ตอนที่ 191 ระหว่างทางจากเมืองหลวงไป
หลี่เหวินหย่วนได้รับตำแหน่งนายกองร้อยจากการเสนอของหวังทง ซุนต้าไห่และลูกน้องไม่อยากอยู่เมืองหลวงต่อ ต่างขอคิดตามหวังทงไปเทียนจิน จางซื่อเฉียงย่อมไม่ต้องพูดถึง
นางหม่ากับหม่าซานเปียวก็จะตามหวังทงไปด้วย คนอื่นๆ ล้วนอยากอยู่ทำงานที่หอเลิศรสต่อไป เดิมคิดจะให้จางหงอิงอยู่ต่อ แต่นางหม่าผู้ไม่ค่อยได้ขออะไร กลับอยากพาจางหงอิงไปอยู่ที่เทียนจินด้วยกัน
เด็กๆ ในลานฝึกไปกับหวังทงไม่มาก เด็กจากเมืองเซวียนฝู่และเมืองจี้โจวล้วนอยากกลับบ้านไปฉลองปีใหม่ การที่ได้รับตำแหน่งนายทหารระดับหกและได้เป็นสหายร่วมเรียนกับฮ่องเต้ การกลับบ้านครั้งนี้จึงมีหน้ามีตาอย่างยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่าองครักษ์เสื้อแพรกลับบ้านเกิดก็คงเป็นเช่นนี้
ซุนซิงนำเด็กๆ อีกหกคนติดตามหวังทงไป พวกเขาล้วนเป็นลูกหลานทหารในกองทัพละแวกเมืองหลวง ที่บ้านไปนับว่าร่ำรวย แต่ตำแหน่งทหารรอบเมืองหลวงก็ไม่มีตำแหน่งมากมายจะจัดสรรให้พวกเขาได้ ไม่สู้ติดตามหวังทงไป
ที่ทำให้หวังทงรู้สึกเหนือความคาดหมายก็คือ ลี่เทาขออยู่ต่อด้วย บิดาลี่เทาเป็นแม่ทัพประจำทิศหนึ่งในเมือง เซวียนฝู่ เป็นตำแหน่งแม่ทัพจริง เขายังเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการฝึกฝนในลานฝึกมากมาย กลับจะตามหวังทงไป ไม่ยอมกลับบ้าน น่าแปลกใจเสียจริง
ที่อยู่ต่อพร้อมลี่เทาก็มีอีกเจ็ดคน เจ็ดคนนี้มีสี่คนที่คล้ายกับซุนซิง แต่ลี่เทากับอีกสองคนนั้นมีสาเหตุไม่ค่อยเหมือนกัน
ตั้งแต่รู้ว่าหวงอี้จวินเป็นฮ่องเต้ ลี่เทาก็นอนไม่หลับทั้งคืน รู้สึกหวาดกลัวมาก อย่างไรเขาก็เคยนำคนไปล้อมโจมตีฮ่องเต้ นี่เป็นโทษสถานใดกัน
เบื้องหน้านี้ วิธีที่จะพ้นความผิดก็คือตามหวังทงไป หวังทงอายุเท่ากับตน ก็เป็นถึงนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร คิดว่าคงได้รับพระเมตตาไม่น้อย และหวังทงยังเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุมาก ติดตามไปด้วย ก็ย่อมปกป้องตนเองได้ ประการต่อมา ยังสามารถได้เรียนรู้เพิ่มเติมอีกด้วย
วันที่ 9 เดือนสิบสอง เจ้าหน้าที่จากกรมทหารและสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็มาเร่งอีก พวกเขาไม่กล้าทำอะไรหวังทง ได้แต่ขอร้องให้หวังทงรีบออกเดินทางไปรับตำแหน่ง อย่าได้เสียเวลาอยู่เมืองหลวงต่อ
เห็นชายวัยกลางคนอายุ 30-40 ปีคุกเข่าลงขอร้องตนเช่นนี้ หวังทงจะร้องไห้ก็ไม่ได้ จะยิ้มก็ไม่ออก คำตอบของเขาก็คือการชี้ไปในห้องที่ว่างเปล่า เอ่ยว่า
“ข้าวของย้ายออกไปโรงบ้านนอกเมืองแล้ว โปรดกลับไปรายงานว่า ข้าน้อยพรุ่งนี้จะออกเดินทางแล้ว”
*******
เช้าตรู่วันที่ 10 เดือนสิบสอง แสงแรกแห่งวันเริ่มสาดแสง ท้องถนนยังคงมืด หวังทงก็เตรียมการพร้อม แต่งกายล้างหน้า
นางหม่ากับลูกชาย จางซื่อเฉียง และถานเจียงกับพวกก็ย้ายของไปโรงบ้านนอกเมือง หลี่หู่โถวตามไปด้วย ในบ้านตอนนี้มีคนของถานเจียงอยู่ผู้หนึ่ง
ได้ยินหวังทงตื่นนอนแล้ว ถานปิงที่อยู่เรือนด้านข้างก็ตื่นตาม หวังทงทักทายว่า
“อีกเดี๋ยวเจ้าค่อยตื่นก็ได้ ข้าออกไปเดินดูสักหน่อย”
