ตอนที่ 197 วาจาทำโจรถอยทัพ โอรสสวรรค์พิโรธ
ได้ยินว่าใต้เท้าจางตายแล้ว สถานการณ์อลหม่านอยู่นั้นเงียบงันลงทันที ถึงกับมีพลทหารบนหลังม้าถูกคนหวังทงสังหารไปเฉยๆ
พลทหารราบทิศทางอื่นก็ออกอาการชุลมุนกันอย่างเห็นได้ชัด ทุกแห่งเต็มไปด้วยเสียงตะโกนดังของหัวหน้าหน่วยเพื่อหยุดยั้งสถานการณ์อลหม่านนี้ แต่วาจาถัดมาก็คือเสียงตะโกนว่า ‘รีบถอยทัพ’ ก็ยิ่งทำให้พวกนั้นชุลมุนเสียขวัญกันยิ่งขึ้น
อาศัยจังหวะนี้ที่หวังทงและคนใต้บังคับบัญชายังคงรวมตัวกันเป็นหนึ่ง จังหวะที่ทหารม้าฝ่ายตรงข้ามกำลังเสียขวัญ ก็รุกเข้าใส่กองทหารราบที่ใกล้ที่สุดทันที
ด้านในขบวนรถไม่มีคนออกมา แต่ก็มีเสียงตะโกนดังสองประโยคนั้นไม่หยุด หวังทงกับพวกที่ขี่ม้า 20 กว่าคนมีบางคนเริ่มมีบาดแผลตามตัว แขนซ้ายหม่าซานเปียวถูกคมดาบฟัน เสื้อบุฝ้ายขาดเป็นรูใหญ่ มีรอยเลือดซึมออกมา
หวังทงยกดาบใหญ่ในมือ ตะโกนคำรามเสียงดังว่า
“หัวหน้าพวกมันถูกตัดหัวไปแล้ว อีกสักพักทหารจากอำเภอเซียงเหอและทงโจวก็มาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราจะได้สังหารกองทหารก่อจลาจลพวกนี้กัน ทุกคนมีรางวัล!!”
อากาศแห้งมากและการรบพุ่งเมื่อครู่ทำหวังทงเคร่งเครียดจนรู้สึกเจ็บคอ แต่ก็ยังตะเบ็งเสียงตะโกนดัง ถานเจียงเข้าใจความหมายของหวังทงในทันที ตะโกนสำทับขึ้นว่า
“ทหารกองหนุนกำลังจะมาถึงแล้ว!!”
กองขบวนที่เมื่อครู่ยังดูมีระเบียบอยู่ตอนนี้ควบคุมไม่อยู่แล้ว พวกตัวหัวหน้าที่พยายามตะโกนรักษาระเบียบกองทัพก็หันซ้ายหันขวากันแตกตื่น พลทหารม้าของหวังทงก็อาศัยจังหวะนี้บุกเข้าไปอย่างดุดัน
ในความเป็นจริงนั้นมิได้มีการปะทะคมดาบอันใด ถูกทหารม้าพุ่งชน พวกโจรที่ขวัญผวาก็แตกฮือไปคนละทิศคนละทางทันที วิ่งออกไปนอกวง พวกทหารม้าของฝั่งโจรกว่าจะรวมตัวกันเป็นรูปขบวนเตรียมบุกได้ ก็ได้แต่มองกองกำลังตนเองแตกกระจายไปคนละทางเช่นนี้ตาปริบๆ
