Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 185

ตอนที่ 185 เกิดหน่วยงานใหม่ขณะสนทนา

วันที่ 5 เดือนสิบสองวันนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงฉลองพระองค์ชุดมังกรเสด็จมาถึงลานฝึกหู่เวย ที่ลานฝึกไม่มีคน เด็กๆ ยังพักผ่อนกันอยู่ในห้องพัก

ครูฝึกหลายคนก็กลับไปประจำตำแหน่งเดิมของตน หวงหยางพอสอนวิชาสุดท้ายให้เด็กๆ ก่อนจากไปยังอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ กล่าวว่าตนวันหน้าคงไม่ได้พบพวกเจ้าอีก คิดถึงจนไม่อาจตัดใจจากไปได้จริงๆ

ขันทีชราก็มีความเหมือนหญิงชราอยู่บ้าง อยู่ร่วมกับเด็กๆ ซุกซนพวกนี้มานานขนาดนี้ ในใจก็ย่อมไม่อาจตัดใจได้ เขายังอายุมาก การจากกันครานี้ก็คงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก

การข่าวของหวงหยางฉับไวมาก แต่เด็กๆ กลับไม่รู้เรื่องอะไร เรื่องที่ได้ตัดชุดทหารระดับหกกันนั้นทำให้ทุกคนพากันดีอกดีใจ แต่ท่าทีของขันทีชราก็ทำเอาทุกคนอึ้งไปอย่างรู้สึกใจคอไม่ดีอยู่บ้าง

เทียบกันแล้ว อวี๋ต้าโหยวกลับทำใจได้ดีกว่ามาก คว้าถ้วยน้ำชาใบใหญ่หยาบๆ เดินไปกินข้าวกับพวกเด็กๆ ที่หอเลิศรสมื้อหนึ่ง เล่าเรื่องตลกแบบผู้ใหญ่กันเป็นที่สนุกสนาน

พอถึงตอนบ่าย ก็ตบบ่าลี่เทากับซุนซิงและเฉินซือเป่า ลูบหัวหลี่หู่โถว แล้วจึงกลับไปที่บ้านหลบหนาวที่กรมทหารจัดไว้ให้ ไม่ออกจากบ้านมาอีกเลย

ทุกวันหลี่เหวินหย่วนจะถือหอกยาว ยืนเงียบมองเด็กๆ เฮฮากัน ปรากฏทำเอาเด็กๆ ที่กำลังเฮอากันอยู่รู้สึกงง จึงได้พากันเงียบไปด้วย

ตอนบ่ายก็ว่างกันอยู่ที่ห้องพัก หยิบแผนที่ออกมาจัดทัพง่ายๆ กัน พวกที่ขี้เกียจหน่อยก็เอาแต่นอนถึงเที่ยง ทั้งลานฝึกบรรยากาศเงียบเหงายิ่ง

เกือบหนึ่งปีมานี้ เกือบทุกวันที่หวังทงต้องได้พบกับฮ่องเต้น้อย แม้เขารู้ว่าเป็นโอรสสวรรค์ และก็รู้ว่าลานฝึกนี้สร้างขึ้นเพื่อฮ่องเต้

แต่ในสมองก็ไม่เคยนึกภาพโอรสสวรรค์ที่น่าเกรงขามได้ ฮ่องเต้น้อยที่เขาได้พบ ก็เป็นแค่เพื่อนนักเรียนตัวอ้วนที่ใจแคบอยู่บ้าง ชอบฟุ้งเฟ้อบ้าง หากให้ความสำคัญกับมิตรภาพมาก และเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็จะพยายามพัฒนาตน เป็นสหายที่มีข้อบกพร่องอยู่ไม่น้อยแต่ก็น่ารักและน่าคบหาด้วย

วันนี้เห็นฮ่องเต้ฉลองพระองค์ในชุดมังกรพื้นดำ ดิ้นทองปักลายมังกรทองปราณีตงดงาม แม้ว่าพระวรกายฮ่องเต้น้อยสูงกำยำขึ้นไม่น้อย แต่ยังคงกลมป๊อก ทว่าชุดมังกรตัดเย็บได้พอดีตัวมาก สวมแล้วก็มีรัศมีน่าเกรงขามเปล่งประกายออกมา

จางเฉิงก็สวมชุดสีแดงลายงูใหญ่ตามเสด็จมาด้วย เป็นผู้หนึ่งที่ใกล้ชิดฮ่องเต้ว่านลี่ที่สุด ห่างออกไปยังมีขันทีน้อยที่คอยถือเครื่องทรงใช้ ทั้งด้านในและด้านนอกยังมีองครักษ์ที่สวมชุดเกราะอ่อน หน้าตาเคร่งขรึมประจำอยู่รอบๆ