แม้ว่าอากาศหนาวเหน็บในเดือนสิบสอง ร้านค้าแต่ละแห่งใกล้จะปิดร้านฉลองปีใหม่กันแล้ว แต่หวังทงออกไปยังคงเห็นบรรดาลูกน้องแต่ละร้านกำลังยุ่งกันวุ่นวายปัดกวาดทำความสะอาด
เห็นสภาพเช่นนี้ ทำให้หวังทงรู้สึกแวบขึ้นในใจไม่น้อย เพิ่งจะก้าวไปบนถนนทักษิณ ลูกน้องและเถ้าแก่ในร้านค้าบนถนนที่เห็นหวังทงก็รีบเข้ามาก้มตัวคำนับทักทาย
จิตใจของคนพวกนี้ก็ไม่มีอะไรมาก รู้แต่ว่าตอนนี้หวังทงได้เลื่อนเป็นนายกองพัน เมื่อก่อนได้ช่วยเหลือชาวถนนทักษิณไว้ไม่น้อย ทุกคนล้วนรำลึกถึงความดีของหวังทง
เดินผ่านร้านขนม เถ้าแก่ก็หยิบขนมเปี๊ยะไส้แฮมที่เพิ่งออกจากเตาสองชิ้นมาให้หวังทง หวังทงยิ้มพยักหน้าขอบคุณ
ไม่มีลมหนาวพัดมา แต่ก็ยังคงหนาวเหน็บมากเหมือนเดิม กินขนมเปี๊ยะไส้แฮมร้อนๆ ร่างกายก็อบอุ่นขึ้นมาก มองซ้ายมองขวา ก็เดินมาถึงบ้านเก่านายกองร้อยเถียนไม่รู้ตัว
นายกองร้อยเถียนเดินทางนำศพลุงเถียนไปฝังยังบ้านเกิดตอนนี้ยังไม่กลับมา ยามนี้ประตูใหญ่ปิดแน่น หน้าประตูไม่สะอาดเหมือนเมื่อก่อนตอนที่ลุงเถียนยังอยู่ หวังทงยืนกินขนมเปี๊ยะอยู่ตรงนั้นจนหมด ก่อนจะหันหลังกลับไปทางถนนทักษิณ
ไปหาร้านค้าสักร้านขอยืมเครื่องมือทำความสะอาด หวังทงกลับมาที่ประตูหน้าอีกครั้ง กวาดพื้นไปอย่างเงียบๆ จนสะอาด จากนั้นก็สาดน้ำสุดท้าย ยืนประสานมือคำนับอยู่หน้าประตู
พอกลับไปถึงบ้าน ถานปิงก็ตื่นนอนนานแล้ว เลี้ยงม้าลากรถสองตัวจนอิ่มเรียบร้อย สวมเครื่องให้ม้าเรียบร้อย จากนั้นก็เอาของที่ต้องนำไปด้วยสิ่งสุดท้ายแบ่งใส่ห่อผ้าสองห่อ แขวนไว้บนหลังม้า
ม้าที่หวังทงขี่สวมเครื่องม้าที่พิเศษกว่าคนอื่นอยู่บ้าง อานม้าด้านหน้าทั้งซ้ายและขวามีถุงหนังอย่างละใบ ในนั้นมีปืนไฟอยู่สองกระบอก หลังจากโรงตีเหล็กมีเครื่องวัดและได้นายกองเหรินไปช่วย ก่อนหวังทงจากไป ในที่สุดปืนไฟกระบอกที่สองก็ทำออกมาเสร็จ จึงรวมนำมามอบให้หวังทงทันนำติดตัวไปพอดี
สองคนกินข้าวเช้าเสร็จ พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว ได้ยินเสียงกลองจากวังหลวงดังเป็นรอบที่สอง เวลานี้ประตูวังก็เปิดแล้ว หวังทงและถานปิงจูงม้าออกจากบ้านไป
เพิ่งจะออกเดินทาง ก็ได้ยินเสียงคนร้องทักดังมาจากด้านหลังว่า
“ใต้เท้าหวัง โปรดรอก่อน”
เสียงคุ้นหูยิ่ง พอหันกลับไป เห็นขันทีน้อยไช่หนานโบกมือวิ่งมา พอมาถึงก็หอบหายใจกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังอย่าเพิ่งรีบไป โจวกงกงขอเชิญใต้เท้าไปที่ลานฝึกสักครู่ มีเรื่องสำคัญ”
หวังทงรู้สึกงุนงงไปครู่หนึ่ง แต่ก็ส่งแส้ให้ถานปิง ตามไช่หนานออกไปทางนั้น เดินมาไม่ไกลก็ถึง กำแพงดินและรั้วไม้ล้อมรอบ ยังมีสนามกว้างผืนเรียบ ห้องเรียนสูงสง่า แต่ไม่มีคนสักคน เงียบเชียบอย่างยิ่ง หวังทงจ้องอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถูกโจวอี้เรียกไป
โจวอี้ไล่ไช่หนานและองครักษ์ที่ติดตามมาสามสี่นายให้ถอยออกไป ตรงที่ๆ เขายืนอยู่มีธงแดงปักอยู่สองผืน เหมือนเพิ่งจะติดตั้งธงเสร็จ
โจวอี้ขยี้ใบหน้าที่หนาวจนแดงก่ำ ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า
“น้องหวังมองไปทางวังหลวง น่าจะเห็นธงแดงสองธง?”
