ตอนที่ 193 เส้นทางไม่ราบรื่น
ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีแสงไฟจากโคมไฟต่างๆ กลางคืนในสมัยราชวงศ์หมิง โดยเฉพาะกลางดึกในหมู่บ้านก็มืดไปทั้งแถบเลยจริงๆ ยื่นมือออกมาก็มองไม่เห็นนิ้วมือเป็นคำบรรยายที่เห็นภาพจริงๆ
หวังทงออกไปเดินตรวจรอบหนึ่ง เห็นมืดเช่นนี้และไม่มีคนรักษายามที่แอบขี้เกียจแม้แต่น้อย ก็วางใจกลับไปนอน
ระดับการมองเห็นเช่นนี้ คนหมู่บ้านย่อมมองไม่ชัด คนด้านนอกอย่างพวกโจรหากคิดบุกเข้ามา ก็ยิ่งมองไม่ชัด แม้ว่าคิดจะค่อยๆ แอบเล็ดลอดเข้ามาด้านหลัง ก็ย่อมไม่เลือกเวลาที่มองไม่เห็นอะไรเช่นนี้โจมตี
ดังคาดที่คืนนี้ไม่เกิดเรื่อง เช้าวันรุ่งขึ้น หวังทงก็หยิบทองและก้อนเงินออกมา ซื้อข้าวปลาอาหารที่เหลือทั้งหมดด้วยราคาสามเท่าตัว และยังซื้อรถม้าของหมู่บ้านเพื่อบรรทุกเสบียงไป มีเงินพวกนี้ ชาวบ้านสามารถใช้รถใหญ่ไปซื้อหาเสบียงอาหารมาจากที่อื่นได้มากขึ้น
ม้าเร็วรีบเร่งเดินทาง จากเมืองหลวงมาเทียนจินไม่ถึงสามวัน แต่หวังทงเป็นขบวนใหญ่ที่ทั้งคนแก่ สตรีและเด็ก แม้ว่าดินในฤดูหนาวจะแข็งพอให้รถวิ่งได้เร็ว แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาแปดวันกว่าจะถึง หวังทงเตรียมการในระยะยาวขึ้น
พอออกเดินทางก็เร่งให้เร็วอีกหน่อย เดือนสิบสองไม่มีลมพัดแรงเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง พระอาทิตย์ขึ้นมาสาดแสงให้ความอบอุ่นแล้ว ทุกคนก็เร่งกันเร็วขึ้นอีกหน่อย
เมื่อวานทุกคนสบตากันเคร่งเครียด กลางคืนก็แต่งตัวเต็มยศรักษาการณ์กันมาทั้งคืน กลางวันนี้ก็เต็มยศออกเดินทาง ไม่ว่าใครก็ย่อมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จิตใจทุกคนก็ต่างเตรียมพร้อม
คนเลี้ยงสัตว์พวกนั้นไม่ได้โง่ เมื่อวานดื่มสุราโดนตำหนิไป ความเคร่งเครียดตั้งแต่บ่ายวานนี้มาถึงวันนี้ ก็รู้ว่าประสบเหตุใดขึ้นแล้ว ก็ไม่กล้าดื่มสุราสนุกสนานกันต่อ ได้แต่เร่งเดินทางไปอย่างสงบเรียบร้อย
หากมีม้าไม่เชื่อฟัง หรือรถม้าติดหล่ม คนพวกนี้ก็จะรีบเข้าไปช่วยทันที การเดินทางจึงไม่มีเหตุขัดข้องให้ล่าช้าอันใด
เดินทางมาได้หนึ่งชั่วยาม ถานกงก็ยังนั่งอยู่ด้านบน รอจนพระอาทิตย์ขึ้นสูงมาก นั่งต่อไปไม่ไหว จึงได้ปีนลงมา
“ทิศเหนือยังมีคนกลุ่มหนึ่งตามมา วิ่งตามพวกเรามาระยะหนึ่ง จากนั้นก็เดินๆ หยุดๆ เดาว่าหาโอกาสลงมือ”
ได้ยินถานกงรายงาน หวังทงก็ปืนขึ้นไปข้างบน มองไปยังทิศทางที่ถานกงชี้ บนท้องทุ่งแห้งแล้ง เห็นพวกหลายคนขี้ม้าหมุนไปหมุนมาอยู่ตรงนั้น บนที่ราบกว้างเช่นนี้ มีม้ามาวิ่งโดดเดี่ยวสองสามตัวทำให้ใครก็รู้ได้ว่าไม่ธรรมดา
ตามที่ว่ากันเมื่อวาน ตอนนี้อย่างน้อยก็มีสามกลุ่มที่ตามมา แต่ตามมาทำไมกัน
หวังทงลงจากรถม้า ตะโกนไปทางถานเจี้ยน เขาจึงนึกได้ว่าคนผู้นี้เป็นสายสืบจากสำนักบูรพา แต่ก็เป็นคนใช้การได้ดี หวังทงไม่กล่าวอะไร สั่งเพียงว่า
“นำเสบียงและเงินเดินทางพร้อมกับป้ายประจำตำแหน่งข้า ขี่ม้าไปเทียนจินขอกองกำลังมาช่วยเหลือตอนนี้เลย นำม้าไปสามตัว ระหว่างทางคอยเปลี่ยนม้า จำไว้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ขบวนของเราจะยังคงอยู่บนเส้นทางหลวงนี้ ไม่หนี แต่จะตั้งมั่นไว้!”
