Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 920

Yi Jian Du Zun
BC

บทที่ 920 : ลองดึงออกมา! (ต้น)

C

คนที่เผชิญอยู่ต่อหน้าเยี่ยฉวน ทั้งอู่เวิ่นและเหอเหลียนเทียนต่างคนต่างมองดูด้วยแววตาบ่งบอกความรู้สึกไม่เชื่อต่อสิ่งที่เห็น

พลังงานที่กายของเยี่ยฉวนปลดปล่อยออกมา ส่งให้พื้นที่โดยรอบสะเทือนรุนแรงผลักดันอีกฝ่ายถึงกับถอยห่างไป!

พวกเขาถูกพลังผลักดันให้ถอยหลัง!

อู่เวิ่นตกตะลึงพรึงเพริดขณะสายตาจับจ้องแน่วนิ่งไปยังเยี่ยฉวน “พลังโลหิต?”

ร่างของชายหนุ่มเบื้องหน้ากำลังสั่นอย่างรุนแรง และบัดนี้แก้วตาแห่งแมวดำของชายหนุ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

ในตอนนั้นหอคอยแห่งเรือนจำที่อยู่ในกายของเยี่ยฉวนกวัดแกว่งไหวโยกอย่างหนักหน่วง ขณะต่อมาบังเกิดพลังงานปริศนาครอบงำชายหนุ่มเอาไว้ทั้งร่าง

จากนั้นโลหิตในกายค่อยๆ สงบลงทีละน้อย

อีกทั้งนัยน์ตาของเขากลับคืนสู่สภาวะปกติในเวลาต่อมา

ครู่ต่อมา ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงแห้ง “ผู้อาวุโส เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกับข้า?”

คนที่ชั้นหกกลับย้อนถามมาว่า “บิดาของเจ้าเป็นใคร?”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วและถามด้วยความสงสัย “เหตุใดถึงถามเช่นนั้นขอรับ?”

เสียงพูดจากชั้นที่หกกลับบอกง่ายๆ ว่า “ไม่มีเหตุผล แค่ถามดู”

เยี่ยฉวนนิ่งอึ้ง

คนที่ชั้นหกพูดต่อมาว่า “เมื่อครู่นี้เรียกว่าพลังโลหิต แต่ไหนแต่ไรมันถูกหอคอยอัปรีย์ขัดขวางไว้น่ะสิ!”

มันเคยถูกหอคอยแห่งเรือนจำขัดขวางงั้นหรือ?

เยี่ยฉวนงุนงง “ทำไมหอคอยจึงทำเช่นนั้น? ไม่กลัวว่าข้าจะเป็นอะไรไปงั้นหรือ?”

เสียงตอบดังมาจากชั้นที่หกว่า “ไม่เลย มันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหอคอยมากกว่า สายเลือดของเจ้านั้นไม่ธรรมดาเลย ถ้าถูกกระตุ้นขึ้นมาเมื่อไร หอคอยนั่นจะเป็นฝ่ายได้รับอันตราย เพราะฉะนั้นมันจึงรีบสกัดพลังโลหิตเสียโดยเร็วอย่างไรเล่า”

คนฟังเงียบเสียง

สายเลือด?

แม้แต่เขาเองยังไม่เข้าใจในสายเลือดของตนเอง!

ชายหนุ่มรู้เพียงว่าตนเคยสูบเอาพลังของเทพราชันมาไว้ภายใน!

สายเลือดของตัวเองทรงพลังเช่นนี้เชียวหรือ?

เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ หยุดความคิดฟุ้งซ่านเสียโดยเร็ว เขาเลิกสนใจอู่เวิ่นกับเหอเหลียนเทียน ทว่ารีบตรงไปหาอันหลานซิ่วซึ่งอยู่กลางทางที่จะถึงนั้นเอง

ขณะที่เหอเหลียนเทียนขยับจะเข้ายับยั้ง แต่อู่เวิ่นส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามเอาไว้ “ปล่อยเจ้านั่นไป!”