รอบๆ ลานฝึกหู่เวยนั้นเป็นที่ว่างกว้าง ห่างจากวังหลวงไม่ไกล หวังทงกวาดตามองไปแวบหนึ่งก็เห็นธงแดงสองธงที่ยอดวังหลวง เหมือนว่าระหว่างธงนั้นยังมีเงาคน
กำลังสงสัยอยู่นั้น ก็ได้ยินโจวอี้ยิ้มกล่าวว่า
“ฝ่าบาททรงรู้ว่าน้องหวังจะไปวันนี้ คิดจะเสด็จออกมาส่งก็ไม่สะดวกจะออกจากวัง จึงได้ขอส่งจากยอดวังหลวงแล้ว ในเมื่อน้องหวังมาแล้ว เช่นนั้นก็สะบัดธงแดงสักหน่อย กราบทูลฝ่าบาทว่าเจ้ามาถึงแล้ว”
วังหลวงห่างจากที่นี่ไม่มาก สามารถมองเห็นคนได้ แต่สีเสื้อผ้าก็ใช่ว่าจะเห็นชัด ก็คงแค่แสดงพอเป็นพิธีเท่านั้น
หวังทงอึ้งไป สูดลมหายใจลึก คุกเข่าไปทางธงแดงสองผืนที่อยู่ยอดวังหลวง โขกศีรษะสองสามที ตอนหวังทงลุกขึ้น โจวอี้ก็หยุดโบกธงในมือ
รอจนธงบนยอดวังหลวงสองผืนเก็บลง หวังทงก็ประสานมือกล่าวกับโจวอี้ว่า
“พี่โจว เมื่อก่อนคอยดูแลอย่างมาก จากนี้น้องต้องไปปฏิบัติงานที่เทียนจิน ยังต้องไหว้วานพี่โจวอีก”
กล่าวจบ ก็คำนับก้มตัวคำนับนอบน้อมที่สุด โจวอี้ก็คำนับตอบ เอ่ยว่า
“เราพี่น้องกัน ไยต้องกล่าววาจาเกรงใจกันเช่นนี้ วันหน้าจดหมายมาอย่าได้ขาด มีเวลาว่างก็กลับมาเดินเล่นในเมืองหลวงบ้าง อย่าได้ต้องห่างไกลกันไป”
สองฝ่ายคำนับกันและกันอีกครั้ง ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความ ใบหน้าหวังทงหนาวเหน็บจนชา ยกมือขึ้นมาขยี้ เดินไปที่มุมถนนเรียกถานปิงก่อนจะขี่ม้าออกเดินทาง
ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับหลี่ว์วั่นไฉหรือไม่ หวังทงออกเดินทางจากเมืองหลวงครั้งนี้ผ่านประตูอันติ้ง แม้ว่าต้องอ้อมไปบ้างก็ตาม
พอไปถึงที่นั่น ทหารหน้าประตูพอเห็นองครักษ์เสื้อแพรผู้หนึ่งขี่ม้ามา ก็ไม่กล้ารอช้า รีบเข้าไปดูเอกสารแสดงสถานะ รีบเปิดทาง
“ใต้เท้าหวังไปครานี้ ขอให้อนาคตก้าวหน้ารุ่งเรือง!”
