Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 214

ตอนที่ 214 มองชะตากรรมผู้อื่น หวนคิดถึงตนเอง ไม่เอาเรื่องไม่ได้เงิน

กองตรวจการเป็นหน่วยงานระดับสูงสุดในเขตกองกำลังเทียนจิน อำนาจมากที่สุด สถานที่ตั้งจึงตั้งอยู่บนถนนที่ดีที่สุดในเมืองเทียนจิน ใกล้ปิดปีใหม่ บนถนนจึงมีผู้คนไม่น้อยมาเดินเล่นและเลือกซื้อของไว้ฉลองปีใหม่กัน

ยามนี้การขนส่งนอกเมืองหยุดงานแล้ว ในที่นาก็ไม่มีงานให้ต้องทำ ปฏิกิริยาแรกก็คือหรือมีเหตุเปลี่ยนแปลงทางการทหาร รีบพากันหาทางหลบกันพัลวัน

หากกลับได้ยินเสียงพลทหารทั้งขบวนตะโกนดังขึ้นว่า

“จ่ายเบี้ยค้าง จ่ายเบี้ยค้าง จ่ายเบี้ยค้างไปฉลองปีใหม่!”

เสียงตะโกนดังก้อง กลับไม่สร้างความรบกวนให้กับประชาชนและร้านค้าข้างทาง คนว่างงานพอเห็นครึกครื้นเช่นนี้ก็รีบตามกันมาก ผู้คนรายล้อมก็ยิ่งมากขึ้น

ที่กองตรวจการทางนี้มีทหาร 300 นายเฝ้ารักษากาณ์ ทหารเฝ้าประตูมีราว 10 กว่านาย ช่วงปีใหม่ก็เป็นช่วงว่างสบายๆ กำลังล้อมวงผิงไฟคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่

ทันใดนั้นก็เห็นปากทางมีทั้งทหารและประชาชนกลุ่มใหญ่กรูกันมา ทุกคนตกใจกันสะดุ้งโหยง พวกคนขับรถม้าและผู้ติดตามขันทีว่านเต้าที่รอนายอยู่ที่เพิงพักหน้าประตูก็เริ่มลนลาน

ทหารรักษาการณ์พวกนี้เริ่มชักดาบออกมา แต่มองไปไกลๆ ก็รู้ว่ารับมือคนมากมายเช่นนี้ไม่ได้แน่ ลังเลครู่หนึ่ง ผู้เป็นหัวหน้าก็รีบหันหน้าวิ่งเข้าประตูไป มองเห็นหัวหน้าวิ่งหนีไปแล้ว คนอื่นๆ ก็ยืนกันงง ผู้ติดตามขันทีว่านเต้าหลายคนก็เริ่มไม่สนใจรถม้าตนเอง ล้วนพากันวิ่งหนีเข้าประตูไป

ประตูใหญ่ปิดลงอย่างรวดเร็ว กองตรวจการเป็นสถานที่สำคัญในเขตเมืองจี้โจว มีทหารเก่งกล้าที่ผู้บัญชาการชีจี้กวงคัดเลือกมาคอยให้การอารักขา พอเรื่องด้านนอกแพร่กระจายไปทั่ว หัวหน้านายทหารหลายนายแม้ว่าตกใจ แต่ปฏิกิริยาก็ฉับไว ตะโกนเสียงดังวางกำลังป้องกัน พลทหารถืออาวุธกันตั้งแถวออกมา

ที่กำแพงริมประตูหน้าก็มีนั่งร้านไม้และบันไดเตี้ยๆ เตรียมพร้อมอยู่แล้ว พลทหารก็หยิบธนูปีนกันขึ้นไป หัวหน้านายทหารผู้หนึ่งก็ขึ้นไปประจำยังหอบนประตูหน้าอย่างรวดเร็ว