เหอเหลียนเทียนหันหน้ากลับมามองอู่เวิ่น ฝ่ายหลังบอกเบาๆ ว่า “ถ้าเราจงใจเข้าขัดขวาง บางทีอาจจะเป็นฝ่ายเสียมากกว่าได้……ปล่อยให้นางเป็นคนเลือก!”

เหอเหลียนเทียนพยักหน้า

ไม่ไกลจากบริเวณนั้น ชายหนุ่มเร่งเข้าไปหาอันหลานซิ่ว ขณะนั้นหญิงสาวยืนนิ่งดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ไม่แสดงอาการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

เยี่ยฉวนจึงลองเอ่ยออกไป “แม่นางอัน?”

ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง!

ชายหนุ่มรีบถามเสียงร้อนรน “ผู้อาวุโสข้าควรทำอย่างไร?”

เสียงที่ตอบมาจากชั้นที่หกว่า “ไม่รู้เหมือนกัน!”

คนถามนิ่งงัน

คนที่ชั้นหกพูดต่อมา “นางเข้าสู่ขั้นที่เรียกว่าสภาวะดำดิ่งแล้ว ทว่ายังได้ยินสิ่งที่พูดทั้งหมด ทำต่อไปและบอกว่าอย่าได้หักห้ามความรู้สึกที่มีต่อเจ้าเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นจะพบว่านางไม่ใช่คนที่เคยรู้จักอีกต่อไป!”

หักห้ามความรู้สึกที่มีต่อเขา!

เยี่ยฉวนหันไปมองอันหลานซิ่ว พร้อมกับสูดลมหายใจอย่างตัดสินใจแน่วแน่และเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางอัน ข้าแอบชอบเจ้ามาตั้งแต่แรก! ไม่สิหมายถึงว่า……หลงรักทันทีตั้งแต่แรกพบ! นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น……ก็รู้สึกชอบทันที! อีกทั้งไม่เคยรู้ตัวมาก่อน กระทั่งมีคนเข้ามาอยู่ในหัวใจ ซึ่งคนคนนั้นคือแม่นางอัน หลังจากที่เจ้าจากไป ข้าได้แต่เฝ้าคิดถึง……คิดถึงทุกลมหายใจไม่เว้นแต่ละวัน ทุกวันๆ ไม่น้อยกว่าสามเวลา ราวกับเป็นเสียงเต้นของหัวใจไปแล้ว รู้สึกเจ็บปวดทรมานทุกครั้งเมื่อไม่มีเจ้าอยู่ ทุกวันทุกคืน ทุกลมหายใจ……”

อีกฟากหนึ่ง อู่เวิ่นหน้าเหยพลางสั่นศีรษะไปมา “ข้าทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว!”

ว่าแล้วเขาหันหลังกลับออกไปจากสถานที่

เหอเหลียนเทียนได้แต่นิ่งงัน

ไม่ห่างไปเท่าใด เสียงชายหนุ่มรำพันพร่ำเพ้อต่อไป “ตอนนี้มีคนมาบอกว่าข้าจะเสียเจ้าไปตลอดกาล! รู้ไหมว่าข้ารู้สึกอย่างไร? จิตใจร้อนรนไปหมด! นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก! หากเสียเจ้าไปจริงๆ จะมีผลต่อการฝึกฝนเต๋าแห่งกระบี่อย่างไร? จะมีชีวิตต่อไปอย่างไร? ชีวิตนอกจากเต๋าแห่งกระบี่แล้ว ข้ายังต้องการเจ้าด้วย……”

ห่างออกไปไม่มาก เหอเหลียนเทียนส่ายหน้า “นี่ล่ะคนที่กำลังตกหลุมรัก……”

จากนั้น เขาหันหลังผละออกไปอีกคน

เยี่ยฉวนขยับปากทำท่าจะพูดอะไรออกไปอีก ในตอนนั้นเอง อันหลานซิ่วลืมตาขึ้นทันที ขณะที่ใบหน้าของหญิงสาวออกแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด

ชายหนุ่มนิ่งงันยืนตัวแข็ง ก่อนจะรีบเอ่ยว่า “แม่นางอัน……”

อันหลานซิ่วสั่นศีรษะ ก่อนหมุนตัวหันหลังเดินออกไป

อีกฝ่ายทำท่าจะเข้าขัดขวาง ทว่ามีเสียงคนที่ชั้นหกบอกออกมาว่า “นางไม่ใช่คนไร้ยางอายอย่างเจ้าน่ะสิ!”