หวังทงไม่ได้คิดจะไล่ล่าสังหารทหารหนีทัพพวกนั้น แต่กลับใช้ด้ามแส้กระแทกท้องม้า เร่งห้อม้ามุ่งไปทางทหารอีกกองหนึ่ง โจรปิดหน้าพวกนี้กำลังแตกตื่นกับสามประโยคที่ว่า ‘ใต้เท้าจางตายแล้ว’ ‘ทหารกองหนุนจะมาแล้ว’ ‘รีบถอยทัพ’
พลทหารม้าของหวังทงแทบจะไม่ได้เผชิญกับการต่อต้านอันใด กองกำลังสี่กองนั้นก็ถูกสลายลง หากจะว่าสังหารก็สังหารไปไม่ถึงสิบคน คนที่เหลือส่วนใหญ่หนีกระจัดกระจายกันไปมากกว่า
พอหันกลับมาเผชิญหน้ากัน หวังทงและพวกก็หยุดม้า รอให้พวกโจรขี่ม้าพวกนั้นตามมาทัน พวกโรงบ้านที่ซุ่มอยู่ในขบวนรถถือธนูฟังคำสั่งการจากลี่เทาให้ปีนขึ้นไปอยู่บนกองสัมภาระ จากที่สูงยิงลงมาสะดวกที่สุด
พวกโจรขี่ม้าตามมาด้านหลังพอเห็นพรรคพวกหนีกันกระจัดกระจายไปสี่ทิศและยังมีพลธนูที่เผยตัวบนรถม้า พวกตัวหน้าสองสามคนสุมหัวกันครู่หนึ่ง ก็เข้าไปเก็บศพสองคนที่ถูกหวังทงสังหารขึ้นหลังม้า แล้วก็หันหลังทะยานออกไปบนเส้นทางหลวงทันที
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว โจรที่วิ่งได้ช้าที่สุดก็หายลับไปจากสายตาของทุกคน คนบนกองสัมภาระส่งเสียงตะโกนแจ้งข่าวแก่ทุกคนแล้ว คนทั้งขบวนก็ระเบิดความดีใจอย่างที่สุดออกมา
หวังทงกำหิมะข้างทางที่ยังไม่สกปรกขึ้นมาขยี้ใส่ใบหน้าไปหลายกำ สะบัดศีรษะไปมา หันไปตะโกนบอกจางซื่อเฉียงว่า
“จัดกำลังคนออกไปล่ากระต่ายหรืออะไรก็ได้มา พวกข้างในก็รีบต้มน้ำ ให้ทุกคนได้ล้างแผลพันแผลให้เรียบร้อย คืนนี้เราไม่ไปไหน ตั้งค่ายกันที่นี่”
พวกผู้หญิงที่ยังขวัญผวาก็รีบไปติดไฟต้มน้ำ เริ่มเตรียมอาหารค่ำ พวกคนงานและเด็กๆ ที่แม้ว่าสถานการณ์เคร่งเครียด แต่ก็ไม่ได้ออกไปร่วมรบด้วย กลับมีท่าทางดีอกดีใจ หลี่หู่โถวไม่สนใจใบหน้าตนเองที่หนาวจนแดงเป็นปื้น หันมาถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า
“พี่หวัง พวกโจรกลุ่มใหม่ที่มาเห็นชัดว่าเก่งกาจกว่ากลุ่มแรก ทำไมตะโกนไม่กี่คำก็หนีกันไปหมด พี่ใช้วิธีอะไรหรือ?”
