Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 113

ตอนที่ 113 คุยกันสบายๆ ก็น่าตกใจ

ตอนนี้เด็กๆ ในลานฝึกล้วนสวมเกราะไม้ไผ่สานกัน เกราะไม้ไผ่สานก็คือการใช้เส้นไผ่สานเป็นเสื้อเกราะครึ่งตัว เกราะไม้ไผ่สานจะบุนวมทำจากฝ้ายทั้งด้านในและด้านนอก ด้านนอกยังหุ้มทับด้วยแผ่นหนัง ข้างในใช้ผ้าดิบหยาบเป็นเสื้อตัวใน

หน้ากากบนใบหน้าทำจากหนัง เผยเพียงแค่ดวงตาและรูจมูกไว้หายใจ ที่เข่าและที่อื่นๆ ก็จะมัดอุปกรณ์ที่ไว้สำหรับป้องกันไว้

ในมือเด็กๆ ถือไม้พลองจากต้นไป๋ล่าขาว[ 1 ]คุณภาพชั้นดี ความยาวได้มาตรฐานที่ใช้ในกองทัพราชวงศ์หมิง สั่งการให้ทุกคนดูแลไม้พลองของตัวเองให้ดี แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เข้าออกลานฝึกทุกวัน ก็ต้องแบกเอาไม้พลองที่ยาวกว่าความสูงมากนักติดตัวมาด้วย ท่าทางตลกขบขันยิ่งนัก

การฝึกทุกวันตอนนี้ ก็คือการให้เด็กๆ แทงและยก ให้ท่าทางได้มาตรฐานพร้อมเพรียงกัน จากนั้นการฝึกครึ่งหลังก็จะให้ทุกคนยืนเป็นสองแถว ใช้ไม้พลองป้องกันและจู่โจมกันและกัน

ครูฝึกจะยืนอยู่กลางแถวค่อยออกคำสั่ง ท่าทางไม่ได้มาตรฐานเมื่อไรก็จะแก้ไขทันที

แผ่นหนังสีดำ ปลายไม้พลองหุ้มด้วยผ้า ด้านบนเคลือบผงสีขาวไว้ พอแทงโจมตีกัน ก็จะใช้สิ่งนี้มาตัดสินว่าโจมตีเข้าเป้าหรือไม่

ตามความต้องการของครูฝึก คู่ซ้อมของฮ่องเต้ว่านลี่ก็ควรเป็นหลี่หู่โถวที่ผอมบางตัวเล็กและอายุน้อยที่สุด แต่หวังทงกลับไม่เห็นด้วย หากทุกคนไม่เห็นด้วยกับเขา

ความคิดของทุกคนนั้น หลี่หู่โถวอายุน้อยแรงไม่เยอะมาก เขากับฮ่องเต้ว่านลี่ถูกจัดเป็นคู่ซ้อมกัน ไม่น่าจะทำอันตรายอันใดฮ่องเต้ว่านลี่ได้

ที่ว่านลี่คิดไม่ถึงก็คือ ตอนจับคู่ฝึกครั้งแรก ฮ่องเต้ว่านลี่ยังไม่ทันได้ขยับตัว หลี่หู่โถวก็จู่โจมจนฮ่องเต้ว่านลี่หงายท้องล้มตึง หายใจไม่ออกอยู่เป็นนาน

ครูฝึกพากันเหงื่อแตกพลั่กรีบเปลี่ยนคู่ใหม่ให้ ย่อมต้องเลือกเด็กที่อ่อนแอที่สุด ฮ่องเต้ว่านลี่จึงจะพอรับมือไหว

แต่คนที่ทำให้คนรู้สึกคาดไม่ถึงก็คือหลี่หู่โถว เปลี่ยนคู่ซ้อมไปสิบสองคน คนพวกนี้ไม่มีใครได้ออกท่าเป็นครั้งที่สอง ก็ถูกหลี่หู่โถวจู่โจมล้มลงกับพื้นไปก่อน

การเคลื่อนไหวฉับไว ตำแหน่งโจมตีแม่นยำ แม้กำลังไม่มาก แต่โจมตีรุนแรงด้วยความชำนาญ นอกจากนี้หลี่หู่โถวยังเคยลงมือสังหารผู้อื่นถึงตายมาแล้ว จึงฉายแววที่แตกต่างจากผู้อื่น

ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่ให้ลี่เทาที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาเด็กๆ มาเป็นคู่ซ้อมให้กับหลี่หู่โถว สองฝ่ายสู้กันจึงจะถือว่าสูสี เพราะหลี่หู่โถวแรงไม่มากพอจึงเสียเปรียบ

คู่ซ้อมของหวังทงคือซุนซิง แรงของหวังทงนั้นมากที่สุดในบรรดาเด็กๆ แต่ก็เก็บออมกำลังไว้ ปะมือครั้งแรกแม้แทงโดนหวังทง แต่ก็ถูกหวังทงแทงโดนหน้าอกไปเช่นกัน หวังทงเซไปหน่อยหนึ่งก่อนจะล้มลงกับพื้นทันที สุดท้ายก็เสร็จซุนซิงที่รูปร่างใหญ่ที่สุดและยังมีแรงมากที่สุดในบรรดาเด็กๆ ไป

หลังการฝึกสมรรถะที่น่าเบื่อ การฝึกเพลงทวนโจมตีเช่นนี้เป็นที่สนใจของเด็กๆ อย่างมาก ช่วงเวลาพักครั้งแรกของการเรียนนี้ ต้องให้ครูฝึกไล่ให้พวกเขาไปพัก

อารมณ์ของฮ่องเต้ว่านลี่วันนี้เหมือนจะฮึกเหิมมากไปหน่อย กล่าวกับหลี่หู่โถวด้วยความฮึกเหิมสุดขีดว่า

“หากเมื่อวานพวกเราเอาไม้พลองไปด้วย จะแพ้พวกสุนัขรับใช้พวกนั้นได้อย่างไร น่ากลัวว่าจะช่วยกลับมาได้นานแล้ว”

“อย่าขี้โม้เลย เมื่อวานตอนลากมือเจ้าไว้ ฝ่ามือเจ้าเต็มไปด้วยเหงื่อ ยังจะจับไม้พลอง ไม่กลัวว่าพอขยับจะลื่นหลุดมือหรือ”

หลี่หู่โถวนั่งแกว่งแขนอยู่ข้างๆ เปิดโปงวาจาใหญ่โตของฮ่องเต้ว่านลี่ขึ้นอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ตอนฮ่องเต้ว่านลี่มาที่ลานฝึกใหม่ๆ หากใครพูดกับเช่นนี้ ย่อมต้องหน้าบูดไปเป็นนาน แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว หน้ากลมๆ ไม่แดงแล้ว กล่าวตอบทันทีว่า

“หู่โถวเจ้าพูดผิดไปแล้วแน่ๆ เหงื่อข้าพวกนั้นเพราะเหนื่อยจนเหงื่อออกต่างหากล่ะ!!”

เด็กน้อยสองคนจับกลุ่มกันหัวเราะคิกคักกันอยู่ตรงนั้น ในใจหวังทงก็ผ่อนคลายลงมาก เห็นท่าทางของฮ่องเต้ว่านลี่แล้ว คิดว่าความยุ่งยากเรื่องเสนาบดีกรมปกครองผู้นั้นย่อมจบลงแล้ว เอาไว้ค่อยหาโอกาสถามถึงหวังไท่ไหล หากหวังไท่ไหลเกี่ยวข้องกับลัทธิไตรสุริยันจริง คุณชายจวนเสนาบดีกรมปกครองสถานะย่อมไม่ต่ำ ใกล้ชิดกับบรรดาแกนนำ ก็คงรู้เรื่องมากกว่า

ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น ลี่เทากับซุนซิงและเด็กคนอื่นๆ ก็เดินเข้ามา ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นหัวโจกของเด็กๆ เดินมา ก็รีบหยิบขนมหลายห่อออกมาจากห่อผ้าส่งให้ไป