มองเห็นด้านนอกถนนกำลังจะเนืองแน่ไปด้วยผู้คน ขอเพียงองครักษ์เสื้อแพรที่ราวกับพวกขอทานพวกนี้บุกเข้ามา ก็จะลงมือทันที ในคนราว 500 นี้ กลับมี 100 กว่าคนที่ถือเพียงไม้พลอง มีบางคนมาร่วมวงสนุกด้วย รนหาที่ตายหรืออย่างไร ขอเพียงกล้าบุกก็จะถือว่าก่อการร้าย

มีคนสายตาแหลมคมบางคนพอเห็นอาวุธของกองตรวจการบนกำแพงแล้ว ก็รู้สึกกลัวถอยหลังกลับ ไม่กล้าตามมาดูความสนุกกันต่อ เกรงก็แต่ต้องการพลอยโดนลูกหลงไปด้วย

คิดไม่ถึงว่าพวกองครักษ์เสื้อแพรพวกนี้พอมาถึงหน้าประตูก็ไม่บุก และยังมี 10 กว่าคนถือไม้พลองหันหลังให้ประตูล้อมเป็นวง ตะโกนเสียงดังไม่ให้คนเข้าใกล้ ดูท่าแล้วก็เหมือนว่าคนกลุ่มนี้กำลังปกป้องกองตรวจการอยู่

“ข้าตะโกนอะไร ทุกคนก็ตะโกนตามนะ!!”

มีคนในกลุ่มฝูงชนเสียงดังตะโกนขึ้น ทุกคนเงียบลงทันที

“3 ปี 28 เดือน ไม่มีจะกินแล้ว!”

คำกล่าวนี้แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีพลังนัก แต่ก็เป็นเรื่องจริง คนด้านนอกก็พากันตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง หัวหน้าทหารที่รักษาการณ์จับดาบไว้มั่นอยู่บนกำแพงเตรียมออกคำสั่ง เกือบร่วงหล่นลงมา นี่มันอะไรกัน

“ครอบครัวเราหิวโหย ขายสมบัติจนหมดตัว ต้องมาขอทานแทนแล้ว!!” “เรียกว่าองครักษ์เสื้อแพร แต่จริงๆ แล้วคือขอทาน!!” “กินเนื้อทหาร ดื่มเลือดทหาร หักเบี้ยทหารเรา ฟ้าดินไม่ให้อภัย!!”

เจ้าพวกองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินที่เคยเอาแต่หัวหดไร้ศักดิ์ศรีพอเห็นการป้องกันแน่นหนาบนกำแพง ในใจก็เต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัว แต่พอตะโกนดังตามไปสองสามประโยค ความคับแค้นหลายปีมานี้ก็เริ่มคุกรุ่นพุ่งทะลักออกมา คิดถึงคนที่บ้านที่ต้องยากลำบากมาในหลายปีนี้ อารมณ์ก็เริ่มค่อยๆ ทะยานขึ้น

สุดท้ายก็รวมกันตะโกนว่า “หักเบี้ยทหารเรา ฟ้าดินไม่ให้อภัย!!” ตะโกนคำปลุกใจเช่นนี้กันจนดังก้องไปทั่วฟ้า ดึงดูดผู้คนให้พากันมามากยิ่งขึ้น

“ถนนสองข้างปิดกั้นไว้ ไม่ให้คนนอกแทรกตัวเข้ามาในกองกำลังเราได้ จำไว้ให้มั่น ห้ามผู้ใดลงมือกับกองตรวจการแม้แต่ผู้เดียว”

หวังทงอยู่ท่ามกลางขบวน ตะโกนคำสั่งด้วยความสงบนิ่ง เด็กหนุ่มหลายคนรายล้อมเขาไว้ตรงกลาง ได้ยินคำสั่งแล้ว ก็รีบแทรกตัวออกไป

คนมุงดูกันบนท้องถนนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็สนุกไปด้วย คนเรามักมีความอยากร่วมวงครึกครื้น นี่ยังเป็นการบุกที่ทำการทางการ ทุกคนก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก ทุกคนรู้ว่าองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินเป็นที่ดูแคลน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเอาเรื่องถึงขั้นนี้ได้