ถานเจี้ยนพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง พอรับออกมาก็รีบขี่ม้าไปทางตะวันออก ตอนนี้ห่างจากเมืองเทียนจินน่าจะไม่ถึงวันครึ่งแล้ว สามกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจินเป็นที่ตั้งกองทัพ น่าจะเร่งกลับมาได้ทันการณ์
คนที่ไปขอกำลังก็รีบตะบึงไปแล้ว ใจหวังทงก็นิ่งลง แม้จะแน่ใจว่าจะมีเรื่อง ตนเองยามนี้ก็หนีไม่รอด สู้ก็สู้ละกัน อย่างไรก็มีแต่ทางนี้เท่านั้น
ถานเจี้ยนไปได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป อยู่ๆ หวังทงก็ค้นพบเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่ออกเดินทางมา เส้นทางนี้ไม่มีคนผ่านมา ไม่ว่าจะทางเดียวกันกับตนหรือสวนทางกับตนก็ตาม
ยืนอยู่หน้ารถม้ามองหน้ามองหลัง เส้นทางหลวงบนที่ราบกว้าง นอกจากขบวนรถแล้ว ก็มีแค่คนและม้าที่น่าสงสัยไกลๆ กลุ่มนั้น
ไกลออกไปก็เป็นคลองน้ำที่เป็นน้ำแข็ง นอกจากเด็กๆ ที่ไม่รู้จักกังวลยังคงสนุกสนานแล้ว ทุกอย่างล้วนเงียบสงบ อากาศหนาวไร้ลมพัด พระอาทิตย์สาดแสงแรง หวังทงที่เสื้อตัวนอกบุฝ้ายหนารู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา คนที่ตนได้ล่วงเกินไม่ยอมปล่อยตนเองไป
ตอนนี้รู้ว่ากำลังจะมีเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นการต่อสู้รูปแบบใด ตนเองยังจะสามารถไปรับหน้าที่ที่เทียนจินได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
เคร่งเครียดก็ส่วนเคร่งเครียด ความเร็วของขบวนรถก็ไม่ได้ชักช้า กะว่าอีกสักครึ่งชั่วยามน่าจะถึงเวลาพักอาหารกลางวัน เส้นทางเล็กๆ จากถนนด้านข้างก็มีผู้หนึ่งขี่ม้าออกมา
พอเห็นขบวนของหวังทง คนผู้นั้นก็รีบร้อนหันกลับไปทางเดิม เส้นทางไม่ได้กว้างนัก มีขบวนรถอยู่ เขาขี่ม้ามาก็หลบไม่พ้น ได้แต่ถอยหลบไป
คนขี่ม้ามาสวมเสื้อหนังแพะ ใส่หมวกปิดใบหู เสื้อผ้าและเครื่องม้าก็ค่อนข้างเก่า มีแต่รอยปะขาด ม้าก็เป็นม้าแก่ บนอานม้ายังแบกสัมภาระไว้ เป็นคนรูปร่างกลางๆ ท่าทางปกติ
พอเขาหลบทางให้ พวกคนบังคับรถก็ไม่ต้องปรับแถวม้า รถนี้มีหลายสิบคัน พอคันหนึ่งเปลี่ยนทิศ คันหลังๆ ก็ต้องเปลี่ยนตาม
อยู่ๆ คนขี่ม้ากลับยอมหลีกทางให้ คนบังคับม้าก็ย่อมต้องไม่ยืดตัวตรงโค้งศีรษะให้พร้อมรอยยิ้ม เอ่ยทักไปว่า
“ขอบคุณพี่ชายที่หลีกทางให้แล้ว นี่ไปไหนหรือ?”
