ตอนที่ 194 ลงมือกลุ่มแรกก่อน
“ตอนนายท่านออกจากเมืองทงโจวมา ก็มีคนส่งข่าวมาว่า รถใต้เท้าบรรทุกเงินทองก้อนใหญ่ หัวหน้าของข้าน้อยคนเดียวเห็นใต้เท้าคนเยอะ คนเดียวกินไม่ไหว ก็เลยส่งม้าเร็วไปตามกันมา”
ความเจ็บปวดที่แขนทำให้สายลับสติแตก คนเลี้ยงสัตว์ที่ล้อมวงอยู่คนหนึ่งก็เอาถุงหนังที่เอวออกมา ยัดใส่ปากคนผู้นั้นด้วยสุราฤทธิ์แรงไปหลายอึก
คนผู้นั้นทั้งหนาวทั้งเจ็บปวดค่อยๆ อ่อนกำลังลง ได้สุราแรง ก็ฟื้นคืนมาเล็กน้อย หวังทงท่าทางแต่ต้นจนบัดนี้เย็นเยียบราวน้ำแข็ง ความโหดนี้ทำเอาสายลืบกลัวยิ่งกว่ากลัว ลนลานสารภาพออกมาสิ้น
“คนที่โรงบ้านข้างหน้าถูกไล่ไปหมดแล้ว คนของพยัคฆ์คำรามไปรออยู่ที่นั่นกันแล้ว”
หวังทงใช้สันดาบตบไปที่แก้มคนผู้นี้ ก่อนจะถามต่อว่า
“ข้างหน้ามีกี่คน ข้างหลังมีกี่คน?”
“ข้าน้อยสามกลุ่ม รวมกันก็แปดสิบกว่าคนบนหลังม้า หนึ่งร้อยกว่าคนเดินเท้า พยัคฆ์คำรามทางนั้นว่ากันว่าไม่น้อยกว่าสี่ร้อยคน”
หวังทงลุกขึ้นยืน ถานเจียงที่ตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าสงสัย ถอยออกไปสองก้าวกล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า
“เมืองหลวงทางนี้แต่ไรก็ไม่ค่อยสงบนัก มีสามกลุ่มก็เป็นเรื่องปกติ โจรจะใหญ่สักเท่าไรก็ต้องถูกกองทัพพิทักษ์เมืองและทหารจากจี้โจวปราบไป พยัคฆ์คำรามสี่ร้อยคนนี่มาจากไหนกัน”
หวังทงชักดาบออกมา หันหลังกลับไปตัดศีรษะเจ้าสายสืบผู้นั้นทันที เช็ดดาบบนร่างนั้น ออกคำสั่งว่า
“ให้คนเอาศีรษะคนผู้นี้วางไปบนหลังม้า ให้ม้าพากลับไปให้พวกมันดูกัน”
หันกลับมากล่าวน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า
“เส้นทางที่จะเดินทางไป มีแต่ไปขอคนจากละแวกอำเภอเซียงเหอ ด้านหน้าและหลังล้วนถูกสังหารไปสิ้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าการวางแผนเช่นนี้ เกรงว่าเส้นทางรอบๆ ก็คงมีการวางกำลังซุ่มไว้มารดามันสิไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับถานเจี้ยนไหม”
ถานเจียงส่ายหน้า เอ่ยขึ้นว่า
“ถานเจี้ยนเคยถูกพวกทหารม้านอกด่านตามล่า แต่ก็นำส่งข่าวออกไปได้ โจรกระจอกพวกนี้ขวางถานเจี้ยนไม่อยู่หรอก ใต้เท้าตอนนี้ทำอย่างไรต่อ?”
หวังทงไม่ได้รับคำ กลับตะโกนถามขึ้นว่า
“มีใครรู้บ้างว่าไปอำเภอเซียงเหอเส้นทางไหนสะดวก?”