ในใจหวังทงค่อยๆ ผ่อนคลายลง สบตายิ้มกับถานเจียงที่เดินเข้ามาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“หู่โถว การเคลื่อนไหวของคนพวกนี้เห็นชัดว่าเคยผ่านการฝึกจากกองทัพ อาวุธก็เป็นแบบที่ใช้ในกองทัพ ย่อมเป็นกองทหารละแวกใกล้นี้ปิดหน้ามาลงมือ หาตัวหัวหน้าพวกมันแล้วสังหารเสีย พวกมันไม่มีหัวก็ย่อมลนลานกันไปเอง แล้วก็ตะโกนว่าถอยทัพ ให้พวกมันรู้ว่าเรารู้สถานะพวกมันแล้ว ขณะเดียวกันยังบอกว่าทหารกองหนุนจะมาถึงแล้ว ทำให้พวกมันไม่กล้าอยู่สังหารคนปิดปากต่อ พวกเราก็ผสมโรงกดดันเพิ่มไปหน่อย พวกมันก็ย่อมแตกกะเจิง”
แม้ว่าหลี่หู่โถวจะเคยเรียนพิชัยสงคราม แต่ที่หวังทงกล่าวมาก็ทำให้เขางงอยู่ดี หวังทงได้แต่ยิ้มขยี้ศีรษะหู่โถว ไม่ได้อธิบายต่อ
หากจะกล่าวความจริง พฤติกรรมชุดเมื่อครู่ของหวังทงนั้นเป็นการตัดสินวิเคราะห์จิตใจของศัตรู ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้มาจากประสบการณ์ในสายอาชีพของเขาในโลกก่อน
การสู้รบในระยะเวลาสั้นๆ ทำเอาหวังทงรู้สึกเหนื่อยล้าไปบ้าง แต่ก็ไม่รีบร้อนพัก เขานำปืนไฟสองกระบอกมาขัดถูทำความสะอาดรอบหนึ่ง จากนั้นก็บรรจุกระสุนเข้าไปใหม่ จากนั้นก็ใช้กระดาษปิดปากกระบอก การทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ยามที่กระบอกหันปากลงลูกกระสุนจะได้ไม่หลุดออกมา
ผ่านประสบการณ์เมื่อครู่มา ถานเจียงก็เปลี่ยนท่าทีที่เคยมีต่อหวังทง ท่าทีอย่างผู้อาวุโสมองผู้น้อยนั้นเลือนหายไปหลายส่วน มีความเคารพมากขึ้นหลายส่วน
“นายท่าน พรุ่งนี้จัดการอย่างไร?”
“รอ ตั้งค่ายที่นี่ก็แล้วกัน”
ได้ยินหวังทงตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ถานเจียงก็รู้สึกกังวลก้าวเข้ามาใกล้ถามว่า
“ความเสียหายพวกโจรไม่นับว่ามากนัก หากพรุ่งนี้มาโจมตีเช่นนี้อีก พวกเราย่อมต้านทานไม่อยู่”
“หากสู้กับโจรจริงก็ย่อมต้องหนี แต่ใต้เท้าจางผู้นั้นอย่างน้อยก็ต้องระดับนายกองใหญ่ มีคนตายไปอีกราว 30 การตายเช่นนี้หากเป็นพวกโจรก็แค่ตามล่าแก้แค้น แต่หากเป็นกองทัพทหารอยู่ๆ ตายไปมากมายเพียงนี้ มีสงครามอะไรหรือไม่ พวกเขาก็ย่อมต้องรายงานให้กระจ่าง ไหนเลยจะกล้าพากันออกมาอีก ที่เราต้องทำก็คือ รอ รอกองกำลังอารักขาจากเมืองหลวงมา ถึงตอนนั้นค่อยเดินทางต่อ เช่นนี้ก็ย่อมปลอดภัยเป็นแน่”
หวังทงกล่าวจบ ถานเจียงก็พยักหน้าเหมือนคิดตามเช่นกัน จึงออกไปจัดการเรื่องค่ำคืนนี้ ก่อนฟ้ามืด คนที่ส่งไปขอกองหนุนจากอำเภอเซียงเหอกลับมาแล้ว บอกว่าตอนไปถึงประตูเมืองปิดแล้ว ตะโกนอยู่นอกประตูเมือง ทหารบนกำแพงเมืองบอกว่าช่วงนี้มีโจรออกอาละวาด ไม่กล้าเปิดประตู บอกว่าพรุ่งนี้จึงจะไปรายงานได้