ฮ่องเต้ว่านลี่เข้าใจดีว่า จุดศูนย์กลางของเด็กๆ ในลานฝึกนี้ไม่ใช่ตนเอง แต่เป็นเด็กๆ ที่โตเกินวัยเดียวกันพวกนี้ ลี่เทากับซุนซิงและคนที่ตามมาก็ยิ้มรับ นั่งลงข้างๆ หวังทง

“พลทหารหวังทุกวันเล่าเรื่องสนุกพวกตะวันตก ฟังแล้วยอดเยี่ยมมาก ไม่รู้ว่าวันหน้าจะมีโอกาสได้เห็นด้วยตาตนเองหรือไม่”

ซุนซิงเอ่ยขึ้นก่อน หวังทงลูบไม้พลองในมือไปมาเบาๆ ดูว่ามีเสี้ยนหลงเหลืออยู่หรือไม่ ตอบอย่างไม่คิดอะไรนักว่า

“อีกพักก็จะเริ่มฝึกแล้ว รอพรุ่งนี้ค่อยเล่าละกัน!!”

ทว่าที่เด็กๆ พวกนี้มาหาหวังทงนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องนี้ ซุนซิงตบเครื่องป้องกันบนตัว เอ่ยขึ้นว่า

“เสื้อเกราะตัวนี้หากไม่ถูกดาบฟันหรือทวนแทงใส่ตรงๆ เกรงว่าก็ยังคงป้องกันไว้ได้ แม้ว่าธนูร้ายกาจแต่หากมิได้ยิงโดนตรงๆ ห่างอีกหน่อย เกรงว่าก็น่าจะเอาอยู่เช่นกัน”

“ที่เมืองเซวียนฝู่ของเรา แม้ว่าสู้รบปรบมือเอาเป็นเอาตายกับพวกนอกด่านทุกวัน ผู้บัญชาการกองพันก็ไม่แน่ว่าจะคิดชุดหนังเช่นนี้ออกมาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมวก ดาบชั้นเลวของพวกนอกด่านฟันโดน เกรงว่าก็คงจะหักสะบั้นลง”

ลี่เทาที่อยู่ข้างๆ ประสานเสียงเห็นด้วย สองคนคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ หวังทงวางไม้พลองในมือลง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะมาฟังเรื่องเล่า คำถามนี้ก็ทำเอาฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกสนใจขึ้นมาด้วย อดแทรกขึ้นไม่ได้ว่า

“นี่ไม่ใช่เรื่องป้องกันหรือ นี่ก็เรียกว่าเกราะได้หรือ?”

คำพูดเช่นนี้เห็นชัดว่าเป็นผู้ไม่ชำนาญการในเรื่องนี้ ในพิธีการใหญ่ๆ ทั่วไป ทหารราชองครักษ์ก็จะสวมเสื้อเกราะออกงาน โดยเฉพาะแม่ทัพนายกององครักษ์เสื้อแพรที่ทำงานอยู่ในวังหลวงพวกนั้น ก็ล้วนแต่มีชุดเกราะสวยงาม

ชุดเกราะที่พวกเขาสวมกันนั้นส่วนใหญ่ไว้สำหรับพระราชพิธี ส่วนประกอบทำจากโลหะหลายชิ้น ส่องประกายแวววาวกระทบตา แลดูสง่างาม ในความคิดของว่านลี่ เช่นนั้นจึงจะเรียกว่าชุดเกราะ เครื่องป้องกันนี้เป็นแค่ไม้ไผ่สาน และยังมีผ้าบุฝ้ายอีก ด้านนอกหุ้มด้วยหนังอีกชั้น เรียกว่าเสื้อเกราะได้อย่างไร

ได้ยินวาจาดังนี้ แม้ว่าความสัมพันธ์ของทุกคนจะไม่เลวแล้ว แต่ก็ยังมีเด็กบางคนหัวเราะเยาะใส่ เอ่ยว่า

“พวกทหารร่ำรวยในเมืองหลวงของพวกเจ้าจะไปรู้ความยากลำบากของคนระดับล่างได้อย่างไร เจ้าสิ่งที่ไม่เรียกว่าชุดเกราะนี่ หากข้าเอากลับไปให้ท่านพ่อท่านอาข้าดูกันแล้วละก็ พวกเขาจะต้องน้ำลายหกแน่นอน ทหารออกรบแนวหน้า ที่บ้านไม่มีเงินทองก็ใส่ชุดทับกันหลายชั้น หากมีเงินมากหน่อยก็สวมแน่นหนาหน่อย ชุดออกรบก็จะเป็นชุดผ้าฝ้ายทับไว้ด้านในอีกชั้น…”

ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งเสียง ‘อ่อ’ รับรู้ ก้มหนาลงกำลังจะขัดไม้พลอง ก็ดูเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เงยหน้ามองพวกลี่เทากล่าวว่า

“เมืองจี้โจว เมืองเซวียนฝู่ สองเมืองนี้ ทุกปีราชสำนักส่งเงินไปเกือบ 2 ล้านตำลึงเงินไม่ใช่หรือ กองทหารในเมืองหลวงปีหนึ่งยังใช้จ่ายไม่ถึง 100 ตำลึงเลย จำนวนทหารเมืองหลวงยังมากกว่าชายแดนตั้งเยอะ ทำไมทหารพวกนั้นถึงไม่มีชุดเกราะกันล่ะ!!”

ใครก็ไม่คิดว่าหวงอี้จวินที่ทุกวันเอาแต่เล่นกลับรู้เรื่องมากมายเช่นนี้ และยังกล่าวได้ชัดเจนถึงเพียงนี้ ตัวเลขจำนวนนี้เด็กๆ พวกนี้ย่อมไม่รู้แน่นอน เห็นหวงอี้จวินอยู่ๆ ก็เอาจริงเอาจังขึ้นมา ทุกคนกลับรู้สึกขำกันอยู่บ้าง มีคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไกลๆ ก็เอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะดังมาว่า

“พวกแม่ทัพแต่ละเมืองทุกคนล้วนไม่ใช่พวกรวยทรัพย์สินเงินทอง ก็บิดาซื่อบื้อของลี่เทานั่นแหละ สุดท้ายเลยถูกต้องไปแนวหน้านั่น…”

“หุบปากเจ้าซะ!!”

ลี่เทาที่อยู่ตรงนั้นรีบตะโกนเสียงเข้มขึ้นทันที เด็กคนนั้นก็รีบเงียบเสียงลงทันที ลี่เทายิ้มเฝื่อนๆ เอ่ยเปลี่ยนประเด็นว่า

“มาหาพลทหารหวังและพลทหารหวง จริงๆ ไม่ได้จะมาพูดเรื่องนี้ ตอนพวกเราจากบ้านมา คนที่บ้านเราต่างเดากันไว้ว่าที่นี่เป็นลานฝึกกองทัพใช้ชื่อแอบแฝงว่าเป็นลานฝึกทั่วไป เจ้าดูสิครูฝึกพวกนั้นทุกคนล้วนมีท่าทางเหมือนแม่ทัพ ดูไม้พลองยาวที่พวกเราฝึกกันสิ เห็นชัดว่าเป็นเพลงทวนในกองทัพ ยังมีชุดเกราะนี่…ทุกคนคิดว่าเจ้ากับพลทหารหวงและพลทหารหลี่ล้วนไม่อยู่อาศัยด้วยกันในลานฝึกนี่ จะรู้อะไรกันไหม?”

เรื่องบางเรื่องคิดจะปิดบังก็ปิดบังไม่อยู่ คนฉลาดหน่อยก็ล้วนเดาได้บ้าง หวังทงกับหวังลี่สบตากัน ยิ้มแหะๆ ตอบกลับไปว่า

“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน”

หลังการฝึกตอนเย็นจบลง บรรดาเด็กๆ ต่างก็มีร่องรอยฟกช้ำเขียวจ้ำตามร่างกาย หมอหลวงจากสำนักแพทย์หลวงก็มาจัดยารักษาให้พวกเด็กๆ ทุกคน การต่อสู้แบบนี้เหนื่อยกว่าการฝึกสมรรถนะร่างกายมาก ทุกคนก้มหน้าคอตกแบกไม้พลองมุ่งไปยังหอเลิศรส ไม้พลองนี้แม้ว่าหนัก แต่ก็ไม่อาจลากไถไปกับพื้น