มีคนคิดจะเข้าไปคลำหาปลาในน้ำขุ่นฉวยโอกาสเอาในยามกำลังวุ่นวาย มีคนคิดจะเข้ามาดูความสนุก ไม่ว่าอย่างไร วันนี้กลับไปคงได้เรื่องไปคุยโม้แล้ว

คิดไม่ถึงว่า พลทหารองครักษ์เสื้อแพรสองข้างทางกลับใช้ผ้าขาวยกกั้นตลอดแนว กั้นผู้คนไว้แนวนอก คิดจะล้ำแนวผ้า ก็มีชายฉกรรจ์ท่าทางดุร้ายถือไม้พลองฟาดหน้า จึงได้แต่มองอยู่ไกลๆ

แต่ผ้าขาวแถบนี้ก็มีเรื่องเล่าได้ ด้านบนใช้ตัวอักษรสีดำตัวใหญ่เขียนไว้ สองฝั่งเขียนไว้ว่า “ค้างเบี้ย 28 เดือน หักเบี้ยทหารเรา ฟ้าดินไม่ให้อภัย!!”

ทางนี้ตะโกนกันอย่างฮึกเหิม ทางกองตรวจการก็เริ่มเหมือนเผชิญกับศัตรูกองใหญ่ ได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี

ทุกคนล้วนอาศัยเบี้ยหวัดยังชีพ ค้างมาตั้ง 28 เดือน อย่างไรก็อ้างไม่ขึ้น หากนี่เป็นกองทหารจี้โจวจะกล้าติดค้างเช่นนี้หรือ เกรงว่าคงได้ยกทัพมาตัดหัวขุนนางไปแล้ว องครักษ์เสื้อแพรพวกนี้กลับทนมาได้ตั้ง 28 เดือน ก็ลำบากพวกเขาจริงๆ

เสียงยิ่งตะโกนก็ยิ่งพร้อมเพรียง ยิ่งตะโกนก็ยิ่งดัง ทหารในกองตรวจการต่างได้ยินกันอย่างชัดเจน พวกเขาย่อมรู้ว่ามาก่อเรื่องที่นี่ จะก่อให้เกิดคลื่นใหญ่เพียงใด เกรงว่าคงเพราะไม่อาจทนต่อไปได้ คนในเมืองเทียนจินต่างรู้ดี

ที่ทำการทางการ ด้านนอกมีเสียงดังโหวกเหวก ทุกคนด้านในก็วิ่งเตรียมการกันให้วุ่นวายราวกับแมลงวันที่ไร้หัวหน้า แต่พอผ่านไปครู่หนึ่ง คนด้านนอกก็ไม่ได้บุกเข้ามา ทุกคนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไร

ผู้ติดตามนายกองตรวจการฟานต๋าวิ่งเหยาะๆ เข้ามา เข้าไปใกล้ๆ กระซิบเบาๆ ว่า

“นายท่าน คนข้างนอกไม่ได้ปิดกั้นประตูหลัง ข้าน้อยเตรียมเกี้ยวไว้แล้ว พวกเราหนีออกทางด้านหลังกันเถอะ!”

ฟานต๋าหน้าดำคล้ำกวักมือเรียกผู้ติดตามให้เขยิบเข้ามาอีก ผู้ติดตามผู้นั้นยิ้มเขยิบตามเข้ามาใกล้ ฟานต๋ายกมือขึ้นตบบ้องหูไปอย่างแรงหนึ่งที

“หนีบ้าอะไร!! คนพวกนี้มาทำให้ข้าเสียหน้า ให้พวกมันก่อเรื่องต่อไป ตำแหน่งข้าคงไม่ต้องทำแล้ว ยังยืนเซ่อร์อยู่ทำไม ไปตามขุนพลหลี่เคลื่อนกำลังมาสิ บอกว่ามีคนคิดก่อการร้าย มีคนจะบุกโจมตีกองตรวจการเรา รีบไปตามมาเร็ว!!”