คนบังคับรถม้าคนหนึ่งรับคำขึ้นว่า
“นายท่าน ทางนั้นฤดูใบไม้ร่วงปีนี้เกิดน้ำหลาก ถนนถูกตัดขาด ตอนนี้เส้นทางหลวงคนเดินผ่านได้ แต่รถผ่านไม่ได้ขอรับ”
“มิน่าพวกโจรจึงได้เลือกลงมือที่นี่ คำนวณได้แม่นยำว่าขบวนรถเราไปอำเภอเซียงเหอไม่ได้ หากขบวนรถกระจัดกระจายก็คงไร้ทางจัดการให้สงบได้ ถึงตอนนั้นพอชุลมุนก็กลายเป็นเนื้อดีใต้คมมีด เดินทางต่อไป ม้าที่ส่งไปดูทางก็ไปไกลอีกหน่อย มีข่าวอะไรก็รายงานมาต่อเนื่อง”
หวังทงออกคำสั่งเสร็จ ถานเจียงก็รีบถ่ายทอดคำสั่งลงไป จากนั้นตอนกลางวันก็ไม่มีเวลาให้หยุดพักกินข้าวกัน ทุกคนกัดกินอาหารแห้งพลางเก็บหิมะสะอาดข้างทางกลืนลงไป ขบวนใหญ่เดินทางต่อไปด้วยการกระทำเช่นนี้
การเดินทางต่อมาจากนั้น หวังทงขึ้นไปบนยอดรถมองซ้ายขวาหน้าหลัง ม้าที่แบกร่างของสายสืบวิ่งกลับไปบนเส้นทางหลวงแล้ว
มองจากไกลๆ ก็เห็นพวกคนที่อยู่ไกลออกไปนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยติดตามมา เห็นชัดว่าความเร็วมากขึ้นอีก หวังทงคิดอยู่บนนั้นครู่หนึ่ง ก็ตะโกนออกคำสั่งลงมาว่า
“ซานเปียว จัดคนของเราที่ยิงธนูแม่นสิบคนไปด้านหลัง รอพวกโจรบนหลังม้าบุกเข้ามาก็ตั้งยิงระลอกหนึ่ง จากนั้นก็ถอยไป ถานเจียงเจ้าจัดคนไปรับมือต่อ พี่จาง หยุดขบวนรถทั้งหมดและล้อมไว้ หากฝืนวิ่งไปไม่ฟังคำสั่ง ซุนต้าไห่เจ้าสังหารได้เลย!”
คำนวณแล้วน่าจะมีเวลาอีกชั่วยามกว่า อย่างไรก็ดักซุ่มอยู่ตรงนั้น เช่นนี้ก็ไม่เข้าไป เห็นพระอาทิตย์กำลังจะลับเขาลง
หวังทงออกคำสั่ง ทุกคนก็เริ่มปฏิบัติทันที จางซื่อเฉียงขี่ม้าไปถ่ายทอดคำสั่งตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายขบวน คนขับรถม้าด้านหน้าตะโกนสั่งม้าให้หยุด คนด้านหลังก็ตะโกนตามอย่างรวดเร็ว
รถที่บรรทุกคนแก่ เด็กและสตรีอ่อนแอเคลื่อนมาอยู่ในสุด คนของหวังทงและเด็กๆ ลานฝึกก็แบ่งกำลังกันไปจับม้าลากรถไว้ ลากม้าไปล้อมวงกันอยู่ตรงกลาง
“เจ้าขึ้นมาจับตาด้านบนไว้ มีอะไรเคลื่อนไหวให้คนมารายงานข้า!!”
หวังทงบอกกับถานกง ก่อนจะรีบลงมา ถานเจียงและคนจากจวนถานก็เตรียมพร้อมบนหลังม้า หวังทงสวมชุดเกราะที่ทำงานแผ่นดีบุกเหล็กของตนชุดนั้น หยิบทวนยาวขึ้นหลังม้า
“ช่างตีเหล็ก คนบังคับรถม้า ผู้ชายทุกคน ก็พอจะลงมือได้ก็ให้ออกมาช่วยกัน ซุนต้าไห่เจ้าไปจัดการ รีบจัดขบวนรถให้เป็นวง ทุกคันให้มีคนจับตาไว้ หน้าและหลังเหลือทางออกไว้ คนขี่ม้าตามข้ามา!!”
เห็นหวังทงออกคำสั่งติดกัน ทุกคนก็เคลื่อนไหวตามออกไป ถานเจียงรีบพยักหน้า หวังทงหันไปมองก็รีบตะโกนขึ้นว่า
“หลี่หู่โถว ลงจากม้าไปเดี๋ยวนี้ ไปช่วยข้าเฝ้ารถกับพวกลี่เทาและซุนซิงให้ดี!!”
หลี่หู่โถวที่ถูกหวังทงตะโกนหยุดไว้ก็ยู่ปากโดดลงจากหลังมาไป หลี่หู่โถวอย่างไรก็ตัวเล็ก บังคับม้าไม่ค่อยสะดวก อย่าไปร่วมวงด้วยจะดีกว่า
ทุกคนมองละครเล็กๆ ฉากนี้แล้วก็พากันฮาครืน บรรยากาศผ่อนลงไม่น้อย หวังทงมองไปทางถานกงด้านบน ไม่มีข่าวใหม่อะไร เขายกทวนยาวขึ้นตะโกนดังว่า
“โจรที่ตามมาด้านหลังเป็นพวกกระจอก พวกเราไปจัดการสังหารพวกบัดซบที่ไร้ตาพวกนี้ให้หมดสิ้นกัน!!”
