ตอนที่ 217 ของขวัญปีใหม่ที่มาช้า
วันที่ 29 เดือนสิบสองในเมืองหลวง หอเลิศรสเดิมนั้นไม่ได้ร้างผู้คน แต่กลับมีคนทำงานวุ่นกันมือระวิง
นอกจากคนงานเดิมในร้านแล้ว ยังมีขันทีระดับล่างในวังไม่น้อย บ้างก็เก็บกวาดโต๊ะ บ้างก็ล้างจานชาม
“เสี่ยวเซี่ยทำไมมาทำตาแดงๆ อยู่ตรงนั้น ได้มาทำงานที่นี่ นอกจากเบี้ยหวัดในวังแล้ว ยังได้ส่วนแบ่งกำไรจากหอเลิศรสด้วย ยังมีอะไรไม่พอใจหรือ”
“เจ้าไม่รู้หรือ? พ่อบุญธรรมเสี่ยวเซี่ยจากไปแล้ว…”
“ฉือกงกงที่สำนักห้องเครื่องน่ะหรือ เสี่ยวเซี่ยเข้าวังมาก็กราบไหว้บิดาบุญธรรม คอยกตัญญูรับใช้มาถึงบัดนี้ ในวังเรื่องเช่นนี้มีน้อยมาก”
“ก็ใช่น่ะสิ คนมากมายหากไม่กราบไหว้บิดาบุญธรรมอีกคนก็จะทำตัวเสมอ ยากที่จะกตัญญูแบบเสียวเซี่ย เฮ้อ ก็สมควร จากไปหลังวันที่ 25 เดือนสิบสองนี่ คิดจะหาโลงดีๆ มาฝังก็ไม่ได้ ได้แต่ทำตามธรรมเนียมลากไปเผาแทน เหลือแค่กองเถ้าแค่นี้….”
สองคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ทันระวังด้านหลังก็มีคนมาตบท้ายทอย หันกลับไปดูก็เห็นขันทีอ้วนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สองคนก็รีบคารวะ กล่าวว่า
“คารวะเจี่ยงกงกง!”
“เจ้าลูกหมา ยังไม่รีบไปเก็บกวาดให้ดี หรือคิดจะเหลือไว้จึงถึงวันที่ 30 ค่อยทำกัน รู้จักแต่แอบขี้เกียจ!”
กล่าวตำหนิอยู่ แต่สีหน้าขันทีทั้งสองกลับมิได้ร้อนใจสักนิด ยังคงยิ้มแย้มรับคำ ขันทีอ้วนผู้นี้ยามตำหนิสีหน้าก็ยังคงยิ้มแย้ม ใบหน้าราวกับพระยิ้ม
เจียงจงกาวที่เดิมเป็นขันทีในสำนักห้องเครื่อง มาทำงานที่หอเลิศรสได้ไม่ถึงปี พอกลับไปวังก็ก้าวหน้าเร็ว เดิมสำนักห้องเครื่องยังมีหัวหน้าสำนัก รองหัวหน้าสำนัก และพวกหัวหน้าส่วนคนอื่นๆ แต่ฮ่องเต้ก็ตรัสเปลี่ยนธรรมเนียมเดิมด้วยพระองค์เองว่า ทางทิศใต้ของวังหลวงเปิดร้านอาหารสังกัดวังหลวง
ร้านอาหารสังกัดวังหลวงไม่ได้แย่งงานหรือบังคับซื้อขายกับประชาชนทั่วไป แต่เป็นร้านอาหารที่ขายให้กับบรรดาองครักษ์และขันทีในวังที่เลิกเวรโดยเฉพาะ
ไม่ผิด ก็คือหอเลิศรสเดิม ที่นั่นยังมีคนงานเดิมอยู่ หากยังเพิ่มคนจากวังส่วนในไปด้วย การควบคุมงานหอเลิสรสก็ย่อมมอบให้กับสำนักห้องเครื่อง แต่กลับตั้งตำแหน่งหัวหน้าสำนักขันทีขึ้นมาอีกคน คนผู้นี้ก็คือเจี่ยงจงกาว
เมื่อก่อนเจี่ยงจงกาวมีชื่อเสียงในเรื่องจดจำผู้คนได้แม่นยำ ไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นอันใด แต่ครั้งนี้ได้เป็นหัวหน้าสำนักขันที ก้าวหนึ่งถึงฟ้าเลยทีเดียว!
