Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 182

ตอนที่ 182 ปูทางหนีไว้ วิจารณ์เด็กๆ

“ถานเจียง เจ้าไปเช่ารถใหญ่มาแปดคัน ไม่ต้องสนใจราคา บอกว่ามาย้ายของไปโรงบ้านนอกเมือง”

หวังทงสั่งน้ำเสียงนิ่งเรียบ ถานเจียงตั้งแต่เห็นสีหน้าของหวังทงตั้งแต่เมื่อคืน ก็รู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก ยามนี้ก็ไม่อยากถามให้มากความ รับคำแล้วก็ออกไป

เห็นเตาไฟที่วางอยู่ในห้อง กระดาษที่เขียนคำว่า ‘อดกลั้น’ นั้นเผามอดไหม้ไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน หวังทงเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก็ออกไปที่หอเลิศรสตามหม่าซานเปียวมา

หม่าซานเปียวตอนนี้อาศัยอยู่ที่เรือนข้างในบ้านหวังทง แต่นางหม่าก็ออกกฎเหล็กให้เขาว่า ตื่นนอนล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็ต้องรีบมาช่วยงานด้านหน้า บ้านนายท่านให้เจ้าได้ไปอยู่ก็นับเป็นวาสนาแล้ว จะอู้กิจการงานของนายท่านได้อย่างไร

“เดี๋ยวพอถานเจียงเช่ารถมา เจ้าก็ตามไปนอกเมืองสักครั้ง ย้ายของลงไว้ที่โรงบ้านแล้วก็ไปเอาปืนไฟข้าที่โรงตีเหล็กที่นั่นคืนมา เจ้าไปตามแม่เจ้าและจางซื่อเฉียงมา เจ้าไปรอด้านนอก”

แม้ว่าหม่าซานเปียวจะงุนงง แต่ก็ทำตาม แต่เช้ามา นางหม่าก็คอยจับตาดูการเตรียมอาหารในหอเลิศรส เตรียมการค้าขายในหนึ่งวัน จางซื่อเฉียงอาจอยู่ที่หอรุ่งเรือง ร้านน้ำชามงคลหรือหอรวมคุณธรรมตรวจงาน งานยุ่งที่สุด หวังทงไม่ค่อยได้เรียกหาเขาทั้งสองนัก

พอเข้ามาถึง หวังทงก็ให้จางซื่อเฉียงปิดประตู เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“อีกสักครู่เจ้าออกไปนอกเมือง รอข่าวจากคนของถานเจียง หากมีอะไรผิดปกติ ก็ให้ทำตามที่ข้าสั่ง มอบให้ซุนต้าไห่ 3,000 ตำลึง พี่น้องเขาคนละ 500 ตำลึง นายกองหลี่ว์วั่นไฉ 3,000 ตำลึง หวังกุ้ยกับหลี่ซื่อคนละ 1,000 ตำลึง เงินที่ถานเจียงนำมาเองก็คืนให้พวกถานเจียงเอาไปแบ่งกันเอง คนในร้านนี้ทุกคน คนละ 20 ตำลึง ที่เหลือพี่จางกับน้าหม่าแบ่งไปให้หมด”

หวังทงกล่าวจบ นางหม่าก็ร้อนใจกล่าวขึ้นว่า

“หวังทงเจ้าอย่าทำให้น้าตกใจ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมอยู่ๆ จึงกล่าวเช่นนี้!?”

“อย่าถามอะไรทั้งนั้น ถึงเวลารับเงินแล้วรีบไป ยิ่งไกลจากเมืองหลวงเท่าไรยิ่งดี คิดว่าคงไม่มีใครตามเอาเรื่องพวกเจ้า”

สีหน้านางหม่าเคร่งเครียดยิ่ง นางหม่ากับจางซื่อเฉียงชินกับการตัดสินใจและคำสั่งของหวังทง พวกเขารู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว แต่หวังทงกล่าวว่าห้ามถาม เช่นนั้นก็ไม่กล้าถาม

เงินทองที่สะสมมาหลายวันนี้ นางหม่ากับจางซื่อเฉียงรู้ดี แม้ว่าจะจ่ายออกไปตามที่หวังทงสั่งมา แต่นางหม่ากับจางซื่อเฉียงก็ยังคงได้แบ่งเกิน 10,000 ตำลึง

“หวังทงเอ๊ย น้าอายุมากแล้ว มีชีวิตต่ออีกสักหน่อยก็พอใจแล้ว น้าไม่รู้ว่าเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่น้าก็ไม่กลัว ขออยู่ที่นี่คอยทำอาหารดูแลจัดการจิปาถะให้เจ้าก็พอ”

