ตอนที่ 195 ชัยชนะเล็กรอชัยชนะใหญ่ ตั้งทัพรอพยัคฆ์มาเยือน
คนโรงบ้านแถวที่สอง ก็เป็นคนที่ฝึกมาจากหวังทงกลุ่มนั้น ด้านหลังมีกองกำลังใหญ่หนุน ในใจก็สงบนิ่งไม่น้อย พวกที่ใจกล้ายังถึงกับยกถุงหนังขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง ธนูเขาสัตว์วางอยู่บนอานม้า
มือถานเจียงยกคันธนูขึ้นเล็งสูง หวังทงกับหม่าซานเปียนด้านหลังกับคนงานอีกสิบกว่าคนก็แหวกเป็นสองแถว คนตระกูลถาน 13 คนอยู่ห่างจากพวกคนโรงบ้านเพียงห้าก้าว
พวกเขาดึงธนูออกมาจากอานม้า พวกถานเจียงใช้ธนูที่ใช้กันในกองทัพหมิง คันธนูไม่หนาเหมือนธนูเขาสัตว์ รูปร่างบางและแคบกว่ามาก เช่นกัน ลูกธนูก็เหมือนจะยาวกว่าของชาวบ้านล่าสัตว์เท่าหนึ่ง
เสียงร้องตะโกนและกรูเข้ามาของโจรตรงหน้า คนโรงบ้านก็ขึ้นคันธนู นับได้ห่างสามสิบก้าว ไม่อาจผิดพลาดเหมือนพวกก่อนหน้า ต้องรอก่อนค่อยยิง
ด้านหลังคนโรงบ้านก็มีพวกถานเจียงที่เตรียมง้างธนูพร้อม ลูกธนูเอนขึ้นด้านบน ถานเจียงหรี่ตาเหมือนกำลังนับ อยู่ๆ ก็ยิงออกไป คนด้านหลังก็ยิงตามออกไปพร้อมกัน
สิบสามลูกธนูยาวแหวกอากาศออกไปจากสายธนู ทั้งหมดพุ่งเข้าที่กองกำลังโจร ธนูยาวน้ำหนักมาก เกราะพวกโจรก็ทำจากฝ้ายบุสองชั้นเท่านั้น
“ฉึก” ดังขึ้นติดๆ กัน ลูกธนูปักเข้าร่าง ยิงออกมาจากสายธนูเช่นนั้น ก็ยิงทะลุร่างโจรไป ส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้นติดๆ กัน ร่วงหล่นจากหลังม้าไปทั้งแถว
ถูกโจมตีรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้โจรพากันแตกตื่นวิ่งกันกระจัดกระจาย พวกถานเจียงยังคงไม่หยุด หยิบลูกธนูจากกระบอกขึ้นสายยกขึ้น ยิงออกไปอีกรอบ
เดิมพวกเลี้ยงสัตว์ที่ยกธนูเขาสัตว์ค้างอยู่ก็พบว่าพวกโจรเบื้องหน้ากระจัดกระจายเบาบางลงไม่น้อย พอมาถึงเบื้องหน้าพวกเขาก็มีไม่ถึงสิบคนแค่นี้ พวกโรงบ้านก็รู้สึกมั่นใจ ง้างธนูยังพอมีเวลาเล็ง
ลูกธนูสามารถทะลุผ่านหนังกระต่ายได้ ยิงคนที่ไม่มีเกราะก็ย่อมยิงทะลุได้ เสียงฟึ่บๆ ติดต่อกัน โจรสิบคนตรงหน้ามีแค่สองคนยิงไม่โดน แต่ยามนั้นก็ขวัญหนีดีฝ่อ จะยังกล้าบุกเข้ามาอีกหรือ ได้แต่ลากอานม้าเป็นกำบังหลบออกไปข้างทาง ดิ้นรนเอาชีวิตรอด
ครั้งนี้พวกโรงบ้านสามารถเล็งให้ดีก่อนยิง สองคนยังไม่ทันไหนวิ่งไปไหน ก็ถูกธนูปักเข้ากลางอก
“หลบไป หลบไปให้หมด อีกเดี๋ยวให้ด้านหลังบุก!”