คนในวังต่างรู้กันดีว่า เจี่ยงจงกาวมีวันนี้ได้ ก็เพราะว่าสนิทกับหวังทงนอกวัง ช่วยทำงานใหญ่ ผลก็คือทำให้ฮ่องเต้ทรงจดจำเขาได้ จึงได้มีวันนี้
บรรดาขุนนางบุ๋นคิดอย่างไรก็ไม่ต้องไปสนใจ ในใจขันทีล้วนรู้ดีว่า ใต้เท้าหวังทงผู้นี้คือดาวโชคดี ติดตามเขาไว้ ย่อมไม่เสียหาย
เจี่ยงจงกาวไขว้มือยิ้มร่ามองไปรอบๆ เขาไม่เคยคิดจะแก่งแย่งผลประโยชน์ สามารถกินอิ่มนอนสบายก็พอใจแล้ว ได้มาทำงานที่ร้านนี่พร้อมตำแหน่งหัวหน้าสำนักขันทีก็ยิ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมาย
ทุกวันที่หอเลิศรสได้เห็นบรรดาผู้คนรายล้อมด้วยความเกรงใจ ทุกคนยิ้มกันไม่หยุด ในใจเขาก็ดีใจ นับประสาอะไรกับงานนี้เป็นงานดีที่ทำให้กับคนในวัง
หาโต๊ะใกล้ประตูนั่งลง คนงานร้านกับขันทีที่ยุ่งกันอยู่ก็รีบเข้ามาทักทาย มีคนรู้งานยังส่งชาซิ่งเหรินมาให้ชามหนึ่งด้วย
เมล็ดซิ่งเหรินและเม็ดลูกท้อบดผสมกันเติมแป้งและน้ำผึ้งต้มเป็นชาชามนี้ เจี่ยงจงกาวชอบที่สุด อากาศหนาวๆ ดื่มสักชาม รู้สึกอบอุ่นท้องและอบอุ่นใจตามไปด้วย
เจี่ยงจงกาวยกดื่มจนหมดในทีเดียว ชาซิ่งเหรินนี้ต้องดื่มให้หมดในทีเดียว พอเข้าปากไปรสชาติหอมหวานและไอกรุ่นก็จะละมุนกลมกล่อมยิ่ง ดื่มเสร็จแล้ว ก็เบ้ปาก เหมือนว่ารสชาติไม่ถูกต้องนัก รสขมกว่าปกติ…
พลันเปล่งเสียงร้องดังลั่นร้าน เมื่อครู่ยังนั่งยิ้มตาหยีอยู่ก็ล้มตึงลงทันที ทุกคนหยุดงานในมือ รีบเข้ามาดูกันก่อนจะตกตะลึง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าวุ่นวายพร้อมเสียงร้องดังอย่างตกใจ
*********
“ท่านพ่อบุญธรรม เจี่ยงจงกาวจากสำนักห้องเครื่องเมื่อเช้าล้มป่วยกะทันหันจากไปแล้ว”
ในห้องหนังสือของจางเฉิงในวัง โจวอี้ก้มหน้ารายงาน จางเฉิงนั่งอยู่บนเตียงเตาอุ่น กำลังใช้มือขยี้ตา ได้ยินก็นิ่งไป ขมวดคิ้วถามว่า
“เจี่ยงจงกาวที่จดจำคนได้ ไม่ใช่ว่าเพิ่งได้รับการแต่งตั้งหรือ ทำไมช่างไร้วาสนา…ป่วยกะทันหันจริงหรือ?”
สีหน้าโจวอี้เผยรอยยิ้มเฝื่อน กระซิบเบาๆ ว่า
“ท่านพ่อบุญธรรมก็ทราบดี วันที่ 25 เดือนสิบสองถึงวันที่ 7 เดือนหนึ่ง ขันทีนางกำนัลในวังตายไปก็ต้องเอาไปเผาวันนั้นเลย จะได้ไม่ให้ไอโชคร้ายกระทบถูกไอมงคล ตอนที่ลูกรีบรุดไปถึง ก็เริ่มเผาแล้ว ลูกไม่มีทางกล่าวอันใดได้”
จางเฉิงตบเตียงอุ่นเบาๆ กล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า
“บังเอิญไปหน่อยแล้วกระมัง เรื่องนี้ต้องสืบ แต่อย่าได้ไปถึงสำนักบูรพา ให้คนสำนักรักษาความสงบเราที่ไว้ใจได้แอบสืบ หากยอมสืบอะไรไม่ได้ แค่อย่าได้ทำให้คนรอบข้างรู้ตัว”
“ท่านพ่อบุญธรรม ไยต้องระวังตัวเช่นนี้ ใช้คนของสำนักบูรพา ท่านก็ใช่ว่าสั่งการไม่ได้”
จางเฉิงหลับตาลง ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มเอ่ยว่า
“นับผิดไปหนึ่งก้าว คนพวกนี้ไม่ใช่แค่จะไล่หวังทงออกไปแล้วจะจบ แม้แต่เจ้ากับข้าก็ต้องถูกจัดไปด้วย ตอนนี้หากมีอะไรพลาดเพียงเล็กน้อย ก็คงมีตำแหน่งเราที่ต้องสละให้ผู้อื่นแล้ว เจ้าทางนี้ทำอะไรก็ต้องระวังให้ดี กองกำลังมังกรของเจ้าอย่างไรก็ถือเป็นกองกำลัง”
โจวอี้รีบตอบรับ กล่าวถึงตรงนี้ ในใจทั้งสองก็รู้สึกหนักอึ้ง โจวอี้คิดจะกล่าวอำลา จางเฉิงกลับเรียกเอาไว้ เอ่ยว่า
“ในวังยังมีใครมีความสามารถแยกแยะคนได้เหมือนเจี่ยงจงกาวหรือไม่?”
