Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 117

ตอนที่ 117 รังแกกันเช่นนี้

“คุณชายเช่นข้าปีนี้ 18 แล้ว ยังเห็นข้าเป็นเด็กน้อย การวิวาทบ้าบอเช่นนี้ ข้าต้องจับดาบคว้าธนูออกไปด้วยหรือ”

เฉินซือเป่านั่งบ่นเบาๆ อยู่บนหลังม้า

ในตอนนี้เขาไม่ได้สวมชุดยาวปักลายดอกไม้สีอ่อนอีกแล้ว แต่สวมชุดไหมสั้นสีดำ ปลอกข้อมือและรองเท้าหนังหุ้มข้อครบครัน นั่งอยู่บนหลังมาก็แลดูองอาจไม่เบา

ขุนนางบรรดาศักดิ์ชั้นสูงในราชวงศ์หมิงเป็นชนชั้นระดับพิเศษ ไม่อาจรับตำแหน่งขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่อาจเข้ารับตำแหน่งขุนนางท้องถิ่น แต่เรื่องเงินทองนั้นได้รับเป็นกรณีพิเศษ และยังสามารถรับตำแหน่งนำกองกำลังของกองทัพได้ด้วย เพราะว่าบรรดาศักดิ์ระดับนี้เริ่มพระราชทานครั้งแรกให้กับขุนพลที่สร้างผลงานในการรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิงจูหยวนจางและร่วมรบกับจักรพรรดิจูตี้ในการปราบจลาจลจิ้งหนาน

ดังนั้นลูกหลานขุนนางบรรดาศักดิ์ชั้นสูงพวกนี้ นอกจากพวกเกเรจนไร้หนทางเยียวยาแล้ว ผู้ชายส่วนใหญ่ก็รู้จักยุทธวิธีรบอย่างขี่ม้ายิงธนูอยู่บ้าง หากได้เป็นแม่ทัพนำกองทหาร ก็จะเป็นที่ยอมรับว่าได้เรื่องได้ราว มีอนาคต

และบรรดาองครักษ์พิทักษ์ตระกูลขุนนางบรรดาศักดิ์ชั้นสูงพวกนี้ก็มักจะไปร่วมออกรบแนวหน้ากับเจ้านายตนด้วย คนระดับนี้ก็เหมือนกับทหารคู่กายขุนพลราชวงศ์หมิง ทุกวันพวกเขาต้องฝึกฝนด้วยอุปกรณ์ดีเยี่ยม นับว่าเป็นนายทหารที่โดดเด่นมาก

เฉินซือเป่าแม้ว่ากินดื่มเที่ยวเล่น แต่เวลาที่ใช้ในการฝึกฝนนั้นก็มากกว่าบรรดาลูกหลานขุนนางบรรดาศักดิ์ชั้นสูงคนอื่นมากนัก แม่ทัพนายกองในบ้านก็ขยันฝึกอยู่บ้าง

ดังนั้นเมื่อมีเรื่องวิวาทลงมือกับพวกลูกหลานขุนนางบรรดาศักดิ์ชั้นสูงหรือขุนนางระดับสูงก็ไม่เคยพ่ายแพ้สักครั้ง นับว่ามีชื่อเสียงพอตัว มีข่าวลือว่า คนเบื้องบนชื่นชมเขาอยู่มาก เพราะเห็นว่าไม่ติดในฐานะสูงส่ง ขยันฝึกฝนตนเอง วันหน้าจะต้องเป็นกำลังสำคัญของราชวงศ์หมิง คิดไว้ว่าอีกสักสองสามปีก็จะส่งเข้าประจำการในกองทัพ

คุณชายท่านนี้ยังมีนิสัยอย่างหนึ่ง แม้สถานะสูงส่ง ตระกูลร่ำรวย แต่ไม่ชอบไปร่วมวงสังสรรค์กับพวกชั้นสูงในเมืองหลวงตามเขตบูรพา เขตปัจจิมและเขตอุดร แต่กลับชอบรวมกลุ่มกับเพื่อนสำมะเลเทเมาในเขตทักษิณ ทั้งหอสุรา บ่อนพนันและหอคณิกา แต่เรื่องใช้อำนาจรังแกผู้อื่นนั้นมีไม่มากนัก

