บทที่ 963 : พวกเจ้า……เข้ามาเลย! (ปลาย)
ยอดฝีมือคนหนึ่งมีสีหน้าลังเลก่อนจะพูดว่า “ฉินหมิง เจ้าเคยคิดไหมว่าถ้าเรายึดเอาสุดยอดสมบัติล้ำค่าไว้เอง จะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลฉินบ้าง?”
คนตรงหน้าตอบเสียงแผ่ว “เจ้าหมายถึงเผ่าถังกับชุมนุมผู้คุมกฎจะมาเล่นงานพวกเรางั้นหรือ?”
ยอดฝีมือสั่นศีรษะ “ไม่แค่นั้น ท่าทางพวกเขาจะรวมหัวกันทำลายตระกูลฉินให้พินาศย่อยยับ! พวกเราไม่มีปัญญายึดครองสมบัติล้ำค่าไว้คนเดียวแน่!”
อีกฝ่ายตอบเสียงเข้ม “ถ้างั้นข้าควรยกสมบัติให้พวกนั้น……งั้นหรือ?”
คู่สนทนาทำท่าจะตอบโต้ทว่ากลับหยุดครุ่นคิดชั่วครู่
ฉินหมิงส่ายหน้า “ตระกูลฉินหลบอยู่ในเงามืดมานานแล้ว ตอนนี้ได้สมบัติล้ำค่ามาจึงเป็นโอกาสเดียวของตระกูลฉิน เราถอยไม่ได้! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น……พยายามยื้อไว้ให้ถึงที่สุด!”
เมื่อเห็นคนอีกฝ่ายต้องการจะโต้แย้ง เขาจึงเอ่ยอย่างจริงจัง “พวกเราถอยหลังไม่ได้! มีแค่ชนะหรือพินาศเท่านั้น!”
ยอดฝีมือถอนใจเล็กน้อย ก่อนจะผงกศีรษะเป็นเชิงรับทราบ
เหมือนอย่างที่ฉินหมิงบอก เวลานี้ตระกูลฉินทำได้แค่หันไปต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น!
หลินมู่และคนอื่นๆ จากเผ่าถังไล่ติดตามฉินหมิงกับคนของเขาอย่างไม่ลดละ เช่นเดียวกับฝ่ายของชุมนุมผู้คุมกฎ!
ขณะนั้นหลินมู่หันไปบอกกับผู้อาวุโสเยว่ว่า “รีบแจ้งคนของเผ่าเราเร็วเข้า! บอกว่าตอนนี้ตระกูลฉินหอบสมบัติล้ำค่าหนีไปแล้ว ให้พวกเขาเร่งส่งคนมาช่วยโดยด่วน!”
ผู้อาวุโสเยว่พยักหน้าก่อนจะเริ่มบดขยี้เครื่องรางส่งสัญญาณ จากนั้นโลกรกร้างดินแดนตอนใต้ที่ไกลโพ้น เผยกองทัพม้าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในก่อนจะกับหายเข้าไปในหุบเขาลึก เบื้องหลังกองทัพม้าปรากฏการณ์ทะเลเพลิงลุกท่วมตามมา
กองทัพม้าแห่งเผ่าถัง!
กองทัพม้าที่ว่ามีเพียงเก้านายก็จริง ทว่าแต่ละนายบรรลุพลังขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นรู้ชะตา ยิ่งกว่านั้นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ล้วนแต่เป็นอาวุธขั้นก่อเกิดชั้นเนรมิตเป็นอย่างต่ำ!
คนทั้งเก้านั่งอยู่บนหลังม้าอสูรเพลิงโลกันตร์ พร้อมใจกันตบเท้าพุ่งออกไปในอากาศ พวกมันดูเข้มแข็งแม้นปราการก็มิอาจกั้นขวาง ขณะที่มุ่งตรงไปทางโลกรกร้างดินแดนตอนเหนือ!
……
ในดินแดนที่ได้ชื่อว่าโลกรกร้างดินแดนตอนเหนือ ด้านหลังหลินมู่ เสียงชายชราสวมชุดดำเอ่ยว่า “เผ่าถังเรียกกำลังเสริมแล้ว!”