ท่าทีของอำเภอเซียงเหอ หวังทงก็ไม่กล้าตัดสินว่าเจตนาหรือไม่ ไม่เป็นไร ตกดึกก็คงต้องป้องกันให้แน่นหนา แม้ว่าจะเป็นโจรก็คงไม่กล้าบุกเข้ามามืดๆ แบบนี้
คนโรงบ้านที่มีหน้าที่ดูแลม้าตอนรบราฆ่าฟันก็ทำอะไรกันไม่ถูก แต่พอออกไปล่าสัตว์ก็รู้สึกมั่นใจ ว่ากันว่าละแวกโรงบ้านนั่นก็ล่าสัตว์กันชินแล้ว
ไม่นาน ก็ล่ากระต่ายกลับมาได้ 7 ตัว จัดการทำความสะอาดแล้วโยนลงหม้อ ของแห้งที่นำติดตัวมาด้วยอะไรพวกนั้นก็ทำให้ร้อน คนในขบวนทุกคนได้กินอะไรร้อนๆ จะได้กินอิ่มพักผ่อน
หวังทงยังมีหน้าตาเป็นเด็กยังไม่โตเต็มที่ แต่ทุกคนในกองขบวนกลับมองเขาด้วยสายตาต่างกัน แต่ล้วนมีความเคารพยำเกรงและเชื่อฟังคำสั่งอยู่ในแววตา
จัดการตั้งค่ายป้องกัน นำกำลังเข้าโจมตี ยิงสังหารหัวหน้าโจร และยังวางแผนบีบให้พวกโจรที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดล่าถอยไปได้ นำทัพได้ราวจับวาง จัดการวางแผนได้อย่างดี คนอย่างหวังทงผู้นี้ แม้ว่ามีใบหน้าเป็นเด็ก แต่ผู้ใดจะกล้าปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นเด็กน้อยกัน ภาพลักษณ์ของเขาไม่รู้ว่าสูงส่งเพียงใด
หลี่หู่โถวย่อมไม่ต้องพูดถึง ลี่เทา ซุนซิงและเด็กที่มาจากลานฝึกก็ยิ่งรู้สึกเคารพจากใจอย่างมากจากสิ่งที่พวกเขาได้เห็นมา วิชายุทธศาสตร์การรบที่มหาขันทีหวงหยางและขุนพลอวี๋ต้าโหยวสอนที่ลานฝึกนั้น หวังทงขาดไปหลายครั้ง คิดไม่ถึงว่าเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูกลับมีวิธีการที่แยบยลเช่นนี้ได้
แทะขากระต่ายไป ดื่มน้ำแกงร้อนๆ ไป ความอ่อนล้าของหวังทงก็ค่อยๆ มลายหายไป คืนนี้น่าจะไม่มีอันตรายใดๆ มาถึงตัวแล้ว แต่เขาก็ยังจัดเวรยามและการป้องกันเรียบร้อย ก่อนจะหลับไปข้างกองไฟนั่นเอง
********
วันที่ 6 เดือนสิบสองวันนั้น ประตูเมืองทิศตะวันออกก็เปิดออกแต่เช้า ทหารม้าหลายร้อยนายพร้อมอาวุธครบทะยานออกนอกเมือง มุ่งไปยังทิศทางที่ตั้งสามกองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจิน
ทหารศาลอาญาใหญ่ที่รักษาประตูเมืองรู้สึกตกใจมาก หลายปีไม่ได้เห็นภาพเช่นนี้ อดสุมหัวกันไม่ได้
“นี่มันเกิดเรื่องใหญ่อันใดกัน ถึงกับต้องให้กองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายออกโรง”
********
เช้าตรู่ ณ หอเหวินเหยียนเก๋อที่ประชุมขุนนาง บรรดาขุนนางต่างก้มศีรษะคำนับกัน ทยอยกันเข้ามาในห้อง ตอนนี้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายมาก ไม่มีความคิดอุบายเพื่อผลประโยชน์อันใด