ตามคำกล่าวของเฉินซือเป่าที่ว่า “คุณชายเช่นข้าอยู่ที่เขตทักษิณ เที่ยวเล่นอิสระ จะเกเรอย่างไรก็ไม่มีคนเอาไปป่าวประกาศจนเป็นเรื่องเดือดร้อนแก่ตนเองและวงศ์ตระกูล!”

ที่เขาว่ามาก็ถูกต้อง ที่เขตทักษิณล้วนเป็นแหล่งรวมของบรรดาราษฎรยากจน บรรดาศักดิ์ระดับป๋อที่สูงส่งก็พอจัดการเรื่องยุ่งยากให้เงียบได้ บางทีมีคนไร้ลูกกะตาเข้ามาก็แสดงสถานะไป อีกฝ่ายก็จะรีบนอบน้อมคำนับ นับเป็นเรื่องแสนจะสุขใจไม่ใช่หรืออย่างไร

คิดไม่ถึงว่าใหญ่โตมานานเช่นนี้ หากตอนไปหาความสำราญที่หอรุ่งเรือง แม้แต่ชื่อตนยังไม่ทันได้แจ้งไป ก็ถูกตบหน้าไปหนึ่งฉาดร่วงลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว

ที่ยิ่งเสียหน้าก็คือ พอร่วงลงกับพื้นแล้วตัวเองกลับหลับไปเสียอย่างนั้น ตอนตื่นขึ้นมาจึงเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เสียหน้าอย่างมากจริงๆ แม้แต่บิดาตนยังแสดงสีหน้าไม่พอใจ

ขุนนางบรรดาศักดิ์ชั้นสูงระดับนี้ บุตรชายออกไปมีเรื่องชกต่อยข้างนอก ต่อยชนะกลับมาก็ถูกผู้ใหญ่ดุด่าสักยก จากนั้นก็แล้วกันไป แต่หากแพ้ กลับไปดุด่าไม่ว่า ยังใช้กฎของตระกูลลงโทษด้วย

เฉินซือเป่าอย่างไรก็อายุ 18 แล้ว คุ้นเคยกับนิสัยคนตระกูลตนดี เสียหน้าใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าบิดาตนคงจัดการตนเองแน่ สองวันนี้บอกว่าปวดจนออกไปกินข้าวไม่ได้ ให้ครัวทำอาหารมาส่ง จากนั้นก็รวบรวมคนในบ้านและเพื่อนพ้องสำมะเลเทเมาพวกนั้นเตรียมจะไปเอาคืน

แต่คนที่ลงมือกับตนนั่นก็แปลก ในเขตทักษิณกลับสืบไม่พบว่าเป็นผู้ใด ใครก็รู้ว่าเป็นเขตรับผิดชอบของนายกองร้อยเถียนหรงหาว แต่องครักษ์เสื้อแพรคืนนั้นเป็นผู้ใด กลับถามไม่ได้ความ

เดิมคิดว่าบรรดาสาวหอรับวสันต์พวกนั้นน่าจะรู้ แต่คิดไม่ถึงว่าคุณชายอย่างข้าไปถึง อีกฝ่ายกลับปิดประตูไม่ยอมพบหน้า บอกว่าเป็นองค์เทพที่ไม่อาจล่วงเกินได้ หากคุณชายรองบีบบังคับ ก็จะยอมผูกคอตายไปเสียเลย