นางหม่าน้ำตาไหลอาบแก้ม จางซื่อเฉียงก็ก้มตัวคำนับ ทำความเคารพสูงสุด กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า

“ข้าน้อยติดค้างใต้เท้ามากเหลือเกิน ใต้เท้าเกิดเรื่อง ข้าน้อยจะรับเงินแล้วจากไปได้อย่างไร ขอให้ข้าน้อยได้อยู่ต่อ ถึงตอนนั้นจะได้รับใช้ใต้เท้า คอยสืบข่าวให้ท่าน”

หวังทงโบกมือ ในใจรู้สึกซาบซึ้งยิ่ง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ฝืนยิ้มกล่าวว่า

“เรื่องยังไม่แน่นอน อย่าพูดกันเหมือนว่าข้าจะถูกจับเข้าคุกสิ เตรียมการอย่างนี้ก่อน ปลอดภัยไว้ก่อน ไม่แน่ว่าข้าอาจมีโอกาสออกไปร่วมเดินทางกับพวกเจ้าได้อีก”

หากต้องมีโทษจำคุกจริง หวังทงก็ไม่ได้คิดจะยอมให้จับแต่โดยดี หนีได้ก็ย่อมหนี เขากล่าวเช่นนี้ นางหม่ากับจางซื่อเฉียงก็ไม่ได้ดื้อดึงต่อ ในใจกลับคิดว่า ใต้เท้าจัดการเช่นนี้ หรือว่าเพื่อเตรียมทางหนีเอาไว้กัน

สองคนเพิ่งจะเตรียมออกจากบ้านไปจัดการ จางซื่อเฉียงกลับคิดอะไรขึ้นมาได้ หันกลับไปถามว่า

“นายท่าน นายกองธงเล็กหลี่ไม่ต้องให้หรือขอรับ?”

หวังทงโบกมือ กล่าวว่า

“หากถึงตอนแบ่งเงินกัน จำไว้อย่าได้โยงหลี่เหวินหย่วนมาเกี่ยวข้องด้วย ครอบครัวเขาย่อมมีวาสนาของเขา เงินพวกนี้กลับจะฉุดรั้งพวกเขาไว้”

หลี่หู่โถวสนิทสนมกับ ‘หวงอี้จวิน’ ที่ลานฝึกหู่เวย วันหน้าไม่แน่ว่าจะมีอำนาจวาสนายิ่งใหญ่รอครอบครัวเขาอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปดึงเขาร่วงลงมาด้วย

จางซื่อเฉียงพยักหน้าแล้วก็ออกไป ครั้งนี้เป็นหวังทงที่คิดได้เรื่องหนึ่งจึงตะโกนเรียกให้หยุดว่า

“เงินที่เก็บหอฉินก่วนมา เดี๋ยวเจ้าเอาไปคืนแม่นางซ่งด้วย บอกนางว่าดูแลตัวเองให้ดี!”

อย่างไรแม่นางซ่งก็เป็นผู้มาส่งข่าว ตนเองก็ควรจะตอบแทนน้ำใจนาง

หวังทงเก็บเงินทองและของที่นำติดตัวไปง่ายใส่ขึ้นรถ ถานเจียงและหม่าซานเปียวนำรถออกเดินเมืองไป ระหว่างทางบนถนนทักษิณ บรรดาคนของสำนักบูรพาที่แต่งกายสามัญประจำการอยู่ก็มิได้สนใจอะไร

ใกล้เวลาอาหารกลางวัน หม่าซานเปียวก็เอาปืนไฟกลับมามอบให้หวังทง หวังทงให้คนมาทำกล่องไม้โดยเฉพาะ ในกล่องไม้แบ่งออกเป็นช่องเล็กช่องใหญ่ บรรจุถุงหนังกวางที่ใส่ดินปืน ถุงหนังวัวที่บรรจุกระสุน และอุปกรณ์อื่นๆ จิปาถะ และยังเหลือช่องไว้วางกระบอกปืน

หวังทงจุดเชื้อไฟให้ติดขึ้นแล้วก็ดับประกายลง ปิดฝา ในช่วงวิกฤตจะได้อาศัยสิ่งนี้เป็นตัวจุดชนวนปืนไฟ บรรจุดินปืนและกระสุนแล้ว ก็มองไปรอบห้องที่ว่างเปล่า ในใจก็รู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

ยกกล่องออกจากบ้านไปที่ลานฝึกเตร่ไปเตร่มา เด็กๆ ตอนนี้ควรจะเรียนกันอยู่ที่ห้องเรียน ด้านนอกเงียบสลัดอย่างยิ่ง