คนขี่ม้าหันหน้าม้ามาถูกทิศแล้ว ก็ตามมาสองสามก้าว ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพว่า
“ออกจากบ้านเดินทาง จะเรียกรบกวนอะไรกัน ข้ามาจากอำเภอเซียงเหอ จะกลับหมู่บ้านหยางไปฉลองปีใหม่ น้องชายล่ะ?”
“ไปเทียนจิน ใต้เท้าเราจะไปรับตำแหน่ง”
พวกรถม้าก็มีธรรมเนียมตน ออกจากบ้านเดินทาง ทุกคนก็จะเกรงอกเกรงใจกัน เดือนสิบสองยังใกล้ปีใหม่ ทุกคนรีบกลับไปฉลองปีใหม่ ก็ย่อมกล่าววาจากันอย่างละมุนละไม
ชายขี่ม้าผู้นั้นเห็นชัดว่าตนเองจะมีเพื่อนคุยสนุกสนานไปตลอดทางได้ ก็ชักม้าเข้ามา คุยกับคนบังคับรถม้า คนบังคับรถม้ารู้สึกเบื่อมาก มีคนมาคุยด้วย ก็คลายความเคร่งเครียดลงไม่น้อย
สามวันแรกทุกคนรู้สึกแปลกใหม่ พอวันที่สี่ ทุกคนก็รู้สึกเบื่อบ้าง มีคนมาคุยด้วย หลายคนก็อดชำเลืองมองมาไม่ได้
หวังทงก็มองมา ม้าของชายขี่ม้านั่นรู้สึกตื่นเล็กน้อย ก้มหน้าลงให้หน่อย หวังทงกลับไปในขบวนคิดไปมา ก็พอดีกับที่ถานเจียงตามมา สองคงเกือบจะกดเสียงต่ำกล่าวขึ้นเหมือนกันอย่างไม่ได้นัดหมายว่า
“เจ้านี่มีปัญหา (เป็นสายสืบ)?”
ทั้งสองต่างอึ้ง ถานเจียงเผยรอยยิ้มด้วยความอยากรู้ เอ่ยถามว่า
“นายท่านมองออกได้อย่างไร?”
ถานเจียงปฏิบัติต่อหวังทง แม้ว่าจะเคารพนอบน้อมตามธรรมเนียมไม่บกพร่อง แต่ในความรู้สึกลึกๆ ก็ยังเป็นผู้ใหญ่ให้ความใส่ใจและเมตตาเด็ก เรื่องที่หวังทงมองออกนี้ ก็รู้สึกดีใจมาก ดังนั้นจึงถามเช่นนี้
“ไปหมู่บ้านหยางอย่างน้อยก็อีกวันหนึ่ง ดูอากาศแล้ว ดูม้าแก่เขาแล้ว คืนนี้ก็ย่อมต้องค้างคืนระหว่างทาง ด้วยเสื้อผ้าและของน้อยนิดขนาดนั้น จะรับมือไหวได้อย่างไร และจากอำเภอเซียงเหอกลับบ้านไปฉลองปีใหม่ ขี่ม้ามา ย่อมหาเงินมาได้ไม่น้อย แต่ไม่ซื้อของกลับบ้านสักอย่าง เมื่อครู่ห่อสัมภาระนั่น เกรงว่าจะเบาไปสักหน่อย มองไม่ออกว่ามีของหนักอะไร เห็นชัดว่าไม่มีเงินทองข้างใน นี่มันผิดปกติอย่างยิ่ง”
พอฟังจบ ถานเจียงก็ยิ้มส่ายหน้า กล่าวว่า
“เกรงว่านายท่านจะดูละเอียดไปหน่อย ข้าน้อยตอนเด็กๆ ก็มีชีวิตยากลำบาก ครอบครัวเล็กๆ มีม้าสักตัว ก็ต้องดูแลราวกับบิดา มารดาและพี่น้องตนเอง ตอนนี้ขบวนรถเราเดินไม่เร็ว คนผู้นั้นควรลงจากหลังม้ามาเดินตาม แต่เขายังขี่ต่อ”
หวังทงหลุดยิ้มออกมาหันไปบอกคนงานเลี้ยงสัตว์ที่ขี่ม้าอยู่ผู้หนึ่ง กล่าวว่า
“หาคนสองสามไปช่วยกัน จับคนข้างหน้านั่นมัดมาให้ข้า”