ผู้ติดตามผู้นั้นกุมใบหน้า ถอยไปสองก้าวก็กล่าวว่า

“พ่อบ้านรองไปตามมาแล้วไม่ใช่หรือ…”

ฟานต๋าเลิกชายเสื้อคลุมยาวยกเท้าขึ้นถีบไปทันที ตะโกนด่าไปว่า

“ทหารของขุนพลหลี่มาถึงแล้วยัง ยังไม่มาก็ไปเร่งตามมาให้ข้าสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะโบยเจ้าบัดซบเช่นเจ้าเป็นคนแรก”

เห็นเขาโมโหเช่นนี้ ผู้ติดตามก็รีบวิ่งออกไปทางประตูหลังอย่างรวดเร็ว ฟานต๋าได้ยินเสียงด้านนอกตะโกนยิ่งดังว่า “หักเบี้ยทหารเรา ฟ้าดินไม่ให้อภัย!!” สีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ ทนไม่ไหวเดินไปทางประตูหน้าอย่างรวดเร็ซ ตะโกนสั่งทหารรักษาการณ์เสียงดังว่า

“ออกไปไล่พวกบัดซบนั่นสิ รีบออกไปไล่สิ!!”

ทหารรักษาการณ์บนกำแพงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย มองไปนอกกำแพงพลางกล่าวว่า

“ใต้เท้า องครักษ์เสื้อแพรด้านนอกไม่ได้บุกเข้ามาในที่ทำการเรา ยังห่างจากกำแพงด้านนอกอีกพอสมควร ไม่มีเหตุผลที่จะลงมือขอรับ”

“ปิดทางเข้าออกที่ทำการเราไว้แล้ว ยังบอกว่าไม่เหตุผลที่จะลงมือ หรือต้องให้พวกมันสังหารข้าก่อนพวกเจ้าจึงค่อยลงมือ ใช้อาวุธไม่ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ใช้ไม้กระบองใช้แส้ออกไปไล่พวกมันให้ข้าสิ!”

สีหน้านายทหารหลายนายลำบากใจ ลังเลอยู่นานก็มีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า

“ใต้เท้า ไม่ใช่ว่าพวกข้าน้อยไม่ลงมือ ใช้อาวุธลงมือก็ย่อมโดนโทษทหาร ด้านนอกนั่นอย่างไรก็เป็นพี่น้ององครักษ์เสื้อแพรกินเบี้ยหวัดเหมือนกัน หากไม่ใช้อาวุธ ด้านนอกคนมากมายเช่นนี้ พวกเราก็เกรงว่าจะรับมือไม่ไหวนะขอรับ”

นายทหารรักษาการณ์พวกนี้ล้วนส่งมาจากกองทัพเพื่ออารักขาฟานต๋า อารักขาก็ได้ แต่หากจะรับคำสั่งออกไปสังหารผู้คน พวกเขาก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะไม่รับคำสั่ง

หากว่าไปแล้ว มองเห็นองครักษ์เสื้อแพรเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ตะโกนเสียงแหบพร่ากัน ตะโกนกันว่าเกือบสามปีไม่ได้เบี้ยหวัดสักแดง หากจะบอกว่าแกล้งแสดงละครหลอกเหมือนจิ้งจอกร้องไห้ให้กระต่ายที่ตายไปก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ หากต้องใช้อาวุธลงมือกันจริง ก็รู้สึกไม่อยากทำเลยจริงๆ

ฟานต๋ากวาดตามองหัวหน้านายทหารหลายนายด้วยสายตาเยียบเย็น พบว่าไม่มีผู้ใดยอมออกไป คิดจะระเบิดอารมณ์ก็ไม่มีเหตุผล สุดท้ายก็ได้แต่แค่นเสียงฮึดฮัดกลับไปด้วยความเดือดจัด