เฉินซือเป่าทรนงในความเป็นคุณชายใหญ่โต เรื่องจะบีบคั้นหญิงคณิกาผูกคอตายนั้น ก็รู้สึกว่าไร้สาระ ทำไม่ลง แต่กลับเป็นบุตรชายคนเล็กของคหบดีที่ทำการค้ากับวังหลวงผู้หนึ่ง และก็เป็นเพื่อนของเขาคิดวิธีออกมาได้ว่า เจ้าถูกตบที่หอรุ่งเรือง เช่นนั้นเราก็ลองบอกลักษณะคนผู้นั้น ส่งคนไปจับตาไว้ เฝ้าที่นั่นไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะหาพบว่าเป็นผู้ใด

ผลคือเช้าวันนี้ก็ได้ข่าวมา ผู้ที่ลงมือนั้นเป็นนายกองธงใหญ่องครักษ์เสื้อแพรนามว่าหวังทง เฉินซือเป่าได้ยินแล้วก็โมโหมาก ไม่สนใจสืบข่าวเรื่องอื่นๆ อีกแล้ว

ที่แท้เป็นแค่นายกองธงใหญ่ตัวเล็กๆ สถานะจิ๊บจ๊อยราวกับเมล็ดงา บังอาจมารังแกเหยียบหน้าข้า ไม่จัดการมัน ไม่ยิ่งเสียหน้าหรืออย่างไร

เฉินซือเป่ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจทำให้เป็นเรื่องใหญ่ มิเช่นนั้นคนที่ขายหน้าคงเป็นตน ไม่สู้ตีนายกองธงใหญ่ผู้นั้นให้ขาหัก แล้วค่อยแสดงสถานะ ก็ถือว่าได้ระบายความแค้นแล้ว

คิดๆ ดูคืนนั้นหวังทงก็มีลูกน้องไม่น้อย เฉินซือเป่าจึงต้องพาคนไปมากหน่อย และต้องพานายทหารสนิทที่ตระกูลตนเลี้ยงดูไว้ไปด้วย คนพวกนี้ไม่ใช่พวกมีฝีมือธรรมดาทั่วไป สี่ห้าคนรับมือคนธรรมดาหลายสิบคนได้อย่างมั่นใจว่าชนะแน่

แต่ที่ทำให้เฉินซือเป่าหงุดหงิดก็คือ ตอนรวบรวมคนได้พร้อมกำลังจะออกไประบายแค้น พ่อบ้านในจวนก็รีบวิ่งมา ตะโกนเสียงดังว่า

“นายท่านสั่งว่า หยิบกระบองไปก็พอ อย่าใช้อาวุธก่อเรื่อง อย่าให้มีคนตาย!!”

เฉินซือเป่าได้ยินแล้วก็ไม่พอใจ คิดว่าแค่เด็กอายุ 12 – 13 ยังต้องมาบอกอีก ในเขตพื้นที่เมืองหลวงใกล้พระเนตรพระกรรณเช่นนี้ ทำอะไรก็ต้องรู้จักประมาณ เล่นจนมีคนตายก็ต้องไม่ให้ผู้ใดรู้เห็น การวิวาทกันระดับร้อยคนนี่ และยังเปิดฉากกับองครักษ์เสื้อแพรอีกด้วย หากใช้อาวุธจนมีคนตาย ไม่ใช่ว่าหาเรื่องให้ตนเองไร้อิสรภาพหรืออย่างไรกัน

มีคนขี่ม้าอยู่ 6 – 7 คน คนอื่นๆ ก็สวมชุดสั้นถือไม้พลองตามมาด้านหลัง เป็นกลุ่มใหญ่ที่ฮึกเหิมได้ใจยิ่งนัก

*****

ราษฎรในเมืองหลวงเป็นพวกรู้มาก พอเห็นท่าทางของพวกเฉินซือเป่า ก็รู้ว่าคุณชายบ้านไหนจะไปก่อการวิวาท มีพวกว่างงานบางคนอดใจไม่ไหวเดินตามไปดูเรื่องสนุกด้วย มุ่งไปทางเขตทักษิณ ยังไม่ทันถึงเขตทักษิณ จำนวนคนที่ตามขบวนก็เริ่มมากขึ้น พวกศาลซุ่นเทียนและทหารมือปราบยังต้องออกมาไล่

ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง พวกคนว่างงานยังรวมตัวกันได้ไม่มากนัก พวกศาลซุ่นเทียนและทหารมือปราบก็ออกมาไล่แล้ว แส้และกระบองพร้อมสรรพ

แต่ก็เหมือนเดิมอยู่บ้าง ที่ไม่สนใจผู้นำอย่างเฉินซือเป่า แน่นอน ไม่อาจสนใจไหว

คนที่เฉินซือเป่านำพวกมานี้ พวกที่ขี่ม้าก็ล้วนเป็นคุณชายที่ชอบก่อเรื่อง พวกที่ตามมาก็เป็นพวกบ่าวรับใช้คนงานที่พร้อมลงมือ หรือพวกทหารในจวนที่มีฝีมือ

คนพวกนี้ไม่ค่อยไวกับสถานการณ์รอบตัว เช่นว่า นอกจากชาวบ้านที่ลนลานหลบเลี่ยง หรือร้องตะโกนเชียร์หยอกเย้าแล้ว ยังมีพวกที่ค่อยสังเกตด้วยท่าทีเย็นชาและประเมินอย่างละเอียด เรื่องนี้ไม่มีใครสังเกตเห็น

คนที่ตามดูเรื่องสนุกร่วมร้อยด้านหลังขบวนพวกนั้น เรียงตัวกระจัดกระจาย แต่ไม่มีพวกศาลซุ่นเทียนและทหารมือปราบออกมาไล่ ออกแรงไล่เพียงแค่คนที่เพิ่งจะมาเพิ่มเท่านั้น

พอเข้าในเขตทักษิณ คนที่ร้องเชียร์หยอกเย้าก็น้อยลง แต่กลับมีพวกส่งสายตาเย็นชามองมาตามสองข้างทาง มีคนกระซิบกระซาบกันเป็นระยะ

ณ สถานที่เงียบสงบไร้ผู้คนในร้านน้ำชามงคล โจวอี้แต่งกายธรรมดานั่งอยู่ที่โต๊ะ นายกองร้อยกองอาญาเซวียจานเยี่ยจากสำนักบูรพากับนายกองเติ้งจิ้นจากกองกำลังมังกรรักษาพระองค์แห่งสำนักอาชาหลวงก็นั่งอยู่ข้างๆ

ชายฉกรรจ์สวมชุดธรรมดาเข้าออกร้านน้ำชาตลอดเวลา มารายงานข่าวที่โต๊ะ นายกองร้อยกองอาญาเซวียจานเยี่ยจากสำนักบูรพากับนายกองเติ้งจิ้นได้ยินอะไรก็จะมารายงานโจวอี้ตลอดเวลา

“พวกเราจับตาอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีผู้ใดพกพาอาวุธมีคม”

“บรรดาพวกคุณชายตระกูลต่างๆ ที่มาด้วย เมื่อครู่สายลับและพวกประจำการต่างรายงานมาแล้ว ไม่มีผู้ใดถืออาวุธอะไรออกจากบ้าน”

“กองทหารล้วนเตรียมพร้อมแล้ว ขอเพียงมีอะไรผิดแผกไป ก็จะสั่งการหยุดยั้งได้ทันที”

“เฉินซือเป่าคิดการรอบคอบ รู้จักหนักเบา ต่างจากหวังไท่ไหล หากไม่รู้จักหนักเบาคิดแต่จะแก้แค้น เกรงว่าคงบอกให้บิดามารดาออกหน้าให้นานแล้ว”

โจวอี้รับฟังสีหน้านิ่งเรียบ เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยถามว่า

“เติ้งจิ้น พวกเราไม่ได้นำทหารมาด้วย เรื่องนี้แม้ว่าเพื่อให้ฝ่าบาทพอพระทัย แต่อันตรายมากไม่น้อย เจ้าว่าจะมีผลลัพท์แพ้ชนะเช่นไร?”

