บทที่ 918 : หักห้ามความรู้สึกของนาง! (ต้น)
กำลังเสริม!
เยี่ยฉวนรู้อยู่แล้วว่า ผู้อาวุโสเยว่และคนพวกนี้ต้องขอกองหนุนมาเสริมทัพ!
ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ด้วยกำลังคนที่มีอยู่ในปัจจุบัน คงไม่สามารถทำลายสำนักกระบี่ได้อย่างแน่นอน!
ชายหนุ่มออกจากภวังค์ความคิดและพูดกับอีกฝ่ายว่า “ผู้อาวุโสข้ามีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ ถ้ามีความคืบหน้าจะรีบบอกพวกท่านให้รู้ขอรับ!”
ผู้อาวุโสเยว่หันมามองหน้าเยี่ยฉวน “ระวังตัวให้ดี อย่าให้หมู่เฟิงเฉินหาเจ้าพบได้ล่ะ!”
เขาหยุดคำพูดขณะสีหน้าลังเลเล็กน้อย จากนั้นยกมือชูนิ้วขึ้นดีดดังเปาะ พลันเบื้องหน้าเยี่ยฉวนเผยให้เห็นอักขระเวทชิ้นหนึ่ง
เยี่ยฉวนมองด้วยความฉงนสนเท่ห์ “เอ่อ?”
เสียงคนตรงข้ามจึงแจงให้ฟังว่า “สิ่งนี้คืออักขระเวทศูนย์ เมื่อใดที่เจ้าตกอยู่ในอันตรายจงบดมันเข้าด้วยกัน และข้าจะไปที่นั่นทันที”
เยี่ยฉวนชะงักไปเล็กน้อยและรีบตอบอีกฝ่ายรวดเร็ว “ขอบคุณขอรับ!”
เขาแปลกใจไม่น้อยทีเดียว!
ผู้อาวุโสพยักหน้าให้ “ไปได้แล้ว!”
หลังจากคารวะอำลาครู่หนึ่ง ชายหนุ่มออกจากสถานที่ไปทันที
เมื่อคล้อยหลังเยี่ยฉวน ฝ่ายเหยี่ยหลานพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโสเยว่ ท่านคิดจะรั้งเขาเอาไว้ใช้……งั้นหรือ?”
คนตอบๆ เสียงเรียบ “เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์นัก อีกทั้งนิสัยส่วนตัวมีความยโสโอหัง คนเช่นนี้ไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ นอกจากนั้น พวกเรายังต้องเฝ้าระวังเขาไว้ให้มากด้วย!”
ได้ยินเช่นนั้น เหยี่ยหลานเกิดความสับสนงวยงง “ถ้าเช่นนั้นเพราะอะไร…”
ผู้อาวุโสเยว่บอกสั้นๆ “บางทีอาจจะใช้ประโยชน์จากเขา!”
ใช้ประโยชน์!
เหยี่ยหลานเข้าใจทันที!
เยี่ยฉวนเป็นสุดยอดฝีมือ อีกทั้งมีความแข็งแกร่งในเชิงสมรรถนะทางการต่อสู้ คนเช่นนี้ย่อมไม่เป็นที่พึงประสงค์คนพวกนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังครอบครองสมบัติล้ำค่า ถ้าพวกมันได้ไปล่ะก็……เยี่ยฉวนต้องตามไปเอาคืนมาทันที!
ตอนนี้ทั้งฝ่ายตนกับเยี่ยฉวนต่างฝ่ายต่างกำลังฉกชิงความได้เปรียบซึ่งกันและกัน!
ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายนำมาซึ่งความได้เปรียบของแต่ละฝ่ายด้วย!
ผู้อาวุโสเยว่พูดกับอีกฝ่ายว่า “หากยังไม่ได้รับอนุญาตพวกเจ้าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว จนกว่ากำลังหนุนจะมาถึง!”