ฮ่องเต้ว่านลี่แอบขี้เกียจ ส่งไม้พลองให้หวังทงแบกไป สภาพร่างกายเขาแย่ที่สุดและก็ยังเคลื่อนไหวไม่สะดวกอีกด้วย บรรดาเด็กๆ ก็เข้าใจได้

สองคนก็เดินทิ้งท้ายสุดเหมือนปกติ หลังจากได้คุยกับหวังทงหลายครั้ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้สึกคุยกับหวังทงได้อย่างสบายใจ อารมณ์วันนี้ดูเหมือนไม่ค่อยดีนัก เดินไปสองสามก้าวก็หันมาพูดกับหวังทงว่า

“หวังทง ตั้งแต่เราร่วมการประชุมท้องพระโรงมา ทุกปี ต้นปี ปลายปี คณะเสนาบดีใหญ่ กรมอากรกับกรมทหารก็จะขัดแย้งกันเรื่องบทหารกันไม่หยุดหย่อน ทุกเมืองชายเดือน ทุกปีต้องการงบประมาณเพิ่ม แต่ทำไมพวกทหารผู้น้อยถึงได้ไม่มีแม้แต่เสื้อเกราะกันล่ะ?”

แม้แต่องครักษ์เสื้อแพรยังถูกหักเบี้ย นับประสาอะไรกับเมืองชายแดนห่างไกลพระเนตรพระกรรณเล่า หวังทงจำได้ว่าตนกับบิดาตอนไปปฏิบัติงานที่กวางตุ้งมาเก๊านั่น องครักษ์เสื้อแพรทุกคนที่นั่งเรือไปด้วยกันต่างคุยกันเฮฮาว่า “แม้ว่าทุกที่จะหักเบี้ยหวัด แต่ไปประจำกองทัพรอบนอกยังดี คนอยากไปกันเยอะ ไม่มีคนคอยดู ลงมือหักเท่าไรก็ได้ ได้เป็นทหารเงินเยอะกันเสียที” หวังทงจำวาจานี้ได้แม่นยำ เพราะว่าขัดกับความคิดเขา

หนังประวัติศาสตร์หรือในเอกสารเรื่องเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์หลายแหล่งต่างว่ากันว่าทหารชายแดนจิตใจเพื่อบ้านเมือง ทหารในเมืองหลวงโกงกินโลภมาก ได้ยินคำพูดของคนพวกนี้แล้วทำไมมันกลับกัน

แต่ข้อสงสัยนี้ของฮ่องเต้ว่านลี่ หวังทงเองก็ตอบไม่ได้ ถึงแม้ว่ารู้มากเท่าไร แต่เรื่องพวกนี้อาจลากคนมากมายให้พลอยต้องรับโทษพากันหัวหลุดไปด้วยกัน หวังทงก็เอ่ยอย่างลังเลว่า

“ฝ่าบาท ข้าน้อยนอกจากเมืองหลวงและกวางตุ้งมาเก๊าแล้ว ที่อื่นๆ ยังไม่เคยไป และก็ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้สาเหตุจริงๆ พะยะค่ะ”

ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบลงทันที พอเดินถึงประตู ก็เห็นโจงอี้ที่รออยู่ด้านนอก รายงานว่าไทเฮาประสงค์ให้ฮ่องเต้กลับไปเสวยในวัง ไม่ให้เสวยที่นี่

*****

พอฮ่องเต้ว่านลี่ไป หม่าซานเปียวก็วิ่งเหยาะๆ มา หวังทงยังคิดว่ามีเรื่องด่วนอะไร แต่พอมาถึงตรงหน้า เห็นสีหน้าเขาก็รู้สึกแปลกใจ หม่าซานเปียวหอบหายใจแรง ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย กล่าวเสียงดังขึ้นว่า

“ใต้เท้ารีบกลับไปเถอะขอรับ มีหญิงสาวมาคุกเข่าอยู่ที่ประตูหน้าบ้านท่าน!”

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

[ 1 ] ต้นไป๋ล่าขาว คือ ต้นแอช เป็นไม้เนื้อแข็ง นิยมนำมาใช้ทำเครื่องเรือน เครื่องใช้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!