เยี่ยฉวนสีหน้างงงวย “ผู้อาวุโส หมายความว่าอย่างไร?”

คนที่ชั้นหกตอบว่า “บางครั้งเจ้าดูฉลาดเฉลียวดีอยู่หรอก แต่ทำไมชอบทำตัวงี่เง่าอยู่เรื่อย?”

คนฟังชะงักนิ่งพูดไม่ออก

เสียงจากชั้นที่หกบอกเรียบๆ “ไปกันได้แล้ว!”

เยี่ยฉวนทักท้วง “ข้าจัดการธุระของข้ากับนางยังไม่เสร็จเลย!”

คนที่ชั้นหกย้อนให้ว่า “ยังจะมีหน้าไปพูดอะไรอีกงั้นหรือ? การที่นางไม่จู่โจมย่อมแสดงว่าไม่ได้เลือกที่จะเลิกรากับเจ้าแล้วน่ะสิ”

คนถามสีหน้าลังเลเหมือนไม่แน่ใจและถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดนางถึงเดินหนีไปเสียเฉยๆ?”

เสียงตอบห้วนดังมาจากชั้นที่หก “เพราะเจ้ามันหนังหนานักน่ะซี!”

เยี่ยฉวนพูดไม่ออกได้แต่ยืนหน้ามุ่ย

ขณะนั้นเอง อู่เวิ่นย้อนกลับมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชายหนุ่มทันที

คนที่เข้ามามองเยี่ยฉวนเขม็ง “สถาบันฝึกยุทธ์จะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องของพวกเจ้าและแม่นางอัน เพียงแต่ตอนนี้หวังว่าเจ้าจะเก็บกักความรู้สึกส่วนตัวไว้ชั่วคราว จากนั้นจะได้เข้าใจสถานะของตัวเองดีขึ้น”

ชายหนุ่มบิดมุมปากยกยิ้ม “ผู้อาวุโส พวกท่านคงกลัวว่าข้าทำให้นางเดือดร้อน จนทำให้สถาบันฝึกยุทธ์พลอยเข้ามามีส่วนพัวพันด้วยสินะ?”

อู่เวิ่นส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้ากลัวว่าเจ้าจะเป็นคนทำให้นางถูกฆ่าตายเท่านั้น!”

เยี่ยฉวนเงียบเสียง

คนตรงกันข้ามทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนทันที “ผู้อาวุโส สถาบันฝึกยุทธ์คิดจะทำอย่างไรกับสำนักกระบี่?”

อู่เวิ่นมองหน้าเยี่ยฉวน “เจ้าอยากจะบอกอะไรกันแน่?”

ชายหนุ่มยิ้ม “ถ้าเดาไม่ผิดสถาบันฝึกยุทธ์อยากทำลายสำนักกระบี่เช่นกัน ทว่าพวกท่านกำลังคอยหาโอกาส! ถ้าเช่นนั้นเราก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน……ใช่หรือไม่?”

ไม่มีเสียงตอบ อู่เวิ่นได้แต่มองดูเยี่ยฉวนอยู่เฉยๆ

อีกฝ่ายพูดต่อ “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่พวกท่านต้อนรับน้องสาว แม่นางอันและสหายของข้า……เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันฝึกยุทธ์ ไม่สิ……ไม่ควรใช้คำว่า ‘ต้อนรับ’ ด้วยซ้ำ ท่านเองน่าจะรู้ดีว่าการที่พวกเขาเข้าร่วมกับสถาบันฝึกยุทธ์ ทางท่านไม่ได้ต้องเสียอะไรเลย แต่……”

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!