ภายในสถาบันฝึกยุทธ์
หลังจากที่มาถึง เยี่ยฉวนแอบไปพบกับอันหลานซิ่ว เหลียนว่านลี่และโม่เยี่ยอย่างเงียบเชียบ
ที่ลานโล่ง คนทั้งสี่นั่งสนทนากันอยู่ที่โต๊ะ
เสียงโม่เยี่ยถามคนที่มาหาว่า “พี่เยี่ย พวกเขาจะจู่โจมสำนักกระบี่จริงหรือ?”
เยี่ยฉวนพยักหน้าพลางตอบ “ฝ่ายนั้นกำลังรอกำลังเสริมตามมาสมทบ เมื่อกองกำลังสนับสนุนมาถึง……พวกเขาจะเปิดศึกปะทะกับสำนักกระบี่ทันที!”
จากนั้น คนพูดหยุดนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อมาว่า “ข้าคิดว่าสำนักกระบี่ดูท่าว่าจะมีแผนไม้ตายอะไรสักอย่าง เกรงว่าการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว!”
โม่เยี่ยฟังแล้วพยักหน้าตาม “สถาบันฝึกยุทธ์พร้อมที่จะปะทะกับสำนักกระบี่อยู่แล้ว แต่ว่าท่านจ้าวคงไม่ชอบใจนัก”
เยี่ยฉวนผงกศีรษะ “ข้ามานี่เพื่อจะมาเตือนให้ระมัดระวังตัวให้มาก ตอนนี้หมู่เฟิงเฉินเข้ามารับตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักกระบี่คนล่าสุด เขาเป็นคนที่พวกเจ้าจะเผชิญหน้าไม่ได้เด็ดขาด!”
เรื่องที่คนพูดกังวลใจมากที่สุดคือ ตอนนี้สำนักกระบี่จะมุ่งเป้ามาที่อันหลานซิ่ว เหลียนว่านลี่และโม่เยี่ยเป็นเป้าหมายสำคัญ
อันหลานซิ่วหันไปมองหน้าเยี่ยฉวน “เจ้าจะทำอย่างไร? วางแผนการอะไรไว้บ้าง?”
ชายหนุ่มหันมาตอบเสียงขรึม “ข้าจะทำลายสำนักกระบี่!”
……จะทำลายสำนักกระบี่!
นี่เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มตั้งใจเอาไว้ คนในสำนักกระบี่มีเพียงหมู่เฟิงเฉินและหลี่เสวียนเฟิงสองคนเท่านั้นที่รู้ว่า……หอคอยแห่งเรือนจำยังอยู่กับเขา ดังนั้นสองคนนี้จะไม่มีวันยอมปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ อย่างแน่นอน!
ถ้าไม่หาทางฆ่าสองคนนั้นเสีย พวกนั้นจะต้องตามฆ่าตนเอง!
พลันโม่เยี่ยพูดขึ้นว่า “พี่เยี่ย ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือบอกพวกเราได้ทุกเมื่อเลย”
เยี่ยฉวนฟังแล้วได้แต่ยิ้มรับ “แน่นอน!”
โม่เยี่ยพยักหน้าอย่างพอใจ “พวกเจ้าทั้งสามคุยกันไปก่อน ข้าขอตัวไปฝึกต่อ!”
จากนั้น เขากลับออกจากสถานที่ไป
หลังจากที่โม่เยี่ยกลับออกไปแล้ว เหลียนว่านลี่บอกกับคนทั้งสองว่า “ข้าจะไปส่งข่าวเจียงจิ่วเรื่องที่พวกเราสนทนากันเสียก่อน!”
ต่อมา หญิงสาวเดินออกไป
ถึงกระนั้น เมื่อฝ่ายนั้นเดินไปถึงประตูลานกว้าง หญิงสาวชะงักฝีเท้าหยุดทันทีก่อนจะหันขวับกลับมา สายตามองตรงไปที่อันหลานซิ่วและเยี่ยฉวนที่ยังนั่งอยู่ด้วยกัน “พอข้าไปแล้วพวกเจ้าสองคนคงจะไม่ทำอะไรแย่ๆ หรอก……จริงไหม?”
