถึงขั้นถอยหนีไปหลายถึงหลายก้าว
เยี่ยฉวนกวาดตามองคนในบริเวณนั้นแล้วเอ่ยยิ้มๆ “จะฆ่าข้ารึ?”
หนึ่งในศิษย์สถาบันฝึกยุทธก้าวออกมาข้างหน้า เขาจ้องเยี่ยฉวนเขม็ง “ถ้าใช่แล้วจะทำไม?”
เยี่ยฉวนคิดไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “จะหมาหมู่หรือหนึ่งต่อหนึ่งดีล่ะ”
สถาบันฝึกยุทธโมโหยิ่ง “พวกเราต้องรุมเจ้าหรืออย่างไร เจ้ามัน…”
ก่อนเอ่ยจบ กระบี่พลันจ่อเข้าที่หว่างคิ้ว
ชายคนนั้นหุบปากเงียบลง
และบริเวณนั้นพลันไร้เสียงขึ้นมา
เยี่ยฉวนมองไปยังฝูงชน “น้องสาวข้าอยู่ในสถาบันฝึกยุทธนี่ สหายข้าก็เช่นกัน ว่ากันตามตรง ข้าไม่ได้ต้องการปะทะกับสถาบันฝึกยุทธนี่เลยจริงๆ”
เอ่ยจบมองไปยังตำหนักแห่งยุทธ “เจ้าส่งคนมาคนหนึ่งเพื่อสู้กับข้าแบบหนึ่งต่อหนึ่งก็แล้วกัน ตัดสินแพ้ชนะกันในศึกนี้แล้วล้างหนี้บัญชีเก่าให้หมดไปเลย พวกเจ้าคิดเช่นไร?”
ผ่านความเงียบงันไปสักพัก เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นมาจากตำหนักแห่งยุทธ “ช่างเป็นความคิดเยี่ยมยอด!”
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเยี่ยฉวน
เห็นร่างนั้น เยี่ยฉวนถึงกับนิ่งค้าง “เจ้า…”