แต่ทว่าก็ช่างบังเอิญ ทางนี้ไม่อยากออกไป ทางนั้นพ่อบ้านที่ไปขอกำลังก็กลับมาพอดี พอเข้ามาถึงก็หอบหายใจอย่างแรงก่อนจะกล่าวว่า

“นายท่าน ขุนพลหลี่นำทหารมาแล้ว”

ฟานต๋าตบมือดังเผี๊ยะ กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีว่า

“มาได้เวลาพอดี รีบขอให้ขุนพลหลี่ไปสลายกองกำลังไร้ขื่อไร้แปด้านหน้าสิ หน้าตาศักดิ์ศรีกองตรวจการเราวันนี้หมดสิ้นกันแล้ว”

กล่าวจบก็คิดครู่หนึ่ง ฟานต๋ารีบออกไปลานด้านหน้า ให้ทหารประคองขึ้นนั่งร้านไม้ไปมองดูเสียงตะโกนดังด้านนอกทำเอาเขาโกรธจนหน้าดำคล้ำ อย่างไรก็ต้องขึ้นมาดูพวกบัดซบนี้โดนจัดการให้ได้

รีบร้อนขึ้นไป ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ก็ไม่เห็นใครนอกจากองครักษ์เสื้อแพร องครักษ์เสื้อแพรด้านนอกไม่ตะโกนพร้อมกันอีกแล้ว

แต่กลับมีหลายคนไปคร่ำครวญเรื่องหลายปีที่ผ่านมาว่าลำบากแสนสาหัสเพียงใด ที่เล่ามาล้วนเป็นเรื่องจริง คนที่บ้านก็ป่วยไม่มีเงินรักษา ได้แต่นอนรอความตาย ต้นปียันปลายปีกินไม่อิ่มสักมื้อ และอีกหลายเรื่องมากมาย ไม่กล่าวถึงคนรอบข้างที่มารอชมความสนุก เอาแค่ทหารที่อยู่บนรอบกำแพงก็เริ่มมีสีหน้าเห็นใจตามไปด้วย

ทหารขุนพลหลี่ก็อยู่ตรงนั้น นายกองฟานต๋าใกล้จะอาละวาดแล้ว หันหน้ามากำลังจะตะโกน ก็เห็นผู้ติดตามใบหน้าใกล้จะร้องไห้เต็มทีวิ่งเข้ามาด้านหลังตะโกนว่า

“นายท่าน ขุนพลหลี่บอกว่าหากติดค้างเบี้ยหวัดเขานานเช่นนี้ เขาคงนำกำลังบุกเข้ามานานแล้ว ตอนนี้พวกองครักษ์เสื้อแพรยังรู้จักไว้หน้าอยู่บ้าง ใต้เท้าท่านก็แจกเบี้ยหวัดไปก็จบ ไยต้องทำให้เรื่องยุ่งยากเช่นนี้”

นายกองฟานต๋ายืนโงนเงนอยู่บนนั่งร้าน เกือบร่วงลงมา ยังดีที่มีคนประคองรั้งไว้ได้ เขายืนอย่างหมดแรงอยู่บนนั่งร้านไม้กล่าวว่า

“ออกไปบอกคนข้างนอกว่า ข้าจะเพิ่มเงินค้างเบี้ยหวัดให้ ให้พวกเขารีบสลายตัวไปซะ”

ผู้ติดตามอึ้งไป ก่อนจะรีบวิ่งออกไป ได้ยินเสียงประตูเปิดออก คนด้านนอกก็เงียบไปครู่หนึ่ง ตามมาด้วยเสียงอื้ออึงดัง ผู้ติดตามผู้นั้นรีบวิ่งกลับมา หายใจไม่ทันกล่าวว่า

“นายท่าน นายกองพันหวังบอกว่าให้จ่ายเบี้ยตามระเบียบองครักษ์เสื้อแพรจำนวน 1,000 นาย ข้าวสารปีละ 120 โต่ว ไม่เอาตั๋วเงิน เอาแต่ค่าข้าวสาร”

ฟานต๋าตาเหลือกเป็นลมล้มลงทันที….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!