หลินมู่หันศีรษะไปและสั่งกับคนชราที่อยู่อีกด้าน “ส่งข่าวไปที่ชุมนุม ให้ส่งกำลังเสริมมาช่วยเรา!”
ฝ่ายนั้นรับคำจากนั้นเขาผลักฝ่ามือออกไป พลันหินหยกสีดำกลางฝ่ามือระเบิดแตกเป็นเสี่ยง
ณ โลกรกร้างดินแดนตอนเหนือ บริเวณประตูเมืองนครเติ้งเถียน กลุ่มคนสวมชุดดำปรากฏตัวขึ้นทันที จากนั้นคนทั้งกลุ่มลับหายไปอย่างเงียบเชียบดุจภูตผีปีศาจ
……
ภายในชุมนุมเต๋าผู้รอบรู้
ที่ห้องลับ หม่ออู๋เลี่ยงนั่งอยู่บนพื้น เบื้องหน้ามีทั้งกระดองเต่าและเหรียญทองแดงสองสามอันวางใกล้กัน
หม่ออู๋เลี่ยงยกมือข้างขวาพร้อมกับนับนิ้วใน ขณะทำปากขมุบขมิบท่องบ่นอะไรบางอย่าง จากนั้นพื้นที่ว่างรอบตัวมีเลขอักขระแปลกประหลาดขยับเคลื่อนไปมา……
ผ่านไปสักพักจู่ๆ กระดองเต่ากระตรงหน้าพลันแตกออก รวมทั้งเลขอักขระที่รายล้อมกลับหายวับไปอย่างฉับพลันทันใด
มุมปากของหม่ออู๋เลี่ยงมีหยดโลหิตซึมไหลลงมาช้าๆ
ครู่หนึ่งต่อมา เขาลุกขึ้นเดินไปหยุดที่ประตู ทอดสายตามองไปยังสุดขอบฟ้ากว้างไกลสีหน้าบ่งบอกความว้าวุ่นภายในใจ “เยี่ยฉวน……อนาคตของเจ้าไม่ได้อยู่ที่โลกสี่มิติ……เป็นไปได้อย่างไร?”
ทันใดนั้น จู่ๆ ทัณฑ์สายฟ้าฟาดลงมาเหนือน่านฟ้าเขตของชุมนุมเต๋าผู้รอบรู้โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย จากนั้น……
ตูม!
อาคารสิ่งปลูกสร้างภายในเขตของชุมนุมเต๋าผู้รอบรู้ กลายเป็นเถ้าธุลีไปในพริบตา!
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าที่ชายชราจะตะเกียกตะกายออกมาจากซากปรักหักพังที่สุมกันอยู่ เขาเพ่งมองไปที่ท้องฟ้า “ข้าผิดเอง……ข้าจะไม่เปิดดวงอนาคตของเขาขึ้นมาอีกแล้ว”
……
ในท้องฟ้าแห่งโลกรกร้างดินแดนตอนเหนือ ฉินหมิงแล่นออกไปอย่างรวดเร็วสุดชีวิตตามหลังด้วยยอดฝีมือของตระกูลฉิน!
ในมือของเขายังกำหอคอยแห่งเรือนจำไว้แน่น ขณะถามออกไปว่า “อีกนานแค่ไหนกว่าคนของตระกูลจะตามมาช่วยพวกเรา?”
ยอดฝีมือที่อยู่ใกล้กันตอบเสียงขรึม “อย่างเร็วที่สุดอีกราวหนึ่งถ้วยชา! และคิดว่ากำลังเสริมของชุมนุมผู้คุมกฎกับเผ่าถังกำลังเดินทางมาเช่นกันกัน”
สีหน้าของฉินหมิงถมึงทึงน่ากลัว “ช่างหัวมัน อย่างไรเสียเราจะเก็บสมบัตินี้เอาไว้!”
จากนั้นคนตระกูลฉินพากันเร่งความเร็วขึ้นอีก!
ข้างหลังฉินหมิงกับพวก หลินมู่พร้อมด้วยผู้อาวุโสเยว่และพวกวิ่งแล่นเร็วรี่
เสียงหลินมู่เปรยกับอีกฝ่าย “ผู้อาวุโสเยว่ คนของตระกูลฉินเป็นบ้าอะไร?”