มีเรื่องน่าแปลกอยู่บ้าง ที่ขันทีน้อยไช่หนานอยู่ที่นั่น จากการสรุปเอาเองของหวังทง ในช่วงเวลาเช่นนี้ เสี่ยวไช่ย่อมต้องหลบเลี่ยงตนอย่างที่สุด วันนี้กลับปรี่เข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม น่าแปลกจริงๆ

อีกไม่นานก็เวลาอาหารกลางวันแล้ว หลังทานอาหารเสร็จก็จะไปที่ลานฝึกอีก

*******

รอบลานฝึกมีบ้านเรือนไม่น้อยที่ย้ายออกไปแล้ว ด้านในไม่ปรับเป็นโกดัง ก็เป็นที่พักของคนสำนักบูรพาทหารในวัง หลายบ้านปรับเป็นที่พักของคนในลานฝึก

ทุกพักกลางวัน พ่อครัวหลวงที่หอเลิศรสก็จะไปที่หอรุ่งเรือง ควบคุมพ่อครัวใหญ่ให้ทำอาหารชั้นยอดรสดี จากนั้นก็ใช้ผ้าคลุมและยกมา ผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษนี้ ก็คือมหาขันทีหวงหยางและอวี๋ต้าโหยวที่เพิ่งได้รับเชิญมาสอนเด็กๆ ที่นี่

สองคนนี้ยกทัพจับศึกมานานปี จนถึงวัยนี้ ก็ไม่มีอารมณ์ร้อนอันใด ทั้งสองแม้ว่าคนหนึ่งมาจากทางเหนือ คนหนึ่งมาจากทางใต้ แต่อย่างไรก็เป็นขุนพลในราชวงศ์หมิงเหมือนกัน คนรู้จักสนิทสนมก็มาก

ช่วงมื้อกลางวันและมื้อค่ำ ได้กินอาหารถูกปาก ก็คุยกันเรื่องเก่าในสมัยก่อน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างยิ่ง หวังทงแกล้งทำเป็นนิ่งเงียบอยู่ด้านนอก แต่ในใจกลับเต้นโครมคราม บรรยากาศทางอวี๋ต้าโหยวกับหวงหยางยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม

อวี๋ต้าโหยวชอบดื่มชาเข้ม แก้วดินเผาใบใหญ่เนื้อหยาบของเขานั้น มีสีดำเมี่ยมยิ่งกว่าหมึกดำ ก็ไม่รู้ว่าเป็นชาอะไร

คีบเนื้อกรอบมาชิ้นกัดลงไป ดื่มไปอึกหนึ่ง อวี๋ต้าโหยวก็ลูบริมฝีปาก ยิ้มกล่าวว่า

“เรื่องลานฝึกนี้ หวงกงกงรู้แล้วกระมัง!”

หวงหยางใช้ชีวิตหรูในวังมาหลายปี กินอาหารก็พิถีพิถันกว่าอวี๋ต้าโหยวมากนัก จอกเหล้าจากกระเบื้องลายครามชั้นดีเทสุราสีเหลืองอำพันลงไป ค่อยๆ จิบ

ได้ยินคำของอวี๋ต้าโหยว หวงหยางก็วางตะเกียบลง ยิ้มกล่าวว่า

“แม่ทัพอวี๋ข่าวสารแม่นยำ ตอนกลางวันบุตรบุญธรรมข้าคนหนึ่งมาแจ้งข่าว ไม่ทราบว่าแม่ทัพอวี๋รู้ได้อย่างไรกัน?”

“ออกศึกมาหลายปี ก็พอรู้จักไปมาหาสู่กับพวกในกรมทหารอยู่บ้าง คุ้นเคยกันดี ก็พอมีคนที่พอเชื่อได้ คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงจริงๆ มีคนคิดว่า หรือว่าเป็นเพราะเรื่องการไว้ทุกข์หรือยับยั้งที่ลากหวังทงเดือดร้อนไปด้วย เขาเป็นแค่นายกองร้อยเล็กๆ จะไปทำอะไรได้!”

หวงหยางยิ้มส่ายหน้า ถอนหายใจกล่าวว่า

“ยังจะทำอะไรได้หรือ ใกล้ชิดฝ่าบาทก็ถือเป็นความผิดแล้ว”

กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดลง อวี๋ต้าโหยวดื่มน้ำชาเข้มไปอีกอึกหนึ่ง ก่อนจะวางลงบนโต๊ะอย่างแรง ด่าหยาบคายว่า

“ลานฝึกดีๆ ดำเนินการต่อไปไม่ได้ ยังจะริดรอนแย่งความชอบ กะจะฝึกต้นกล้าดีๆ ขึ้นมาสักหน่อย ยังมาทำเรื่องพรรค์นี้อีก เจ้าขุนนางพวกนี้คิดว่าแผ่นดินสงบสุขดีหรือไร”

หวงหยางไม่ได้รับคำ แต่คีบชิ้นปลาส่งเข้าปาก หลับตาเคี้ยว ราวกับดื่มด่ำกับรสชาติอาหาร กล่าวเสียงเบาๆ ว่า

“ใต้เท้าอวี๋คิดว่าเด็กๆ ที่ลานฝีกนี่มีกี่คนที่พอฝึกขึ้นมาได้กัน?”