พวกถานเจียงสิบกว่าคนเคยพบการนองเลือดกันมา ย่อมไม่สนใจ คนอื่นๆ อายุน้อยฮึกเหิม และยังมีพวกคนเลี้ยงสัตว์ที่ยังไม่ทิ้งนิสัยเถื่อน พากันส่งเสียงร้องตะโกนพร้อมเพรียงกันบนหลังม้า
คนงานพวกนั้นกับเด็กๆ ลานฝึกก็เป็นพวกวัยรุ่นใจร้อน ก็ตะโกนดังตามมาด้วย หวังทงส่ายหน้า ฆ่าคนไม่ใช่การละเล่นฝึกทหารในยามปกติ เกรงว่าจะมองเรื่องนี้สบายใจกันไปหน่อยแล้ว
“พวกยิงธนูไปอยู่ด้านหน้า ยิงเสร็จพวกเจ้าก็ถอยออกสองข้างทาง ให้คนข้างหลังได้บุกขึ้นไป มิเช่นนั้นจะชนกันเอง”
ตอนพวกเขาทั้งหมดวิ่งออกไป พวกคนเลี้ยงสัตว์ที่ส่งออกไปก็ไปรวมกับสายสืบขี่ม้าที่อยู่ด้านหลัง ตะโกนพร้อมกันบุกไปด้านหน้า
หลังสอบสวนสายสืบผู้นั้น จิตใจฮึกเหิมพร้อมลงมือของทุกคนก็ถูกปลุกขึ้นมา ทุกคนพร้อมลงมืออย่างเต็มที่ โจรที่เตร่มาหลายวันเห็นสายสืบที่ส่งถูกตัดหัวกลับมา และก่อนตายยังเห็นชัดว่าถูกทรมาน ก็โกรธมาก ทุกคนขี่ม้าตะบึงมากันทันที
พวกคนเลี้ยงสัตว์ก็ไม่รอช้า ม้าสิบตัวคนสิบคนเรียงเป็นสองแถวหน้ากระดานบนเส้นทาง แต่ละคนง้าวสายธนูรออยู่
พวกโจรบนหลังม้าแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ได้ข่าวจากหลายแหล่งยืนยันว่ารถคันหน้ามีเงินสี่หมื่นตำลึง ก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่ารถม้าสี่คันใหญ่จะมีราคาสักเท่าไร
หลายวันมานี้สะกดรอยมา ได้รู้จากหมู่บ้านและร้านรถใหญ่ที่หวังทงค้างแรมว่า ขบวนของหวังทงมีอาวุธดี คนเยอะ หากลงมือพลการ ไม่ได้เปรียบไม่ว่า ดีไม่ดีอาจเสียเปรียบใหญ่ได้ ตอนนี้รวมมาได้สามกลุ่ม รู้สึกว่ากำลังคนมากก็ฮึกเหิมยิ่ง
พวกโจรขี่ม้ายังพอไหว แต่พวกตามเดินเท้ามาหลายวันนี่มันลำบากเสียจริง ทั้งหนาวทั้งไม่ได้พัก หวังก็แต่ว่าทำลายขบวนรถตรงหน้าลงก็พอได้แบ่งกันสบายๆ ได้ฉลองปีใหม่ที่ดีสักหน่อย
เห็นเพื่อนร่วมอาชีพถูกจัดกลับมาแบบนี้ พวกตัวหัวหน้าก็รู้สึก หนึ่งนั้นโมโหมาก สองก็เกรงจะทำลายขวัญ สามพวกพยัคฆ์คำรามรออยู่เบื้องหน้า หากลงมือกันจริง พวกหัวหน้ากลัวว่าพวกพยัคฆ์คำรามจะได้กวาดไปกินเรียบ ไม่สู้ฉวยโอกาสตอนนี้ ปลุกให้ทุกคนลงมือกินรวบไว้ก่อนดีกว่า
ทุกคนพากันรวบรวมกำลังอีกเฮือก ก็เห็นขบวนรถด้านหน้าหยุดลง ขณะนั้นทุกคนก็รีบร้อนกรูกันเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง โจรขี่ม้าไม่คิดจะบังคับความเร็วสักนิด คิดแต่จะโจมตีขบวนรถข้างหน้าให้แตกกระจาย ถึงตอนนั้นเงินทองและผู้หญิงก็ถึงก่อนได้ก่อนแล้ว