บนถนนทักษิณแต่เช้ามาก็ถูกกองกำลังวังหลวงล้อมไว้ ทหารของศาลซุ่นเทียนและศาลอาญาใหญ่ต้องออกไปรอบนอกที่สุด คนของสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็ลาดตระเวนกันบนถนนทักษิณอย่างไม่หยุดพัก

ฮ่องเต้ว่านลี่ฝึกอยู่ที่ลานฝึกมาได้เกือบปี คนที่คอยดูแลป้องกันน้อยกว่านี้มาก ก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่สถานการณ์เป็นทางการตอนนี้ไม่เหมือนกัน ไม่เพียงแต่เพื่อความปลอดภัย แต่ยังแสดงถึงแสนยานุภาพแห่งองค์ฮ่องเต้

หวังทงรู้สึกลึกๆ ได้ถึงแสนยานุภาพนี้ เพราะเขากำลังคุกเข่าห่างจากฮ่องเต้ว่านลี่เพียง 10 ก้าว ฮ่องเต้น้อยนั่งแย้มสรวลกว้างอยู่ที่นั่น รอหวังทงถวายบังคมเสร็จ ก็ตรัสขึ้นว่า

“ขุนนางหวังจะไปประจำการที่เทียนจินแล้ว มีอะไรยากลำบากหรือไม่!?”

วาจาตามมารยาทก็ย่อมตอบตามมารยาท หวังทงโขกศีรษะถวายคำนับอย่างนอบน้อม กล่าวสรรเสริญว่า

“ด้วยพระเมตตาของฝ่าบาท กระหม่อมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว ไปเทียนจินครั้งนี้ ไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟก็ต้องตอบแทนพระเมตตาของฝ่าบาทพะยะค่ะ”

ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้ารับด้วยท่าทีสำรวม ออกคำสั่งสุรเสียงนิ่งเรียบว่า

“จางปั้นปั้น ให้คนถอยออกไปนอกห้องก่อน เรามีเรื่องจะถามหวังทง จางปั้นปั้นอยู่ต่อด้วย”

ทุกคนตอนนี้อยู่ในโถงใหญ่ของลานฝึก ได้ยินพระบัญชาฮ่องเต้ องครักษ์และขันทีโดยรอบก็ถวายคำนับถอยออกไป

ในห้องใหญ่ตอนนี้มีเตาไฟให้ความอบอุ่นเพียงพอ อากาศอบอุ่นอย่างมาก เห็นจางเฉิงปิดประตูลง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงถอนหายใจออกมาเบาๆ ตรัสกระซิบว่า

“เดิมเราคิดจะให้เจ้าคอยอยู่ข้างกายเรา แต่ราชวงศ์หมิง มีบางเรื่องที่เราก็ตัดสินใจไม่ได้ ได้แต่ต้องปล่อยให้เจ้าไปเทียนจินแล้ว”

พระดำรัสตรัสออกมา หวังทงที่คุกเข่าอยู่กับจางเฉิงที่กำลังเดินกลับมาก็สะดุ้งทันที หวังทงไม่สนใจธรรมเนียมใดๆ เงยหน้าขึ้นกล่าวทันที

“ฝ่าบาทโปรดระวังรับสั่ง รับสั่งเช่นนี้ไม่ได้นะพะยะค่ะ”

ขุนนางห้ามฮ่องเต้ไม่ให้รับสั่งเช่นนี้ ต้องโทษลบหลู่เบื้องสูงประหารทั้งชั่วโคตรก็เคยมีมาก่อน แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับทรงถอนหายใจ ตรัสว่า

“จางปั้นปั้น ฟังวาจาหวังทง นี่สิถึงจะเป็นขุนนางภักดี เสียดายที่ตอนนี้เราไม่อาจจัดการอะไรเองได้ ไม่อาจรั้งเจ้าไว้คอยรับใช้ข้างกายเราได้ ต้องส่งไปที่ไกลออกไป เพื่อไม่ให้เจ้าพาเราเสียคน”

ขณะตรัสนั้นฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงลุกขึ้นจากที่ประทับ สุรเสียงเริ่มรุนแรง ตรัสเสียงดังขึ้นว่า

“เราจะถูกพาให้เสียคนได้อย่างไร ในวังมีพวกคอยเอาอกเอาใจมากมาย เรามิใช่ว่าเสียไปนานแล้วหรือ พอมาถึงหวังทงมาเป็นเพื่อนเรา จางปั้นปั้นไม่ต้องคุกเข่าแล้ว วาจาเราก็พูดกับพวกเจ้า ไม่หลุดออกไปข้างนอกหรอก”

ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงพระดำเนินไปมาหลายก้าวในห้อง ยังกระโดดไปมาตามอำเภอใจ ไปที่แท่นวางอาวุธที่ริมกำแพง หยิบไม้พลองยาวออกมากวัดแกว่ง ตรัสว่า

“เราอยู่ที่ลานฝึกนี่ ไม่เพียงแต่ตัวสูงขึ้น ยังได้เรียนรู้อะไรมากมาย ได้มีชีวิตที่มีความสุขที่เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้สึกมาก่อน จากนี้ไปเกรงว่าคงไม่มีอีกแล้ว”

ในห้องเงียบลง ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็โบกมือให้หวังทง รับสั่งว่า

“ลุกขึ้นเถอะ ต่อหน้าเราไม่ต้องมีพิธีรีตองเช่นนี้”

หวังทงเดินมาเบื้องหน้า ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไปนั่งยังที่ประทับ ตรัสอย่างจริงจังว่า

“เรื่องการยับยั้งการไว้ทุกข์นั้น หวังทงเจ้าช่วยเราไว้ไม่น้อย แต่เราไม่อาจรั้งเจ้าไว้ข้างกายได้ ยังต้องขับไล่เจ้าออกจากเมืองหลวง ใจเราก็รู้สึกว้าวุ่นอย่างยิ่ง”

“พระดำรัสฝ่าบาทเช่นนี้ กระหม่อมก็ไม่กลัวเกรงสิ่งใดแล้ว ฟ้าผ่าพายุกระหน่ำก็ล้วนเป็นน้ำพระทัย กระหม่อมไปปฏิบัติหน้าที่ที่เทียนจินนี้ มีองครักษ์เสื้อแพรไม่รู้มากมายเท่าไรรู้สึกอิจฉา พระมหากรุณาธิคุณนี้ กระหม่อมขอขอบพระทัยด้วยความซาบซึ้งในพระเมตตายิ่ง!”

อ้างเรื่องมากล่าวมากมาย เรื่องที่หวังทงว่ามาก็เป็นเรื่องจริง สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ผ่อนคลายลงบ้าง ตรัสว่า

“เราเข้าใจในเรื่องนี้อยู่ นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรจะไปสำคัญอะไร รอไว้มีโอกาสเราจะย้ายเจ้ากลับเมืองหลวง นอกจากเรื่องนี้ ตอนที่เจ้าไปอยู่ที่เทียนจิน กิจการที่เจ้าทำในเมืองหลวงทั้งหมดเราจะช่วยเจ้าดูแลไว้ ที่ได้มาทุกเดือนทุกปีก็จะส่งให้เจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลไปว่าพอจากไปก็จะสูญสิ้น เราส่งคนไปกำชับแล้วว่า เจ้าปฏิบัติหน้าที่ที่เทียนจิน เราให้เจ้าสุขสบาย รอเจ้ากลับมาดำรงตำแหน่งที่สูงยิ่งขึ้น”

วาจานี้กล่าวโดยฮ่องเต้ จะว่าแปลกมากเท่าใดก็แปลกมากเท่านั้น หวังทงรู้สึกไม่รู้จะวางตัวอย่างไร ถึงกับลืมลงคุกเข่าถวายคำนับขอบพระทัย แต่เมื่อได้ยินฮ่องเต้ตรัสถึง “กิจการ” ก็อดสะดุ้งไม่ได้ ค่อยๆ คิดใคร่ครวญ จางเฉิงตำหนิหวังทงที่เสียกิริยาต่อเบื้องพระพักตร์ หวังทงจึงรีบก้าวขึ้นหน้ามาทูลว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องไม่ทราบว่าจะกล่าวได้หรือไม่ ขอพระราชทานอภัยโทษก่อนพะยะค่ะ”

ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มพระสรวลอนุญาต

“ว่ามา เจ้าก็รู้ว่าเราไม่ตำหนิเจ้า”

“ฝ่าบาท หอคณิกาและบ่อนพนันในเมืองหลวงต่างรับป้ายสงบสุขไป ทุกวันก็จะมาส่งข่าว ก่อนหน้านี้หลายเรื่องก็ได้ยินผ่านช่องทางนี้”

“เรื่องนี้เจ้าบอกเราแล้ว บอกเรื่องที่ไม่ควรกล่าวมาตรงๆ เลย”

“กระหม่อมคิดว่า หากร้านค้าทุกแห่งเมืองหลวงยังคงทำตามที่กำหนดไว้ ทุกปีสองแสนตำลึงรับมา เงินนี่เรื่องเล็ก แต่ข่าวในเมืองทั่วไปจะมาถึงพระองค์ มีเรื่องอะไรแม้แต่ลมพัดยอดหญ้าก็จะทรงรู้ได้ นี่จึงจะเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่พะยะค่ะ”

ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ตรัสว่า

“เรื่องพวกนี้ สำนักบูรพา สำนักองค์เสื้อแพร ศาลอาญาใหญ่และศาลซุ่นเทียนล้วนดำเนินการไม่ใช่หรือ ไยต้องทำให้มากเรื่องไป”

“ฝ่าบาท คนสำนักบูรพาไม่พอ เรื่องต้องสืบมากมาย องครักษ์เสื้อแพรคนมากแต่ไม่มีความพร้อม ทำอะไรก็ทื่อๆ ศาลซุ่นเทียนกับศาลอาญาใหญ่ก็ไร้อำนาจบารมี ข้อจำกัดมากมาย และสำนักบูรพาอยู่ในมือผู้ใด สำนักองครักษ์เสื้อแพรอยู่ในมือผู้ใด ฝ่าบาทต้องการใช้งานใช่ว่าจะได้ดังพระทัย ศาลอาญาใหญ่และศาลซุ่นเทียนยิ่งไร้สามารถ”

สำนักบูรพาอยู่ในความดูแลของเฝิงเป่าหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วก็เป็นผู้ติดตามมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง ข่าวลับจากสองแหล่งนี้เดิมก็ไม่มาถึงฮ่องเต้ว่านลี่โดยตรงอยู่แล้ว หรือมาถึง ก็ย่อมไม่ใช่ข่าวสารเดิม

วาจากล่าวถึงตรงนี้ก็หยุด ไม่จำเป็นต้องกล่าวให้กระจ่างชัด หวังทงกล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงรู้สึกสั่นไหวในพระทัย ตอนนี้ฮ่องเต้น้อยต้องการกุมอำนาจด้วยพระองค์เอง พระทัยที่อยากรับรู้เรื่องราวก็ยิ่งมากขึ้น เส้นทางที่หวังทงพูดมา ตรงพระทัยพอดี

“หวังทง ในเมื่อเจ้าเอ่ยมา เช่นนั้นก็กล่าวให้ละเอียด?”

“ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบบอะไรมาก ก็แค่เพิ่มคน ใช้คนบางส่วนขององครักษ์เสื้อแพรแทรกซึมไปในศาลซุ่นเทียน ทุกวันให้ไปที่ร้านค้าต่างๆ เก็บเงินสอบถามข่าว ที่ได้ยินได้ฟังมาก็ให้รายงานที่ศาลซุ่นเทียน ศาลซุ่นเทียนก็หาเจ้าหน้าที่มาเพิ่ม ทุกวันก็จดบันทึกข่าวคราว เลือกข่าวที่มีประโยชน์นำขึ้นทูลเกล้า”

ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดคิ้วครุ่นคิด หันกลับไปมองจางเฉิง จางเฉิงก็ตอบรับว่า

“หวังทง วิธีของเจ้าเหมือนไม่มีประโยชน์อันใด หนึ่ง เรื่องนี้ศาลซุ่นเทียนย่อมเข้ามาแทรกแซง สอง ได้แต่สอบถามมาจะมีประโยชน์อันใด”

“ที่ใช้คนศาลซุ่นเทียนก็เพื่อป้องกันเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากราชสำนัก จะกล่าวหาเรื่องหาความกันวุ่นวาย และระดับของศาลซุ่นเทียนก็ไม่ได้สูงมาก ไม่มีอำนาจอะไร ฝ่าบาทจะได้ทรงควบคุมได้ ยิ่งไปกว่านั้น ไปเก็บเงินร้านค้าพวกนั้น ก็แค่อ้างว่าไปเก็บเงินส่วยตรงๆ ก็นับว่าปิดบังได้”

เห็นฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงฟังกันอย่างตั้งใจ หวังทงก็กล่าวต่อ

“ใช้คนศาลซุ่นเทียน ก็ไม่ต้องให้ศาลซุ่นเทียนดูแล ให้ตั้งหน่วยงานใหม่เลย ให้เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วั่นไฉแห่งศาลซุ่นเทียนมาดูแล ข่าวที่ได้มา หากจะทำอะไร สำนักบูรพาและองครักษ์เสื้อแพรย่อมต้องออกหน้าไปจัดการ”

ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มพยักหน้าเข้าใจ หวังทงมองไปที่จางเฉิง กล่าวต่อว่า

“เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์คุมทั้งหมด แต่ก็ต้องมีคนในวังส่วนในคนหนึ่งมารับหน้าที่บัญชาการ กระหม่อมขอบังอาจ คิดว่าจางกงกงเหมาะสมที่สุด”

ว่านลี่อึ้งไป จางเฉิงก็อึ้งไปเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!