หวังทงตะเบ็งเสียงดัง ถานเจียงและพวกแบ่งออกเป็นสองสายเปิดทางให้พวกหวังทงขึ้นหน้ามา พวกเขาเก็บคันธนู คว้าทวนยาวและดาบใหญ่ที่เหน็บบนอานม้าออกมา
พวกโจรห่างจากพลธนูโรงบ้านไม่ถึงห้าสิบก้าวก็แตกรังกัน การยิงแม่นยำสองรอบและธนูดังห่าฝนปลิดชีพทำให้พวกโจรกลัวกันดีฝ่อไปหมด คนที่ไม่ได้ถูกห่าธนูทะลุร่างก็ดิ้นรนกันดึงอานม้าที่นั่งอยู่ เชือกรัดจนม้าเจ็บปวดยิ่ง จึงกระชากอย่างบ้าคลั่ง
ด้านหน้าเป็นเช่นนี้ ด้านหลังก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น กระฟัดกระเฟียดบุกกันขึ้นมา ตอนนี้พวกโรงบ้านที่ขวางทางก็หลบลงสองข้างทาง พวกที่ขี่ม้าถือดาบถือทวนยาวสวมเกราะก็บุกขึ้นมา ไม่รู้ว่าพวกโจรคนไหนที่ตะโกนดังขึ้นว่า
“เป็นเจ้าหน้าที่ทางการ มีทหารดักซุ่ม!!”
การวางกำลังป้องกันเป็นชั้นๆ และฝีมือธนูระดับนี้มากมาย สุดท้ายพวกที่บุกขึ้นมายังเป็นพวกชายฉกรรจร์ขี่ม้าที่ถือดาบถือทวนสวมเกราะ หากไม่ใช่ทหารทางการแล้ว ใครจะจัดมาเช่นนี้ได้ แม่มันสิ นี่มันกับดักชัดๆ
พอตะโกนออกมา ทุกคนก็รู้สึกเป็นเช่นนั้นจริง ทุกคนมองไปรอบทิศอย่างตกใจ มองไปก็ไม่เห็นทหารดักซุ่มอยู่ พากันวิ่งออกมา มองไปทางพวกชายขี่ม้าที่ถือดาบถือทวนปรี่กันออกมา ที่ยังขี่ม้าอยู่นั้นจะมีใครอยากสู้ต่อ ชักม้าหันกลับหนีเอาชีวิตรอดทันที
พวกเดินเท้าก็กรูกันปิดทาง พอดีกับพวกขี่ม้าผสมโรงเข้ามา คนปะทะสู้แรงม้าไม่ได้ ก็ถูกม้าของนายตนเหยียบข้ามไป ยังมีบางคนไม่รู้เกิดอะไรขึ้น รอบด้านวุ่นวายไปหมด
บนลานเต็มไปด้วยศพคนและม้า พวกหวังทงแม้ว่าจะบุกเข้าไป แต่ก็ไม่เร็วนัก เพราะเกรงจะสะดุดของล้ม เห็นระยะไม่ถึงสิบก้าว จึงได้กล้าปล่อยให้ม้าทะยานไป
ระยะห่างแค่นี้ ม้าวิ่งไม่ออก หวังทงแบกทวนยาวมาก็รู้สึกเกินกำลัง จึงหันข้างและใช้สองมือดึงม้าไปด้านหน้า เห็นหลังคนด้านหน้าก็แทงลงไปอย่างแรงหนึ่งที
อาวุธชั้นยอด แรงสองแขน ไม่ใช่ว่าชุดหนังเบื้องหน้าจะต้านทานได้ ทวนยาวแทงลงไป หวังทงก็รู้สึกว่ากำลังด้านหน้าผ่อนลง รู้ได้ว่าแทงทะลุหัวใจแล้ว จึงดึงออกมาทันที
ไม่สนใจคนเบื้องหน้าที่ร่วงจากหลังม้า ม้าลากร่างนั้นเข้าไปในฝูงชน มือหวังทงยังแทงไม่หยุด ถานเจียงและหม่าซานเปียวกับคนอื่นๆ ด้านหลังก็ตามกันมา จับอาวุธเริ่มสังหารทันที
พวกหวังทงตอนนี้อยู่บนหลังม้ารบจากที่สูง เหมือนกับหักลำไม้ไผ่ พวกโจรไม่อาจรับมือพวกเขาได้ ทุกคนหันหลังให้แล้วก็ออกวิ่งหนี ขี่ม้าก็ขี่ไป วิ่งเท้าก็วิ่งไป ชุลมุนกันจนไม่อาจหนีกันออกไปได้