เติ้งจิ้นลูบหนวดเคราบนใบหน้าครุ่นคิด ก่อนจะตอบเสียงดังว่า

“เรียนโจวกงกงตามตรง การฝึกในลานฝึกที่ข้ามักได้ไปดูมาช่วงนี้ เด็กๆ หากได้ฝึกเช่นนี้สักสองสามเดือน…”

*****

“พลทหารทุกท่าน หอเลิศรสที่เรากินข้าวกัน เมื่อวานตอนออกไปซื้อหาของไปชนกับคนใหญ่คนโตในเขตปัจจิม สองฝ่ายลงมือกัน คนรถของหอเลิศรสเสียเปรียบไปบ้าง”

ในช่วงพัก ครูฝึกกลับไปพักผ่อน หวังทงยืนพูดอยู่ตรงนั้น พอเขาพูดก็มีหยอกล้อดังขึ้น

“คนรถนั่นดูแล้วยังเก่งกล้ากับพวกเราอีก เขายังเสียเปรียบได้อีก”

“อีกฝ่ายก็ไม่ได้เปรียบไปเท่าไร คนใหญ่โตนั่นวันนี้จะมาเอาเรื่องถึงที่ บอกว่าจะพังหอเลิศรสเรา ยังบอกว่าจะพังลานฝึกเราให้พวกเขาไร้ที่ทำการค้าอีกด้วย กำลังจะมากันแล้ว”

พอกล่าวจบ บรรดาเด็กๆ ก็ส่งเสียงเซ็งแซ่กันดังขึ้น หลังจากได้ปะทะกับพวกฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านไปเมื่อครั้งก่อน เด็กๆ ไม่เพียงไม่กลัว ยังกลับรู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบเพราะไม่ได้เอาอาวุธไปด้วย หลายวันนี้เอาแต่วิเคราะห์กันว่าหากจะมีเรื่องอีกควรทำอย่างไร

คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาเปิดฉากหาเรื่องถึงที่ ทุกคนมีอารมณ์ร่วมกันขึ้นมาทันที แน่นอน อารมณ์ยามนี้ก็คือฮึกเหิมและตื่นเต้น ทุกวันสวมเกราะไผ่สานและหมวกเกราะ ถือไม้พลองฝึกฝน กำลังคิดว่าจะหาคู่ประมือลองซ้อมฝีมือดูพอดี

หลี่หู่โถวกระโดดตัวลอยขึ้นทันที กำหมัดตะโกนดังว่า

“เราต้องจัดการพวกบัดซบไร้ลูกกะตาพวกนี้ให้กระจุย ให้พวกมันรู้ความร้ายกาจของลานฝึกหู่เวยของเรา!!”

เด็กๆ พากันร้องตะโกนดัง ในนั้นมีฮ่องเต้ว่านลี่ที่มีสีหน้าแดงก่ำ กำลังตะโกนดังเต็มกำลังอย่างที่สุด

*****

“เจ้ารู้ว่าหวังทงอยู่ที่ไหนไหม?”

“เรียนคุณชาย น่าจะลานฝึกทางนั้น ใช่แล้ว พ้นถนนนี้ ทะลุออกไปก็ถึงแล้ว!”

รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน เฉินซือเป่าโดดลงจากอานม้า จัดการรัดชุดสั้นให้แน่นหนา หยิบไม้พลองยาวเท่าความสูงคน ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไป

พอพ้นถนนสายนี้ก็จะเป็นพื้นที่กว้างของลานฝึกหู่เวย เฉินซือเป่าเกรงว่าอีกฝ่ายจะหนี ก็นำคนวิ่งนำไปก่อน วิ่งไปสองสามก้าวก็หยุดชะงักกึกจนคนข้างหลังเกือบชน

ขบวนแถวเรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ เบื้องหน้า ทุกคนที่อยู่ในขบวนล้วนสวมชุดและหมวกเกราะ มือถือไม้พลองยาว ทุกคนรูปร่างไม่สูง

“…แม่มันสิ…”

เฉินซือเป่ายืนสบถด่างงๆ อยู่ตรงนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!