คนขี่ม้าวิ่งอยู่ด้านหน้า คนไม่ขี่ม้าตามอยู่ด้านหลัง ล้วนเป็นพวกปลายแถวที่วิ่งอยู่ คนของหวังทงออกมามองดูก็ถุยน้ำลายใส่ กล่าวอย่างดูถูกว่า
“ห่างกันไกลขนาดนี้ พวกแม่มันสิยังวิ่งได้กระจัดกระจาย มาถึงตรงนี้ม้านั่นก็หมดแรงแล้ว มิน่าชาตินี้เป็นได้แค่โจรกระจอก”
คนเลี้ยงสัตว์ที่หวังทงส่งมาก็ไม่ได้มีท่าทางสบายๆ เหมือนเมื่อวานตอนดื่มสุรายิงกระต่าย แม้ว่าธนูเขาสัตว์ในมือจะเตรียมขึ้นสายไว้ดีแล้ว แต่ลมหายใจเริ่มหนักหน่วง ฝ่ามือมีเหงื่อชื้นปรากฏขึ้น
คนเลี้ยงสัตว์พวกนี้ได้ยินความเคลื่อนไหวเบื้องหลัง หันมาเห็นคนของตนกรูกันเข้ามา มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นว่า
“ยิงเสร็จอย่าหันมามอง รีบถอยออกด้านข้าง”
ไม่รู้ว่าทำไม พอได้ยินเช่นนี้ ใจก็สงบลงไม่น้อย ทุกคนรอคอยโจรที่กำลังบุกเข้ามา
โจรพวกนั้นเห็นรถจอดอยู่ด้านหลังของคนเลี้ยงสัตว์สองแถวหน้า ในใจก็รู้สึกไม่ถูกต้องนัก ตนเองพากันยกขบวนบุกเข้ามา อีกฝ่ายกลับจัดระเบียบรอคอยเรียบร้อย ย่อมต้องมีอะไรพิสดาร
คนข้างหน้าคิดจะชะลอความเร็ว แต่คนด้านหลังยังเบียดเสียดกันขึ้นมาพร้อมเสียงเอะอะโวยวาย ปรากฏว่าพวกโจรแถวหน้าเท่ากับถูกคนแถวหลังดัน ลังเลไป ก็รู้สึกว่าคนสิบคนสองแถวแค่นี้ ไปถึงก็ชนให้กระจายไปแล้วกัน
ดังนั้นจึงกรูไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก พวกโจรช่างเลอะเลือน คนเลี้ยงสัตว์พวกนั้นก็เครียด นับได้ห่างห้าสิบก้าว ก็ขยับสายธนูที่ง้างเตรียมไว้นานแล้ว
พวกเขาใส่แรงง้างเต็มที่ ต้องรีบยิงให้เร็ว ง้างสายไว้ล่วงหน้า แขนและบ่าก็รู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย อยากให้โจรเบื้องหน้ามาถึงเร็วๆ แขนจะทนไม่ไหวแล้ว สายธนูผ่อนลงหน่อยแล้ว
พอคนมาถึงระยะสามสิบเก้า ก็ร้องรับขึ้นพร้อมกัน สิบดอกยิงออกไป สามดอกไม่รู้ยิงไปไหน เจ็ดดอกปลิดชีพ ยังมีสองดอกตรงจุดสำคัญพอดี ทำให้พวกโจรบนหลังม้าร้องโหยหวน ชุลมุนวุ่นวายกันในส่วนหน้าเท่านั้น หากเป็นทหารชำนาญศึกบนทุ่งหญ้า ยามนี้ยิงครั้งที่สองได้ และหากยิงติดกันสามดอกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่พวกคนเลี้ยงสัตว์ไม่สามารถเช่นนั้น ยามนี้ได้แต่ขี่ม้าลงข้างทาง มีม้าตัวหนึ่งขาสะดุดพันกัน คนจึงร่วงลงมา ยังดีที่คนสลัดหลุด วิ่งหนีกลับมาด้านหลังได้อย่างรวดเร็ว
โจรที่เดิมใจก็หวาดระแวง พอถูกสกัดเล็กน้อย ตายไปทันทีสามคน ก็อารมณ์พุ่งถึงขีดสุด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น บุกขึ้นหน้ากันต่อไป
เบื้องหน้ามีคนง้างธนูรออีกสองแถว