เพราะไม่ว่าอย่างไร ก็เป็นท่านจางที่เป็นคนออกความเห็น ทุกคนก้มหน้าก้มตาทำตามไปก็พอ ระยะนี้หอฉินก่วนมีสิบแปดนางฟ้าสระสวรรค์เหยาฉือชื่อเสียงโด่งดังมาก และยังไม่ออกมาปรากฏตัวในโถง หรือว่าควรไปหาห้องหรูๆ ชมกันสักครา
บางคนก็ไม่ได้คิดจะอยากไปเที่ยวอะไร ก็แค่แอบคิดเล็กๆ เท่านั้น หากใต้หล้ายิ่งดำเนินการ เรื่องภาษีที่นา ชื่อเสียงของท่านจางก็ยิ่งใหญ่สูงส่ง
พวกแอบซ่อนที่นาจำนวนมากถูกตรวจพบ ผู้มากบารมีแต่ละฝ่ายในเมืองหลวงก็ย่อมถูกโยงไปด้วยไม่มากก็น้อย ทำเอาร้อนๆ หนาวๆ แต่สำหรับจางจวีเจิ้งแล้วนับว่ามีแต่ดีไม่มีเสีย ที่นาที่ตรวจสอบออกมาได้ยิ่งมาก ดำเนินการจัดการใหม่ เงินภาษีก็ย่อมเพิ่มทวีคูณ หากไม่จัดการใหม่ ฐานภาษีที่มากยิ่งกว่ามากอยู่แล้ว ก็สามารถทำให้ท้องพระคลังเต็มเปี่ยม
ตั้งแต่รัชสมัยเจียจิ้งปีที่ 30 ถึงตอนนี้ มีไม่กี่ปีที่ร่ำรวยฟู่ฟ่าดังเช่นตอนนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นความดีความชอบของท่านจางทั้งสิ้น
ฮ่องเต้ว่านลี่ในสายตาทุกคนที่นับวันยิ่งสงบนิ่ง ไม่ว่าดีใจหรือโกรธก็ไม่แสดงออก เหมือนว่าเติบโตขึ้นมากแล้วจริงๆ แต่พวกขุนนางใหญ่ลองคิดดู ก็เหมือนว่าไม่ถึงหนึ่งเดอืน ไม่ว่าท่าทีของฮ่องเต้หรือว่าการเปลี่ยนแปลงในราชสำนัก ก็เหมือนว่าผ่านไปหลายเดือนหรือถึงขั้นราวกับผ่านไปหลายปี
เหตุการณ์ไว้ทุกข์นั้น หลายคนที่หาเรื่องใส่ตัว ไม่ถูกปลดก็ถูกเนรเทศ แต่ก็มีคนที่จับทิศทางลมได้ ตอนนี้ก็ได้เลื่อนตำแหน่งรุ่งเรืองกันไป อนาคตก้าวไกลไร้ที่สิ้นสุด ฮ่องเต้ที่แต่ไรมาเชื่อฟังอย่างดีก็เริ่มต่อปากเชือดเฉือนกับบรรดาขุนนางในราชสำนัก ไม่ยอมลดราวาศอกให้แม้แต่น้อย
ราชสำนักยิ่งร้ายกาจ ฮ่องเต้ก็ยิ่งเติบใหญ่ ทุกคนต้องทำการให้รอบคอบ อย่าได้ทำให้เกิดเคราะห์กรรมหมื่นชาติไม่อาจกลับตัวได้ก็เป็นพอ
มหาอำมาตย์ รองอำมาตย์มาถึงกันตามลำดับ ทุกคนต่างคำนับกันและกัน ขันทีด้านนอกส่งเสียงรายงาน ฮ่องเต้ว่านลี่กับขันทีสำนักส่วนพระองค์มาถึงแล้ว
ทุกคนเห็นฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จเข้ามด้วยสีพระพักตร์เย็นเยียบ เพิ่งจะบอกว่าไม่ทรงแสดงออกอะไรทางสีพระพักตร์หากยากนี้แสดงออกมาแล้ว บรรดาขุนนางต่างเก็บความแปลกใจเอาไว้ในใจ คุกเข่าลงถวายบังคมพร้อมกัน ยังไม่ทันเสร็จพิธีการถวายบังคม ก็ได้ยินสุรเสียงฮ่องเต้ตรัสดังขึ้นอย่างเย็นเยียบว่า
“พวกท่านยังเห็นเราเป็นโอรสสวรรค์อยู่อีกหรือ!!??”