คนผู้อาวุโสส่ายหน้า “ไม่แปลก! พวกมันพยายามจะฮุบเอาสมบัติชิ้นนั้นไว้จนสุดความสามารถ! สมบัติล้ำค่าเป็นของพิเศษผิดธรรมดา ถ้าพวกมันกำราบได้สำเร็จล่ะก็……เราย่อมทำอะไรไม่ได้!”
เสียงถามอย่างข้องใจของอีกฝ่ายดังขึ้น “ทำไมเยี่ยฉวนถึงยกให้เจ้าพวกนั้น?”
ผู้อาวุโสเยว่นิ่งเงียบอย่างครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวตอบ “ข้าเห็นว่าหมอนั่นทั้งหน้าซีดและสูญเสียพลังไปมาก ก่อนหน้าคงจะประมือกับตระกูลฉิน แต่พละกำลังเพียงคนเดียวมีหรือจะสู้ตระกูลฉินได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องยกสมบัตินั่นให้ เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกฆ่าอย่างไรเล่า!”
หลินมู่นิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “พวกเราถึงต้องปล่อยเจ้าหนุ่มนั่นไปก่อนสินะ!”
จากนั้นเขาเงยหน้ามองไปในที่ไกล “เร่งฝีเท้าเร็ว!”
ราวหนึ่งถ้วยชาต่อมา ฉินหมิงและคนของเขาเข้ามาถึงเขตนครโบราณที่ชื่อว่า ‘นครหวั่นซาน’ เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากนัก มีประชากรอาศัยอยู่ไม่ถึงหนึ่งล้านคน
เมืองที่ตกเป็นเบี้ยล่างของตระกูลฉิน!
ทันทีที่เข้าสู่เขตเมือง ฉินหมิงออกคำสั่งเสียงกร้าว “ตั้งค่ายกล!”
สิ้นเสียง เหนือท้องฟ้าเขตเมืองปรากฏแนวแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าหลายลำ และพุ่งไปหาหลินมู่และคนที่ไล่ตามมาข้างหลังทันที!
หลินมู่ที่คนอื่นชะงักกึกด้วยต้องพลังบีบบดทำให้ต้องหยุดนิ่ง ขณะต่อมาพวกเขาระดมกำลังเริ่มกระบวนการทำลายค่ายกลนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย……
บริเวณเขตเมืองทางด้านล่าง ฉินหมิงนำหอคอยแห่งเรือนจำเข้าไปภายในหอลับ จากนั้นหันไปมองบรรดายอดฝีมือของตระกูลฉินที่รวมกันอยู่ข้างๆ “พวกเจ้ารออยู่นี่ อีกเดี๋ยวยอดฝีมือของตระกูลเราจะมาถึง!”
จากนั้นคนพูดเดินหายเข้าไปในหอลับ
ภายในหอลับ ฉินหมิงมองดูหอคอยแห่งเรือนจำที่วางอยู่เบื้องหน้า ด้วยแววตากระหายอย่างไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป เห็นได้ว่าบัดนี้ความกระหายอยากได้แปรเปลี่ยนเป็นความโลภเสียแล้ว!
ครู่หนึ่งต่อมาเขาค่อยๆ กดนิ้วชี้ยื่นออกไป พลันโลหิตแดงเข้มหยดลงบนหอคอยแห่งเรือนจำ
บรรยากาศเงียบงันไป ก่อนที่หอคอยแห่งเรือนจำจะฉีกออกจากกันและหายวับไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินหมิงตาเหลือกลานด้วยความตกตะลึง
ตอนนั้นเองประตูของหอลับเปิดออกอย่างแรง จากนั้นชายชราผมสีขาวโพลนคนหนึ่งก้าวเข้ามา เขาตรงเข้าไปถามฉินหมิง “ไหนสมบัติล้ำค่า?”
อีกฝ่ายชะงักงัน ก่อนจะหันไปมองพลางมีสีหน้างุนงงสงสัย “มะ……เมื่อกี้มันยังอยู่ดีๆ”