อวี๋ต้าโหยวก็มิได้กล่าวเรื่องเมื่อครู่ต่อ ยกถ้วยชาขึ้นกล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า

“ลี่เทาอายุน้อยแต่ความคิดโตเกินวัย มีความรู้ดี รู้จักวางแผน ไม่เลวเลย ซุนซิงนั้นมองเรื่องราวได้ปรุโปร่ง จิตใจหนักแน่น ยากที่จะกระทำการผิดพลาด สองคนนี้หากมีวาสนา เป็นที่ปรึกษากองทัพก็ยังได้ หากจะได้แม่ทัพใหญ่หรือไม่ก็ต้องขึ้นกับวาสนาแล้ว บุตรชายเซียงเฉิงป๋อได้เป็นผู้บัญชาการทัพรักษาเมืองหลายแห่งอยู่”

หวงหยางยิ้มรับคำขึ้นว่า

“ข้าก็คิดไม่ต่างจากขุนพลอวี๋ ตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังในเมืองหลวงไม่แน่ก็อาจตกอยู่ในมือของเฉินซือเป่า ตระกูลนี้ไม่แน่ก็อาจได้ตำแหน่งระดับโหวต่อไป!”

ตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังในเมืองหลวงตามประเพณีที่ผ่านมาก็มักให้ชนชั้นสูงรับตำแหน่ง แต่อำนาจแท้จริงกลับอยู่ที่ขันทีและขุนนางบุ๋นที่ดูแลกองกำลังเช่นกัน แต่การได้ตำแหน่งนี้ก็นับว่ามีเกียรติยิ่ง หากปฏิบัติงานได้ดี ปูนบำเหน็จก็จะได้รับเพิ่มเป็นพิเศษ

เรื่องนี้เป็นที่รู้กัน สองฝ่ายกล่าวอยู่นั้น อวี๋ต้าโหยวกลับกล่าวขึ้นว่า

“หลี่หู่โถวนั่น กงกงว่าเป็นอย่างไร แม้ว่าทุกวันไม่ได้เล่นใกล้ชิดกับฮ่องเต้ แต่เด็กน้อยต่างจากคนอื่น ตอนโจมตีก็ไม่เคยด้อยกว่าผู้ใด เห็นการลงมือของเขาหลายครั้ง ก็ดุดันเด็ดขาด แต่อายุยังน้อยเกินไป ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรจริงๆ ?”

หวงหยางได้ยินวาจานี้แล้วก็ยิ้มขึ้น ส่ายหน้ากล่าวว่า

“เจ้าเด็กนี่อายุยังน้อยแต่กลับร้ายกาจ ยังสนิทสนมกับฝ่าบาท ไม่รู้ว่าวันหน้าจะมีอนาคตเช่นไรกัน เจ้าและข้าไม่ทันได้อยู่ดูแน่แล้ว!”

กล่าวจบ หวงหยางก็ถอนหายใจ ส่ายหน้าว่า

“ทุกวันนี้เราสอนเจ้าเด็กพวกนี้ เห็นพวกเขาตั้งใจฟังกันเช่นนั้น ก็รู้สึกดีใจมาก แก่แล้วๆ รู้สึกว่าไม่ได้มีชีวิตอย่างสูญเปล่า ได้สร้างคนที่ใช้งานเพื่อราชวงศ์หมิงเราได้ แต่เรื่องนี้ยากที่จะสมบูรณ์แล้ว!”

มหาขันทีหวงหยางอยู่ๆ ก็ทอดถอนใจ อวี๋ต้าโหยวกลับทำท่าเหมือนไม่สนใจ ยิ้มกล่าวว่า

“ราชวงศ์หมิงเราพวกรู้ตำราคัมภีร์ล้วนเป็นใหญ่ พวกเราหลายปีนี้ก็ขึ้นๆ ลงๆ กงกงยังไม่เข้าใจอีกหรือ ใช่แล้ว กงกงคิดว่าหวังทงผู้นั้นเป็นอย่างไร เด็กนั่นอายุไม่มาก แต่ดูเหมือนพวกอายุ 30-40 ไม่ว่าการต่อสู้หรือวางแผนก็ล้วนอยู่ในระดับกลาง ไม่โดดเด่นอันใด แต่รู้สึกมีอะไรบอกไม่ถูก”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!