กำลังสะบัดแส้ ก็ได้ยินเสียงทักดังขึ้น หวังทงหันหน้าไปมองด้านข้าง ก็เห็นหลี่ว์วั่นไฉใส่ชุดยาวแบบบัณฑิตยืนอยู่ คำนับอย่างนอบน้อมสูงสุด
ตอนแรกได้บอกกับพวกเขาว่าตนจะออกเดินทางจากประตูนี้ คิดไม่ถึงว่าหลี่ว์วั่นไฉจะมาส่ง หวังทงหยุดม้า ก็เห็นหญิงสาวสวมเสื้อคลุมกันลมคุกเข่าโขกศีรษะให้ตน ไม่ใช่ซ่งฉานฉานแล้วจะเป็นผู้ใด
หวังทงถอนหายใจยาว ยืดตัวตรงบนหลังม้าให้นิ่งก่อนจะประสานมือก้มตัวลงให้คนทั้งสอง ไม่กล่าวอันใด หันหลังขี่ม้าทะยานออกไปทันที ในที่สุดก็จากลาแล้ว!
ตอนไปถึงโรงบ้าน ลูกน้องทุกคนรออยู่นอกหมู่บ้าน ซุนต้าไห่กับพวกมีราวแปดคนที่ขอตามมาด้วย พร้อมกับครอบครัวพวกเขาก็รวม 30 คน โรงบ้านมี 20 กว่าคนขอตามไปด้วย นับคนอื่นๆ ด้วย ขบวนนี้ก็มีเกินร้อยคน หากนับคนบังคับรถม้าด้วย จำนวนคนมากมายยิ่ง
รถที่ขนของเรียงกันเป็นแถวยาว มีรถม้าที่มีโครงห้องมีหลังคาสี่เหลี่ยมและมีล้อสี่ล้อเอาไว้สำหรับให้ผู้หญิงและเด็กนั่ง ผู้ชายคนอื่นๆ คนชราก็นั่งบนรถธรรมดา พวกแข็งแรงที่ขี่ม้าไม่เป็นก็เดินตาม พวกขี่ม้าออกไปอยู่รอบนอกสุด
ยังแบ่งทหารม้าออกมาสี่นาย สองนายคุมหลัง สองนายตรวจตราด้านหน้า ที่พิเศษอีกหนึ่งอย่างก็คือในกลุ่มถานเจียงมีคนชื่อถานกง เขานั่งอยู่บนสัมภาระบนรถม้า สัมภาระกองสูงที่สุด อยู่บนนั้นมองซ้ายมองขวา ไม่หยุดพัก
เห็นหวังทงมองบนรถม้าไม่วางตา ถานเจียงยิ้มอธิบายว่า
“ถานกงสายตาดี ยามเดินทางไกล คอยดูสภาพโดยรอบเป็นความสามารถพิเศษของเขา”
วันแรกที่ออกเดินทางจากโรงบ้านมาได้ 20 ลี้ อากาศหนาวเหน็บเป็นน้ำแข็ง แต่ก็ไม่มีหิมะอะไร เส้นทางก็เดินทางได้สะดวก เดินไปทางตะวันออกตามเส้นทางน้ำ
ละแวกเมืองหลวง คนอยู่กันแน่นหนา เส้นทาง 20 ลี้ที่เดินมาก็ยังเห็นบ้านคน ตอนกลางคืน ก็พอดีจะได้ขอพักสักคืน
วันที่สองที่ออกไปทางตะวันออกมากขึ้น บ้านคนบนที่ราบสองข้างทางก็ยิ่งน้อยลง ถานกงบนรถม้าก็ไม่ว่างเหมือนกับวันแรก บางทียังลุกขึ้นยืนยกมือบังตามองไปรอบๆ บางครั้งก็ตะโกนบอกคนขี่ม้าด้านล่าง มองไปทางที่เขาชี้ไป
ทางระหว่างเมืองหลวงกับสามกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจิน ทุกระยะทางหนึ่งก็มักจะมีร้านรถใหญ่หรือหมู่บ้าน เดินทางไปค่ำมืดจะได้ขอพักแรมได้
วันที่สามแห่งการเดินทาง ถานกงเอาแต่ยืนมองไปรอบทิศ ถานเจียงกำลังพักเท้าในตอนกลางวันหันไปกระซิบถามหวังทงว่า
“นายท่าน ครั้งนี้องครักษ์เสื้อแพรส่งไปประจำการนอกเมือง ทำไมไม่จัดทหารมาคอยคุ้มกันบ้างล่ะ?”
หวังทงก็อึ้งไป เขาไม่รู้ธรรมเนียมนี้เลยจริงๆ ถานเจียงเห็นสีหน้าก็รู้คำตอบ ถอนหายใจไม่กล่าวอันใด
ตอนบ่ายออกเดินทางต่อ หวังทงก็บรรจุดินปืนใส่ปืนไฟ และเตรียมเชื้อไฟไว้ล่วงหน้า