เดิมคิดว่าเป็นการรบที่ลำบาก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการเข่นฆ่าเช่นนี้ หวังทงสองแขนแทงออกไป รู้สึกว่าแหลมคมยิ่ง ถึงกับทะลุร่างคนข้างหน้า กำลังไม่มาก แต่กลับแทงใส่คนที่เข้ามาใกล้ ดึงก็ดึงไม่ออก ดูเหมือนว่าจะติดกระดูกคนที่สองแล้ว
หวังทงกระชากครู่หนึ่ง กระชากไม่ออก ก็โยนหอกยาวทิ้ง คว้าดาบออกมาจากอานม้าแทน สองขากระแทกลำตัวม้าให้ไปข้างหน้า มีดใหญ่ในมือควงได้ราวกับกังหัน
ทวนยาวยังดี แต่ดาบใหญ่ยกสูงฟันลงไป ก็เหมือนกับหั่นแตงหั่นผัก ดาบหนึ่งลงไปใส่ศัตรูก็ย่อมฟันร่างขาด ไม่ใช่หัวก็เป็นตัว
ไม่นาน เสื้อเกราะแผ่นเหล็กของหวังทงก็เต็มไปได้ด้วยคราบโลหิตแดงฉาน ใบหน้าก็แดงก่ำ หม่าซานเปียวลงมือสังหารเอาจริงเอาจังยิ่งกว่า ปากก็ตะโกนด่าไป มีดก็ฟันลงไปไม่หยุด
เสียงร้องไห้ดังโหยหวนไปทั่วลาน เทียบกันแล้ว พวกถานเจียงลงมือออกแรงกันน้อยมาก ทวนยาวมือแทงออกไปก็ดึงกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ดาบในมือก็แค่ปาดคอไปบางๆ เท่านั้น
แม้จะออกแรงน้อย แต่ทุกครั้งที่ลงมือก็ปลิดชีพไปได้ทุกครั้ง หวังทงรู้สึกว่าตนเองลงมือมานานแล้ว เบื้องหน้าไม่มีศัตรูหลงเหลือ เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นโจรกระจัดกระจายหนีออกไปสี่ทิศ ก็หันกลับไปมองที่ห่างจากตนไม่ถึงสิบก้าว
คนหวังทงสามสิบต้น เมื่อครู่ลงมือสังหาร ก็สังหารไปเกือบร้อย โจรทั้งหมดราวสองร้อยไหนเลยจะรับไหว คนค่อยๆ ถูกสังหารไป มีบางคนก็หนีไป ตะโกนหนีกันกระจัดกระจาย ไม่มีใครมีแก่ใจสู้ต่อ
เห็นพวกที่แม้แต่อาวุธก็ไม่เอา รีบตะกุยตะกายกันหนีตาย หากว่าเป็นการแกล้งแพ้ นี่วิ่งไปเช่นนี้ก็คงไม่วิ่งกลับมา พื้นที่แห้งแล้งหนาวเหน็บเช่นนี้ วิ่งออกไปอย่างนี้ ก็คงหนาวตายหรือไม่ก็ประสบเหตุอื่น ไม่มีใครอยากจะสนใจ ทุกคนขี้เกียจจะใส่ใจ
คนงานโรงบ้านที่หลบลงข้างทางพวกนั้น ก็ใช้มีดดาบในมือเก็บเล็กเก็บน้อยระหว่างทางไม่น้อย เบื้องหน้าเห็นทุกคนไปรวมตัวกัน เห็นบนตัวหวังทงเปื้อนไปด้วยเลือด ท่าทางโหดร้ายน่ากลัว จิตใจที่ยินดีอยู่เดิมก็รีบเก็บอาการกัน นายท่านของตนพวกนี้โหดร้ายอำมหิตเสียจริง
หวังเพิ่งจะผ่านการสังหารมา รู้สึกว่าความกดดันที่อัดแน่นมาจากเมืองหลวงมลายหายไปไม่น้อย ในสมองเหมือนมีไฟลุกโชน ถานเจียงส่งเสียงเรียกเบาๆ ว่า “นายท่าน” จึงได้สติคืนมา
คว้าผ้าออกมาผืนหนึ่งเช็ดคราบโลหิตบนใบหน้า หวังทงกวาดตามองรอบๆ เห็นคนโรงบ้านมองกันตาค้าง ก็ส่งเสียงเยียบเย็นไปทันทีว่า
“ยังมัวยืนอึ้งกันทำไม รีบไปพลิกศพสิ มีเงินทองอาวุธอะไรเก็บมาให้หมด เหลือม้าไว้สิบตัวเก็บศพพวกนั้น ที่เหลือเอาไปที่ร้านรถในหมู่บ้านใกล้ๆ ให้พวกเขาเอาไปแจ้งอำเภอเซียงเหอ อีกเดี๋ยวรอหนังสือรายงานจากถานปิง!”