โจวอี้ลังเลครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า สองฝ่ายสบตากัน ล้วนไร้วาจาจะกล่าวต่อ
*********
“ทองคำหนึ่งร้อยตำลึง เงินห้าร้อยตำลึง หมู 10 ตัว แพะ 10 ตัว ปลา 100 ตัว พรุ่งนี้เป็นวันสิ้นปี ว่านกงกงเราบอกว่า ใต้เท้าหวังออกมาปฏิบัติหน้าที่ที่กองกำลังประจำเทียนจิน หลายอย่างยังจัดการไม่พร้อมสรรพ แม้แต่ปีใหม่ก็ยังไม่ทันได้เตรียม ของพวกนี้ขอแสดงความนับถือ รอหลังปีใหม่ค่อยขอมาพบ”
ณ ที่ทำการนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจิน ชายวัยกลางคนสวมชุดสีสันสดใสใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกล่าวกับหวังทง ด้านหลังยังมีรถใหญ่อีกสองสามคันและแรงงานหาบ
ตอนบ่ายหวังทงไม่ได้อยู่ที่ตลาดนานนักก็ถูกลูกน้องตามตัวกลับมา บอกว่าว่านเต้ากงกงส่งคนนำของขวัญปีใหม่มามอบให้
วงราชการมีน้ำใจกันไปมา เทศกาลไหว้พระจันทร์หรือเทศกาลปีใหม่ตรุษจีนเทศกาลใหญ่ๆ ก่อนหน้าเทศกาลห้าวันก็ควรมอบของขวัญเรียบร้อย พรุ่งนี้วันสิ้นปีแล้วกลับมาถึงจวนวันนี้อย่างรีบร้อน หากเป็นยามปกติคงได้หัวเราะกันฟันร่วงเป็นแน่
หวังทงค่อยๆ รับใบรายการของขวัญมา กวาดตามองหลายรอบก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ขอบคุณว่านกงกง ของข้ารับไว้แล้ว วันหน้าจะต้องไปเยี่ยมเยือนที่จวนแน่นอน”
ชายวัยกลางคนที่ท่าทางเหมือนพ่อบ้านผู้นี้ท่าทางเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา พอเห็นหวังทงรับใบรายการไป และยังกล่าวเช่นนี้ ชายผู้นั้นก็ผ่อนลมหายใจออก รีบก้มกายคำนับกล่าวว่า
“ข้าน้อยขอคารวะปีใหม่ใต้เท้าหวังล่วงหน้า กงกงเรากล่าวว่า ไม่อาจให้ใต้เท้าหวังท่านต้องไปถึงที่จวนเราก่อน รอให้เดือนหนึ่งก็จะต้องมาพบท่านที่จวนด้วยตนเอง”
กล่าวจบ ก็กวักมือไปด้านหลัง คนกลุ่มหนึ่งก็เริ่มย้ายของเข้ามา พอเห็นว่าล้วนเป็นเด็กหนุ่มที่ออกมารับของต่อ ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าทางนี้มีแต่คนงานชาย เกรงว่าจะขาดความนุ่มนวลไปสักหน่อย รอหลังปีใหม่จะส่งสาวใช้มาให้ใต้เท้าที่นี่สักสองสามคน คอยรับใช้ใกล้ชิดก็สบายดีนะขอรับ”
หวังทงยิ้มพลางกล่าวขอบคุณและปฏิเสธ ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็วางของลง กล่าววาจาตามมารยาทอีกสองสามประโยคก็ค่อยจากไป เด็กๆ ที่ติดตามเขาสองสามคนตลอดเวลาก็ล้อมวงเข้ามาทันที ยังไม่รอให้พวกเขาถาม หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า
“อยากจะถามว่าทำไมล่วงเกินแล้วจึงมานอบน้อมหรือ วันนั้นได้แห่งผู้แทนประกาศราชโองการมา คนที่กองกำลังพิทักษ์เทียนจินย่อมไปสืบหาข่าวสถานะของข้ากันทั่ว นับเวลาแล้วข่าวก็ควรส่งกลับมาแล้ว”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงคนด้านนอกรายงานดังมาว่า “ผู้ตรวจการกองคำร้องแห่งศาลเหอเจียนขอเข้าคารวะ” หวังทงหันกลับไปมองแล้วก็ออกไปต้อนรับต่อ