คนงานเลี้ยงสัตว์เบิกตากว้างก่อนจะยิ้มร่าพยักหน้าไปจัดการ ไม่นาน คนขี่ม้าห้าคนก็ค่อยๆ เข้าไปใกล้ การเคลื่อนไหวฉับไว ไม้พลองใหญ่ตีลงไปบนศีรษะ อาศัยจังหวะที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็หยิบเชือกออกมามัดไว้
หวังทงด้านหลังส่ายหน้า วิจารณ์เบาๆ ว่า
“วิธีการของคนโรงบ้านเรานี่ช่างชำนาญ แต่ทำไมไม่เหมือนพวกคนดีเลย”
“นายท่านคงไม่รู้ ชาวนอกด่านพวกนี้มาจากทางเหนือ แปดเก้าส่วนก็ล่วงเกินผู้สูงศักดิ์หรือคนกลุ่มใหญ่บนทุ่งหญ้านั่นมา ไม่อยากตายจึงได้หนีเอาตัวรอด ผ่านความเป็นความตายมา หากเป็นคนดี ก็คงตายที่นั่นไปแล้ว”
ถานเจียงยิ้มตอบคำ คนผู้นั้นถูกมัดเหมือนบะจ่างแล้วก็นำมาโยนลงพื้นทันที หวังทงสั่งให้หยุดเดินทาง ยืนตรงหน้าคนผู้นั้นถามเสียงเยียบเย็นว่า
“เห็นชุดขุนนางนี่ไหม? นี่เป็นชุดนายกองพันสำนักองครักษ์เสื้อแพร ตัดสินโทษเป็นตายเจ้าได้ ว่ามา ทำไมตามข้ามา”
คนผู้นั้นยังไม่ทันได้สติจากการถูกไม้ฟาด เบิกตากว้างมองหวังทงพลางร้องขอว่า
“นายท่าน ข้าน้อยแค่เดินทางมาด้วย ไม่ได้ตามใต้เท้ามานะขอรับ”
หวังทงถีบท้องคนผู้นี้อย่างแรงไปทีหนึ่ง คนผู้นั้นก็ตัวงอขดเหมือนกุ้งแห้งทันที หวังทงถามต่อว่า
“ตามข้ามาทำไม!?”
“ข้าน้อยไม่รู้อะไรจริงๆ ที่บ้านข้าน้อยยังมีมารดา ภรรยาและลูกๆ รอข้าน้อยกลับไปฉลองปีใหม่อยู่นะขอรับ!”
ขบวนรถหยุดลง มีคนไม่น้อยยื่นหน้าออกมาดูความเคลื่อนไหว ได้ยินเสียงตะโกนร้องไห้ของคนผู้นั้น คนแก่และหญิงสาวมีสีหน้าทนไม่ได้ หวังทงตะโกนกลับไปว่า
“ต้าไห่ เจ้าไปเอายาสมานแผลกับผ้าพันแผลมา!”
คนที่นอนอยู่ผู้นั้นพอได้ยินว่ามียา ก็คิดว่าหวังทงใจอ่อน เสียงแผดร้องยิ่งดังขึ้น คนขับรถม้าหกคนที่จ้างมาล้อมวงกันเข้ามา ยาและผ้าพันแผลเอามาแล้ว หวังทงกลับไม่ยอมใส่ให้คนที่พื้น ให้ซุนต้าไห่ลากแขกขวาเขาขึ้นมา ชักดาบฟันลงไปทีหนึ่ง
คนผู้นั้นส่งเสียงโหยหวนดังขึ้น ซุนต้าไห่โดนเลือดกระเด็นใส่ไปทั้งตัว หวังทงให้คนเอายาไปใส่แผลแขนข้างที่ขาด พลางเก็บแขนขวาขึ้นมามอง ย่อเข่าลงไปใช่ดาบตบไปที่ใบหน้าเหยเกของคนผู้นั้น กล่าวเสียงเย็นเยียบว่า
“ทำไมแอบตามข้ามา พูด! จะให้เจ้าไม่ต้องทรมาน ไม่พูด ก็จะค่อยๆ ตัดแขน ตัดขา ตัดหัวเจ้าทีละส่วน”
กล่าวจบ หวังทงก็ยกดาบขึ้น คนด้านล่างรีบร้องเสียงดังโหยหวน ตะโกนเสียงแหบพร่าว่า
“ใต้เท้า ข้าน้อยพูด ข้าน้อยพูดแล้ว”
ความเจ็บปวดทำเอากล่าวตะกุกตะกักไม่เป็นคำพูดเสียแล้ว