หวังทงกล่าวจบ คนงานโรงบ้านรีบพากันสลายตัวออกไปรับคำสั่ง ไม่กล้าขัดคำสั่งใด หวังทงเพิ่งได้กลิ่นคาวเลือดรุนแรงจากสนามรบ เขามิได้รู้สึกไม่สบายอะไร กลับสูดลมหายใจลึก ถานเจียงเพิ่งจะลงจากหลังม้ามา ดึงหอกยาวของหวังทงออกมาจากศพ ตอนเดินมาส่งให้ยังถามเสียงนิ่งเรียบว่า
“นายท่าน เอาอย่างไรต่อ จะเดินหน้าต่อไป หรือถอยกลับไปเมืองหลวง”
ผ่านการเข่นฆ่ามาเมื่อครู่ ใจหวังทงก็เหมือนมีอะไรสักอย่างถูกปลุกขึ้น เขาเช็ดดาบกับผ้าชิ้นเมื่อครู่ ออกคำสั่งว่า
“ให้คนของข้าและพวกเด็กๆ ลานฝึกกลับไป ไปหาหลี่เหวินหย่วนก่อน จากนั้นไปหาหลี่ว์วั่นไฉ ให้พวกเขาไปพบโจวกงกง พวกเราเดินทางต่อไปเทียนจิน ดูว่ามีเสือร้ายอะไรจะมาขวางทางพวกเรา”
ถานเจียงกวาดตามองซากศพที่น่าอนาถ ยิ้มกล่าวว่า
“นายท่าน พวกนี้ก็แค่หมูหมากาไก่ ที่แม้ว่านายท่านไม่พาพวกเรามาด้วย ซุนซิง ลี่เทาพวกนั้นก็ออกมาจัดการเหมือนกับฆ่าหมูฆ่าแพะก็ยังได้ แต่เป็นพยัคฆ์คำราม รวบรวมโจรร้ายกองใหญ่มาจากเมืองหลวงและเมืองเทียนจินได้ เกรงว่าคงจัดการไม่ง่ายนัก!”
“อย่างไรก็ไม่อาจหันหลังกลับ อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ โจรที่หนีกระจัดกระจายไปคงนำข่าวนี้ไปแจ้งให้พยัคฆ์คำรามทางนั้นรู้อย่างเร็วแล้ว หากพวกเราหันหลังกลับ จิตใจคนในขบวนเราก็จะเสียขวัญ นี่ฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว หากกองกำลังไล่ตามมา พวกเราไม่ได้ป้องกัน คนอื่นๆ ก็ย่อมชุลมุน ท่ามกลางความชุลมุน อะไรก็ไม่สนใจ เช่นนั้นคงได้อลหม่านเป็นแน่”
หวังทงกล่าวอย่างหนักแน่น ถานเจียงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหนารับหน้าตาเคร่งเครียด ถามขึ้นว่า
“นายท่าน กองเรายังเดินหน้าต่อไปอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เดินหน้าต่อแล้ว ตั้งพักที่นี่ ติดไฟหุงอาหาร อีกครึ่งชั่วยามก็จะมืดแล้ว พวกเราตั้งที่พัก พวกเขาย่อมไม่รอให้พวกเราพักเอาแรงอีกคืนแล้วค่อยมาโจมตีเป็นแน่ ฟ้ามืดคงฉวยจังหวะโจมตีพวกเราที่เหนื่อยล้ามา เป็นโอกาสอันดี รีบไปจัดการ ยังไม่ถึงเวลาพัก!”
ถานเจียงรับคำสั่งนอบน้อม ตอนนี้ท่าทีเขามิใช่ผู้ใหญ่ต่อผู้น้อยเช่นนั้นอีกแล้ว แต่เป็นท่าทีนายทหารรับใช้นายอย่างไม่มีข้อกังขาใด ความดีใจจากการชนะของทุกคนยังคงไม่จางหาย แต่ก็ต้องเริ่มยุ่งกันต่อ
หวังทงมองไปทางสามกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจิน พึมพัมกับตนเองเสียงเย็นเยียบว่า
“ก็แค่ฆ่าคน เช่นนั้นก็ฆ่าแล้วกัน!!”