เยี่ยฉวนได้แต่เงียบงัน
เหลียนว่านลี่หัวเราะลั่น ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินออกไป
ชายหนุ่มสั่นศีรษะ “นางคิดอะไรอยู่กัน……”
พลันต่อมาอันหลานซิ่วเอ่ยกับเขาว่า “ออกไปเดินเล่นด้วยกัน!”
เยี่ยฉวนรับคำด้วยความเต็มใจ
ทั้งสองคนเดินออกไปทางด้านหลังเทือกเขาอันเป็นที่ตั้งของสถาบันฝึกยุทธ์
ที่นั่นเยี่ยฉวนไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป
ถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างสำนักกระบี่กับสถาบันฝึกยุทธ์จะมีอยู่ก็ตาม ทว่าเขาไม่เชื่อว่าสำนักกระบี่จะดีเดือด ถึงขั้นบุกเข้ามาจู่โจมถึงในบริเวณนี้
ต่อมาอันหลานซิ่วเอ่ยเสียงแผ่ว “เจ้าจำแผ่นดินชิงได้ไหม?”
เยี่ยฉวนพยักหน้า
แน่ล่ะ……จำได้อยู่แล้ว!
ชายหนุ่มไม่เพียงจำได้แต่แผ่นดินชิง ทว่ายังจำได้ถึงเมืองชิง ตระกูลเยี่ย แคว้นเจียงและอันหลานซิ่ว ซึ่งตอนนั้นนางแต่งกายด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ประดุจหิมะก็มิปาน
ในเวลานั้นอันหลานซิ่วยังเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้น!
และตัวเขาเป็นเพียงหนุ่มน้อยที่มีความสับสนต่ออนาคตภายหน้าของตัวเองอยู่เลย!
สตรีที่เดินขนาบข้างลูบปอยผมข้างใบหูก่อนจะพูดว่า “พวกเราสองคนเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงไป”
เยี่ยฉวนสนับสนุน “ถูกต้อง พวกเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น!”
อันหลานซิ่วหยุดเดินหันมามองคนตรงข้าม “เวลานั้น ข้าชอบเจ้าที่เป็นคนไม่ย่อท้อและหนักแน่น รวมทั้งความแข็งแรงคล่องแคล่วอีกด้วย!”
ชายหนุ่มย้อนถาม “ตอนนี้เล่า?”
อันหลานซิ่วนิ่งไม่ตอบ
เยี่ยฉวนจึงถามยิ้มๆ “เจ้าจะหาว่าข้าเปลี่ยนไปสินะ?”
สตรีสั่นศีรษะปฏิเสธ “โลกนี้ซับซ้อนนัก”
โลกช่างซับซ้อน!
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก! จิตใจมนุษย์ต่างหากที่ซับซ้อน”
จากนั้นสายตาแลไปยังอันหลานซิ่ว “ในใจของข้า เจ้ายังเป็นเด็กหญิงสวมชุดขาวสะอาดคนนั้นเสมอ”
อันหลานซิ่วพึมพำเสียงอ่อนเบา “ตอนที่เจ้าอยู่ในแผ่นดินชิง ต่อสู้เพื่อแคว้น อีกทั้งยังเป็นห่วงทุกคนที่อยู่รอบข้างเสมอ”
เยี่ยฉวนย้อนถาม “ท่านจะพูดว่าตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นห่วงพวกเขา……งั้นหรือ?”
หญิงสาวสั่นศีรษะ
คนตรงข้ามถามเสียงเบาราวกระซิบ “แม่นางอัน เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเห็นแก่ตัวงั้นหรือ?”
อันหลานซิ่วส่ายหน้า “ข้าเพียงรู้สึกว่าหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป!” ”
เยี่ยฉวนหันไปเผชิญหน้ากับหญิงสาวตรงๆ “ข้าไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดีเลิศ……แต่ก็ใช่ว่าจะเลวร้าย ถ้าทำให้ผิดหวังต้องขอโทษด้วย แต่จะไม่เปลี่ยนตัวเอง……เพราะข้าเป็นคนแบบนี้”
หลังจากนั้น ชายหนุ่มหมุนตัวกลับเดินจากไป