ผู้ตรวจการผู้นี้แค่เคยพบหน้าครั้งเดียว เรียกไม่ได้ว่าล่วงเกิน คงแค่มาแสดงน้ำใจ มอบเงินมา 300 ตำลึง ยังบอกว่าหากมีเรื่องชาวบ้านอันใดก็ให้ส่งคนเอาสารไปแจ้งที่ที่ทำการก็พอ จากนั้นก็ทักทายกันเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอำลา
ขุนพลหลี่ ขุนพลคุมกำลังพลที่เมืองเหอเจียนกับคนของฟานต๋ามาพร้อมกัน ขุนพลหลี่ส่งนายทหารผู้ติดตามส่วนตัวมา ชายผู้นี้ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว แย่งเข้ามาก่อนพ่อบ้านนายกองฟานต๋า
ครั้งนี้คนที่เอาของขวัญมาต่างจากสองคนแรก คนที่ขุนพลหลี่ส่งมาถือกระดาษบางๆ มาแผ่นหนึ่ง และไม่มีของขวัญอื่นอีก แต่กระดาษแผ่นนี้ไม่ธรรมดา
“ใต้เท้าเรากล่าวว่า ใต้เท้าหวังมาประจำกองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจินคงยังจัดของไม่เรียบร้อย พอดีใต้เท้าเรามีเรือนใหญ่ว่างอยู่ ตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของหอกลอง ข้างในข้าวของเครื่องใช้พร้อมสรรพ ใต้เท้าแค่ย้ายเข้าไปก็อยู่ได้ สัญญาที่ดินกับสัญญาบ้านก็นำมามอบให้ใต้เท้าแล้ว ถึงตอนนั้นแค่ไปแจ้งที่กองคำร้องศาลเหอเจียนก็ได้แล้ว”
นี่มาได้ทันเวลาที่ต้องการเร่งด่วนพอดี บ้านที่สามารถให้คนมากมายของหวังทงเข้าอยู่ได้ ราคาก็ย่อมไม่ถูก แต่หากเปรียบกับเงินทองที่ว่านเทามอบให้แล้วก็ยังห่างกันไม่น้อย
“ทอง 200 เงิน 500 อาหารป่ารวม 100 ชั่ง อาหารทะเลรวม 200 ชั่ง หมูวัวแพะอย่างละ 30 ตัว ยังมีของเล็กๆ น้อยๆ สวยงามปราณีตอีกจำนวนหนึ่ง”
พ่อบ้านของฟานต๋าพูดจาคล่องแคล่ว พอเข้ามาก็ทักทายแล้วก็เริ่มอ่านรายการของขวัญ เนื้อที่ส่งมาถึงที่ก็ไม่มีเหตุอันใดที่จะไม่กิน หากไม่รับไว้ เกรงว่าอีกฝ่ายไม่รู้จะคิดมากไปถึงขนาดไหน หวังทงย่อมยิ้มรับ
มองออกว่าพอหวังทงรับของขวัญมา พ่อบ้านฟานต๋าก็ถอนหายใจผ่อนคลายลง ก้มกายลงคำนับกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง นายท่านเรากล่าวว่าการนับจำนวนพลก็ให้บอกกล่าวกันก็พอ ไม่ต้องจริงจัง จะมาตรวจนับจริงได้อย่างไรกัน เบี้ยหวัดที่ค้างไว้รอหลังปีใหม่ก็จะนำมามอบให้ใต้เท้า ขอใต้เท้าโปรดวางใจ อย่าได้ร้อนใจ”
หวังทงยิ้มพยักหน้ารับ เมื่อครู่ของขวัญปีใหม่พวกนี้ก็เท่ากับว่าบรรดาขุนนางบุ๋นที่เมืองเทียนจินได้โขกศีรษะให้กับเขาแล้ว ท่าทียอมอ่อนให้เช่นนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องชักสีหน้าเย็นชาใส่
ทรมานมาวันหนึ่ง ข้างนอกรับสมัครกำลังพล ข้างในรับแขก หวังทงก็รู้สึกอ่อนล้า และบรรดาขุนนางประจำเทียนจินที่ไม่เคยพบกันมายอมลงให้มากมาย หวังทงก็รู้สึกผ่อนคลาย คิดอยากจะพักสักครู่
เพิ่งจะหันกายก็ได้ยินเสียงดังเข้ามาว่า “มีแขกมาขอพบ” หวังทงรู้สึกงง เมืองเทียนจินยามนี้ที่ควรมาก็มากันหมดแล้ว ยังมีผู้ใดอีกเล่า?